อย่าฉลาด..อย่าง งมงาย !!!
แพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์ |
เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 1 แต่ไม่หายหิว
เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 2 แต่ไม่หายหิว
เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 10 ก็ยังไม่หายหิว
เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 100 ไม่มีวันหายหิว
และยังคงกระหายอยู่ร่ำไป...
เพราะเธอดื่มน้ำจากแก้วที่ว่างเปล่า มันจะหายหิวได้อย่างไร..
เรื่องราวในวันนี้ก็เช่นกัน เราอยากให้คุณทําใจสบายๆ
วางใจเบาๆ ค่อยๆ อ่านความคิดของเธอคนหนึ่ง เพราะความคิดของเธอดี น่าสนใจเพียงพอที่จะทําให้ไม่หลงไปดื่มน้ำจากแก้วที่ว่างเปล่าลําดับที่ 101
และแก้วต่อๆ ไปจนชั่วชีวิต อย่างไม่รู้จักคําว่าอิ่มเลยก็ได้
พจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์ คุณหมอคนเก่ง เธอเป็นแพทย์หญิง
มีฐานะ มีอาชีพที่มีเกียรติน่ายกย่อง มีอนาคตที่สดใสมาตลอด
ตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมฯ มีผลการเรียนดี
จนกระทั่งสามารถสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้ พอเรียนจบก็ได้เรียนต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช
เธอมีครอบครัวที่แสนอบอุ่น มีพี่น้องที่ไม่ทะเลาะกัน พ่อแม่ไม่เจ้าชู้
มีความเข้าใจกัน เธอช่างมีทุกอย่างเพียบพร้อม แถมมีเพื่อนมากมายที่เธอรักและรักเธอ
“...ความรู้สึกพร้อมที่เรามี
ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก มันทําให้หมอเองใช้คุณค่าของชีวิตฟุ่มเฟือยมากไป
คือ เที่ยวทุกคืน ดื่มพอมึนๆ แต่อาศัยเข้าไปกินบรรยากาศ ฟังพวกเพื่อนที่กินเหล้าคุยกัน
ตอนนั้นมันรู้สึกสนุก บ้าๆ บอๆ สะใจ หัวเราะกันได้ทั้งคืน บ่อยครั้งดื่มถึงเช้าแล้วค่อยแยกย้ายกันกลับ
มันแปลกเหมือนกันที่หมอเองเป็นผู้หญิงคนเดียวในเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่ แต่หมอไม่รู้สึกกลัวอะไร
กลับรู้สึกว่าการทําแบบนี้เก๋มาก รู้สึกภูมิใจ เป็นการเข้าสังคมของกลุ่มพี่น้องหมอด้วยกัน...”
ก่อนหน้านั้นเธอเป็นคนห่างไกลศาสนา
มองไม่เห็นความจําเป็นว่า..ศาสนาจะเข้ามาช่วยให้ชีวิตสมบูรณ์ขึ้นได้อย่างไร
เพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว ทําบุญวันเกิดปีละครั้งตามประเพณีก็น่าจะเพียงพอ
จนกระทั่งเรียนจบหมอ แล้วได้มาเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช ซึ่งการประสบความสำเร็จอย่างนี้ ยิ่งทําให้เธอเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นไปอีก
“...คือตัวเองไม่ค่อยเชื่อว่า
คนอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริง ยิ่งเรียนสูติฯ ด้วย เห็นเด็กคลอดมากี่คนๆ
ก็ไม่เห็นใครจะสามารถเดินได้ 7
ก้าว แบบนี้..เป็นไปไม่ได้เลย ยังนั่งคุยกับเพื่อนๆ เลยว่า
สมัยก่อนคงมีนักคิดที่เก่งมาก คิดจะจัดระเบียบทางสังคมขึ้นมา จึงแต่งเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้น
แล้วใส่ปาฏิหาริย์เพื่อเพิ่มความศรัทธา และน่าเชื่อถือลงไป หนำซ้ำอะไรที่พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์
หรือจับต้องไม่ได้ ตอนนั้นมีความรู้สึกว่า เราจะไม่เชื่อเด็ดขาด”
เป็นความคิดที่หลายคนบนโลกใบนี้เชื่อและคิดอย่างเธอ
แล้วคุณล่ะคิดอย่างไร..??
สิ่งที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิตคนเราก็คือ
เราไม่รู้ว่าความเจ็บป่วยจะมาเยือนเมื่อไหร่ ในที่สุดวันร้ายคืนร้ายก็มาถึง... เธอล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน ด้วยโรคหมอนรองกระดูกแตก โดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
ซึ่งเจ็บปวดทรมานมากถึงขั้นเดินไม่ได้ เธอต้องเขารับการผ่าตัดและนอนพักฟื้นอย่างยาวนาน
แม้จะฉีดยาเข้าช่องไขสันหลังเพื่อบรรเทาอาการปวดก็ยังไม่หาย ถึงขนาดอาจารย์หมอที่ว่าเก่งๆ
ที่เชี่ยวชาญมากทั่วทั้งโรงพยาบาลมารุมวินิจฉัยดูอาการ ก็ยังไม่มีใครรักษาเธอได้
“รักษามาทุกวิธีแล้ว จนรู้สึกท้อแท้หมดหวัง
เหมือนหมดหวังทุกอย่างในชีวิต พอกินยาก็แพ้ยา คือ กินยาไม่ได้ ทำให้ทรมานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำหนักลดจาก
47 กิโลฯ เหลือ 42
กิโลฯ ภายใน 2-3 วัน จนอาจารย์หมอมาพูดกับเราว่า
ให้ทนอย่างนี้อีก 10 ปี ทนอีก 10
ปีนะ แล้วเราก็จะชินไปเอง พอได้ยินประโยคนี้..เรารับไม่ได้เลย จนทำให้หันกลับมาตั้งสติหยุดคิดว่า
มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตหรือนี่..!! คือ ผ่าตัดก็ไม่หาย พอฉีดยาเข้าช่องไขสันหลัง..น้ำไขสันหลังก็รั่ว
กินยา..ก็แพ้ยา อาจารย์หมอทุกคน เพื่อนหมอด้วยกันมารักษาดูอาการเราหมด เราก็ยังไม่หาย
แถมเราเองก็เป็นหมอด้วย มันช่างไม่ตรงไปตรงมาเสียเลย หมอเก่ง น่าจะรักษาหาย
ก็กลับไม่หาย แล้วทําไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับเรา ทําไมต้องเป็นเรา...”
วิชาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ว่าแน่
วิชาหมอที่เธอเรียนมาเกือบ 10 ปี แม้แต่สาเหตุที่แท้จริงของการป่วยของเธอก็หาไม่พบ
ซ้ำบอกกับเธอได้เพียงว่า ให้เธอทนรออีก 10 ปี แล้วจะชินไปเอง
น่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้
แล้วสิ่งนั้นคุณคิดว่าคืออะไรกันแน่ !!!
“ความรู้สึกเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ตอนนั้นลดลงไปเลย
เพราะเราสู้มาทุกทาง ใช้เทคโนโลยีที่ว่าทันสมัยทุกอย่างรักษามาหมด กลับสู้ไม่ได้
โชคดีที่ช่วงนั้นคุณน้ามาแนะนําให้เราใช้พุทธศาสตร์เข้าช่วย
ในเมื่อเราลองมาทุกทางแล้วนี่ ไม่มีอะไรดีขึ้น ก็เลยหันมาศึกษาธรรมะ ลองหัดทําสมาธิปฏิบัติธรรม
ทําบุญทุกบุญไม่ขาด โดยเฉพาะทุกวันนี้ จะขยันฟังธรรมะทุกวัน ทําให้เรากระจ่างชัด
และเข้าใจเบื้องหน้าเบื้องหลังของชีวิตได้มากขึ้น ทําให้เรารู้ว่า
เบื้องหลังอาการป่วยของเรามันคือวิบากกรรมที่เราเคยทําเอาไว้ในอดีตนั่นเอง”
“...ก่อนหน้านั้น
มีแต่คนบอกว่า คนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม มาชดใช้วิบากที่เคยทําไว้
ฟังแล้วรู้สึกว่า ถ้าเกิดมาแบบนี้ มันช่างไม่น่าเกิดมาเลยนะ เหมือนเกิดมาเพื่อโดนลงโทษ ฟังแล้วรู้สึกว่าห่อเหี่ยว
ทําไมเราไม่มีโอกาส หรือหนทางใดในการแก้ไขเลยหรือ ? แต่พอมาฟังคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านทรงเน้นย้ำว่า เราเกิดมาเพื่อทําพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญสร้าง บารมี พอรู้เป้าหมายชีวิตอย่างนี้ มันรู้สึกชุ่มชื่นใจในการเกิดมา เพราะเหมือนชีวิตมีโอกาสแก้ไขปรับปรุงในสิ่งที่เรายังบกพร่องได้”
ด้วยคําตอบนี้เองทําให้เธอประทับใจในคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มมากขึ้น
เพราะท่านทรงสอนถึงวิธีแก้ไขวิบาก กรรมจากหนักจะเป็นเบา จากเบาก็จะหาย
ถ้าตายก็ไปดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เธอยืนยันว่า วิทยาศาสตร์ และวิชาหมอไม่สอนไว้เลย
ซึ่งเธอได้พิสูจน์จุดนี้อย่างเด่นชัดด้วยตัวเอง เพราะอาการของเธอหมดหนทางจะเยียวยาแล้ว
แม้กินยา..ก็กินไม่ได้ เพราะแพ้ยา จึงรักษาด้วยการทําบุญ รักษาศีล ทําสมาธิ
และอธิษฐานจิต ในที่สุดเธอพบว่าอาการป่วยดีขึ้นตามลําดับ
จนกระทั่งสามารถกลับมาทํางานเป็นคุณหมอได้ดังเดิม
“จากเมื่อก่อนหมอไม่เคยคิดว่า
พุทธศาสตร์จะเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ขนาดนี้ ก่อนนั้นคิดเสมอว่า
เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ งมงาย แต่พอได้มาฟังมาศึกษากลับพบว่า วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ยังล้าหลังอยู่มาก อย่างเราเองเรียนหมอ วิชาแพทย์ก็อธิบายได้แค่การเกิดของคนกระทั่งตาย แต่ก่อนเกิดและหลังความตาย วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้
การเจ็บป่วยทางการแพทย์ เช่น โรคมะเร็ง ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารพัดโรค ทางการแพทย์เองก็ไม่สามารถบอกได้แน่ชัด บอกได้แต่สมมติฐานและพยาธิสภาพรวมๆ ว่า มาจากหลายสาเหตุ แต่พอมาศึกษาพุทธศาสตร์จากกรณีศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรม ทําให้พบว่าความรู้ที่เกิดขึ้นจากการทําสมาธิ สามารถตอบได้หมดถึงสาเหตุต้นตอของโรคว่า เป็นโรคนี้ เพราะกรรมอะไร จากชาติไหน และต้องแก้ไขอย่างไร ซึ่งตัวเราเองอัศจรรย์ใจมาก”
การเจ็บป่วยทางการแพทย์ เช่น โรคมะเร็ง ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารพัดโรค ทางการแพทย์เองก็ไม่สามารถบอกได้แน่ชัด บอกได้แต่สมมติฐานและพยาธิสภาพรวมๆ ว่า มาจากหลายสาเหตุ แต่พอมาศึกษาพุทธศาสตร์จากกรณีศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรม ทําให้พบว่าความรู้ที่เกิดขึ้นจากการทําสมาธิ สามารถตอบได้หมดถึงสาเหตุต้นตอของโรคว่า เป็นโรคนี้ เพราะกรรมอะไร จากชาติไหน และต้องแก้ไขอย่างไร ซึ่งตัวเราเองอัศจรรย์ใจมาก”
ทุกวันนี้เธอเชื่อมั่นถึงการมีจริงของพระสัมมาสัมพทธเจ้า เชื่อว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติแล้วสามารถเดินได้
7 ก้าวจริงๆ
“จากการได้ศึกษาพุทธประวัติการสร้างบารมีของพระพุทธองค์ในแต่ละชาติ
ว่ากว่าพระองค์จะวิเศษขนาดนี้ เพราะพระองค์ทรงสร้างบารมีมาอย่างยาวนานมากถึง 20
อสงไขย กับแสนมหากัป จนกระทั่งในชาติสุดท้าย ได้ลักษณะของกายมหาบุรุษครบถ้วน 32
ประการ จึงมีสภาพร่างกายพิเศษ ทําในสิ่งที่เหนือมนุษย์สามัญทั่วไปจะทําได้ ส่วนเด็กปัจจุบันที่คลอดออกมายังไม่เคยพบลักษณะพิเศษที่ได้กายมหาบุรุษเลย
จึงทําไม่ได้
และมากไปกว่านั้น พระองค์สามารถระลึกชาติสอนสัตว์โลก สามารถอธิบายการเกิดได้ ตั้งแต่ก่อนมาเกิด ปฏิสนธิ สภาพขณะอยู่ในครรภ์ จนคลอดได้อย่างละเอียดชัดเจนเอามากๆ ทั้งๆ ที่สมัย 2,500 กว่าปีที่ผ่านมา ยังไม่มีเทคโนโลยีไฮเทคใดๆ บอกให้เห็นภาพได้ถึงขนาดนั้น แต่พระองค์สามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ได้จากการทําสมาธิ ซึ่งมีบันทึกเป็นหลักฐานไว้ในพระไตรปิฎกมายาวนานกว่า 2,500 ปี แล้ว”
และมากไปกว่านั้น พระองค์สามารถระลึกชาติสอนสัตว์โลก สามารถอธิบายการเกิดได้ ตั้งแต่ก่อนมาเกิด ปฏิสนธิ สภาพขณะอยู่ในครรภ์ จนคลอดได้อย่างละเอียดชัดเจนเอามากๆ ทั้งๆ ที่สมัย 2,500 กว่าปีที่ผ่านมา ยังไม่มีเทคโนโลยีไฮเทคใดๆ บอกให้เห็นภาพได้ถึงขนาดนั้น แต่พระองค์สามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ได้จากการทําสมาธิ ซึ่งมีบันทึกเป็นหลักฐานไว้ในพระไตรปิฎกมายาวนานกว่า 2,500 ปี แล้ว”
“พอมาถึงทุกวันนี้ เมื่อหมอมองย้อนไปก็รู้สึกตลกตัวเองไม่หาย
ว่าทําไม..เราหลงคิดผิดๆ ด้วยมานะทิฏฐิอยู่ได้ตั้งนาน โดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้ลองศึกษาก่อน แต่พอมาศึกษาจริงจึงได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ต่อให้วิชาอื่นทางโลกที่ว่าเจ๋งๆ แม้ยังไม่เรียนรู้ก็ยังไม่เป็นไร
แต่หากพุทธศาสตร์เราไม่เรียนรู้ ก็จะไม่สามารถเอาตัวรอดอย่างปลอดภัยในวัฏสงสารได้
เพราะวิชานี้สอนให้เราเลือกและเลี่ยงได้ สอนให้เรารู้ว่าตอนเรามีชีวิตอยู่ขณะนี้ เราต้องดําเนินไปอย่างไรถึงจะมีชีวิตที่ดีขึ้น หลังตายแล้ว เราก็สามารถเลือกได้ว่าจะไปไหน จากการกระทําในปัจจุบัน แล้วยังสอนวิธีการลิขิตชีวิตตัวเองได้ข้ามชาติ ว่าเราต้องการให้ชีวิตในชาติหน้าเป็นอย่างไร และมีวิธีการแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดที่หลงไปทําบาปมาแล้วได้อย่างไร ตลอดจนวิธีการกําจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป หรือไม่ต้องเกิดอีก..จะต้องทําอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้เราเรียนรู้ได้จากการศึกษาธรรมะ โดยค่อยๆ ศึกษาสิ่งเหล่านี้ไป แล้วเราก็จะเข้าใจชีวิตเพิ่มมากขึ้น และมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแตกต่างอย่างที่ตัวหมอเองได้ประสบมา
เพราะวิชานี้สอนให้เราเลือกและเลี่ยงได้ สอนให้เรารู้ว่าตอนเรามีชีวิตอยู่ขณะนี้ เราต้องดําเนินไปอย่างไรถึงจะมีชีวิตที่ดีขึ้น หลังตายแล้ว เราก็สามารถเลือกได้ว่าจะไปไหน จากการกระทําในปัจจุบัน แล้วยังสอนวิธีการลิขิตชีวิตตัวเองได้ข้ามชาติ ว่าเราต้องการให้ชีวิตในชาติหน้าเป็นอย่างไร และมีวิธีการแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดที่หลงไปทําบาปมาแล้วได้อย่างไร ตลอดจนวิธีการกําจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป หรือไม่ต้องเกิดอีก..จะต้องทําอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้เราเรียนรู้ได้จากการศึกษาธรรมะ โดยค่อยๆ ศึกษาสิ่งเหล่านี้ไป แล้วเราก็จะเข้าใจชีวิตเพิ่มมากขึ้น และมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแตกต่างอย่างที่ตัวหมอเองได้ประสบมา
...หมอว่าจำเป็นนะ ในเมื่อเราไม่ได้มีชีวิตอยู่แค่ชาตินี้ชาติเดียว
แต่เรายังต้องเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน หากเรายังไม่ หมดกิเลส และในเมื่อเรายังต้องเกิดอีกหลายชาติ
ทําไมเราไม่เลือกที่จะเตรียมความพร้อมไว้ชาติหน้า เพื่อจะได้ไม่ต้องลําบาก
ไม่ต้องรันทดใจเหมือนชาตินี้อีก ถ้าชาติหน้าเกิดมาดี จะได้ไม่ต้องกังวลใจ ลุยสร้างความดี
สร้างบุญ สร้างบารมีอย่างเดียว และเมื่อบารมีเราเต็มเปี่ยมเมื่อไร
เราก็ไม่ต้องเกิดอีกแล้วไม่ต้องมาทุกข์กันอีก...”
หลังจากที่หมอศึกษาธรรมะ
ก็ทําให้คุณพ่อคุณแม่ และคนในบ้านของเธอได้รู้เรื่องธรรมะไปด้วย
ทําให้ที่บ้านเลิกขายบุหรี่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นเจ้าใหญ่เจ้าหนึ่งในอําเภอ
เพราะได้เรียนรู้ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งไม่ดี มอมเมาเยาวชน เหมือนเผาเงินไปเล่นๆ
และด้วยกรรมที่ขายของพวกนี้ ตายแล้วต้องไปใช้กรรมในมหานรกขุมต่างๆ แถมเกิดชาติหน้า
ด้วยกรรมที่ส่งเสริมให้คนติดบุหรี่..ก็จะเจอแต่สภาพแวดล้อมที่มีพี่น้องที่เป็นขี้ยา
ครอบครัวไม่มีความสุข ลูกหลานผลาญทรัพย์ไปใช้ในทางอบายมุข
ปัจจุบัน คุณพ่อคุณแม่พี่น้องที่บ้านต่างสนใจปฏิบัติธรรมมากขึ้น
จากเมื่อก่อนไม่เข้าใจ และไม่สนใจธรรมะเท่าที่ควร แต่พอได้ฟังธรรมะทุกวัน
ธรรมะก็ค่อยๆ ซึมซับขัดเกลาจิตใจ และเป็นที่พึ่งทางใจให้กับตัวเองได้”
“แปลกมาก
เมื่อก่อนเราชวนเขาทําบุญที่วัดนี่ยากมาก เดี่ยวนี้เขาชวนกันเอง
อย่างพี่น้องฝ่ายแม่ พอที่วัดมีงานบุญ ก็ชวนกันมาครบทั้ง 11 คน
ไม่เคยมีปรากฏการณ์แบบนี้มาก่อนเลย รู้สึกว่า ตั้งแต่ตัวเองเป็นคนเริ่มต้นศึกษาธรรมะ
ก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นมากทั้งกับตัวเองและครอบครัวอย่างเห็นได้ชัด
แล้วอย่างนี้จะว่าธรรมะเป็นสิ่งงมงายและเป็นส่วนเกินของชีวิตที่คิดว่ามีพร้อมในทุกสิ่งได้อย่างไร...”
“ในฐานะที่มีอาชีพหมอ ก็คิดว่า
การเผยแพร่ธรรมะให้กว้างไปถึงทุกบ้านจะมีประโยชน์มากๆ ต่อสังคม
เพราะเดี๋ยวนี้สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่า
เด็กที่มาฝากท้องกับหมอ อัตราของเด็กวัยรุ่น 16-17 ปี กําลังเป็นวัยเรียนเพิ่มสูงกว่าเมื่อก่อนมาก
บางคนมาขอร้องให้หมอทําแท้งให้ ซึ่งเราก็ให้ความรู้เขาว่ามันเป็นบาปอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ จะสังเกตเห็นว่า
ปัญหาเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นสูงมาก เพราะสังคมปัจจุบันพ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยรายการทีวี และอินเตอร์เน็ต
จนเด็กซึมซับพฤติกรรมจากทีวีและโลกโซเชียล ซึ่งเราอยากจะให้ลูกเราเป็นอย่างนั้นหรือ ???
หมอคิดว่า
หากมีทีวีสักช่องหนึ่งที่จะเสนอแต่รายการที่ดีๆ สอนสิ่งที่ถูกที่ควร
และแนะนําสิ่งที่ถูกต้องให้กับลูกเรา สังคมไทยจะไม่ลองเลือกเชียวหรือ จากเดิมหมอเองก็ไม่เห็นความสําคัญจากธรรมะมาก่อน
แต่พอตอนหลังเราให้โอกาสกับตัวเองอะไรที่ดีๆ ก็เกิดขึ้น
หมอได้คิดว่า แม้ว่าเราจะมีความรู้สูง ฉลาด..ก็อย่าฉลาดอย่างงมงายอย่างที่หมอเคยเป็นมาก่อน
คือ ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้มาศึกษาก่อน แถมยังปิดกั้นสิ่งเหล่านั้นไว้ ซึ่งจะทําให้เราไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ดีที่สุดไปตลอดชีวิตเลยก็ได้
คนเราอาจผิดพลาดในชีวิต
คิดผิดด้วยความยึดมั่นในความรู้และความพร้อมของตัวเองได้ก็จริง
แต่สิ่งที่เราไม่ควรผิดพลาดเลยสําหรับชีวิตนี้ ก็คือ การปิดกั้นตัวเองจากสิ่งที่ยังไม่ได้ลองศึกษา
แล้วด่วนสรุปด้วยตัวเองแทนการลงมือพิสูจน์
การเปิดโอกาสให้ตนเองได้ศึกษาธรรมะ
ก็เป็นทางเลือกใหม่ ในการเปิดโอกาสให้เราได้ศึกษาวิชาที่สําคัญและจําเป็นที่สุดในชีวิตเพื่อคนที่เรารัก
และตัวเราเอง”
เรื่องราวของคุณหมอที่เล่าเรื่องราวชีวิตของเธอให้ฟังนี้
คล้ายกับการดื่มน้ำจากแก้วที่ว่างเปล่ามานาน จนในที่สุดได้พบน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญและจําเป็นมากสําหรับการยังอัตภาพให้ร่างกายมีชีวิตอยู่ แต่เพราะความชาชินกับความพร้อมที่หลายคนคิดว่าตัวเองมีทุกอย่างแล้ว
เลยทําให้ชิน จนลืมนึกไปว่า แก้วที่ตัวเองดื่มนั้น ไม่มีน้ำ..อยู่ในแก้วเลย
ถ้าเราดื่มน้ำจากแก้วที่ไม่มีน้ำ แล้วเราจะหยุดกระหายได้อย่างไร !!!
Cr. ร. ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๙ ประจำเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
อย่าฉลาด..อย่าง งมงาย !!!
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
03:41
Rating:
สาธุค่ะ
ตอบลบเยี่ยมมาก ชัดเจน สาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบสาธุค่ะ คุณหมอ
ตอบลบสาธุค่ะ ธรรมะพระพุทธเจ้ามีค่าสำหรับชีวิตเรามากที่สุด
ตอบลบสาธุค่ะ
ตอบลบสาธุค่ะกราบอนุโมทนาบุญค่ะ
ตอบลบสาธุ...
ตอบลบเรื่องราวนี้ดีมากๆ. สมควรเผยแพร่ไปเยอะๆ คุณหมอโชคดีมีบุญเก่าเยอะ. จึงพบเสั้นทางชีวิตใหม่ ที่ทำให้แก้ไขวิบากกรรมได้อย่างแท้จริง. นำพาไปสู่เส้นทางบุญที่จะได้เป็นแสงสว่างให้แก่ชาวโลกอย่างมากมาย ขออนุโมทนาค่ะ
ตอบลบสาธุ
ลบขอบคุณนะค๊ะ ที่นำมาเล่าได้อ่านอย่างง่ายๆและสบายๆ เข้าใจง่าย สาธุและขออนุโมทนาบุญค่ะ
ตอบลบขอบคุณนะค๊ะ ที่นำมาเล่าได้อ่านอย่างง่ายๆและสบายๆ เข้าใจง่าย สาธุและขออนุโมทนาบุญค่ะ
ตอบลบสาธุค่ะ ขอบพระคุณที่นำเรื่องราวดี ๆ ให้เป็นข้อคิดเตือนใจกับคนที่ยังไม่เข้าใจชีวิติ ยังมีอยู่มากค่ะ
ตอบลบสาธุ อนุโมทนาบุญค่ะ
ตอบลบพี่หมอออ ตกลงพี่หมอหายป่วยเพราะไรอ่ะ .. อยากรู้ต่ออ่ะ? มีตอนต่อไปป่ะคะ?
ตอบลบขออนุโมทนาบุญกับคุณหมอด้วยค่ะ เรื่องราวของคุณหมอจะช่วยปลูกสัมมาทิฏฐิในใจผู้คนอีกมากมาย
ตอบลบเรื่องราวที่ดี อย่างนี้ขอให้แชร์. ต่อๆไปเยอะๆนะคะ เพื่อเป็นวิทยาทาน ให้หลายๆคนท่ียังลังเลสงสัย จะได้ปลื้มและภูมิใจมากๆท่ีได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ศรัทธาและหวงแหนเพชรท่ีมีอยู่ในมือ.....
ตอบลบขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
ตอบลบสาธุ อนุโมทามิ.
ตอบลบสาธุค่ะ คุณหมอ....ขออนุญาตนำไปเผยแพร่เป็นวิทยาทาน ธรรมะต่อนะค่ะ....สาธ สาธุ สาธุ
ตอบลบสาธุค่ะ คุณหมอ....ขออนุญาตนำไปเผยแพร่เป็นวิทยาทาน ธรรมะต่อนะค่ะ....สาธ สาธุ สาธุ
ตอบลบเคสของคุณหมอสามารถนำไปบอกให้อีกหลายๆคนได้รับรู้ เพราะคนไม่เชื่อในเรื่องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอีกมากเลยค่ะ.. สาธุ ค่ะ
ตอบลบสาธุค่ะคุณหมอไม่เพียงแต่เดินทางถูกยังช่วยแนะนำทางแก่คนหลงทางด้วย
ตอบลบสาธุครับ เป็นประโยชน์มากๆ
ตอบลบสาธุค่ะ...ขออนุญาติแชร์เป็นวิทยาทานนะคะ
ตอบลบสาธุค่ะ...เป็นการเล่าประสบการณ์ชีวิตที่มีคุณค่าจริงๆๆ
ตอบลบอนุโมทนาบุญค่ะ สาธุๆ
ตอบลบสาธุๆ ค่ะ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบอกาลิโก ธัมโม โหติ
ตอบลบอกาลิโก ธัมโม โหติ
ตอบลบขอบคุณคุณหมอครับที่เผยแพร่สิ่งดีๆ
ตอบลบขอบคุณคุณหมอครับที่เผยแพร่สิ่งดีๆ
ตอบลบดีมากคะ ขอร่วมอนุโมทนา สาธุคะ
ตอบลบชื่นชม ครับ มาถูกทาง ล่ะ
ตอบลบอนุโมทนา สาธุครับ
ตอบลบคุณหมอได้มีโอกาสให้ธรรมะเป็นทาน ถือเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ เป็นเมตตาบารมี
การตั้งจิตปฏิบัติสมาธิอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้จิตใจนิ่งสงบ เกิดพลังจิต จนเป็นพลังอำนาจจิตรักษาตัวเองได้ สิ่งนี้เป็นความอัศจรรย์ของร่างกาย ที่วิทยาศาสตร์อธิบายไปไม่ถึง.....ลองทำดูน่ะครับ
สาธุสาธุสาธุ
ตอบลบอนุโมทนาในมหาธรรมทานค่ะคุณหมอ
สาธุ สาธุ สาธุ.. ค่ะคุณหมอ
ตอบลบสาธุค่ะ
ตอบลบสาธุค่ะ
ตอบลบดีมากครับ
ตอบลบดีมากครับ
ตอบลบสาธุค่ะ
ตอบลบสาธุครับ:)
ตอบลบอ่านช่วงแรกโอเคและคล้อยตามเลยครับ แต่พอถึงช่วงกลางเริ่มแปลกๆ ทำสมาธิแล้วเห็นนู่นนี่ ระลึกชาติได้บ้าง สามารถแก้ไขวิบากกรรมได้บ้าง ฯลฯ ชักแปลกๆ มันใช่แนวคำสอนของพระพุทธศนารึเปล่า??? สาธุ
ตอบลบใช่ค่ะ พระองค์ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาตืบ้าง จนถึงหลายๆชาตินับไม่ถ้วนค่ะ พระองค์จะนำไปตรัสสอนภิกษุ ที่เรียกว่า ชาดก ค่ะ เป็นอดีตชาตืของพระองค์ เวลาจิตสงบ มีสมาธิจนได้ฌาณจะสามารถเห็นภพชาติของตนเอง หรือผุ้อื่นได้ค่ะ
ลบใช่เลยครับ คำสอนของพระพุทธศาสนา ในเรื่องการระลึกชาติได้ ก็คือ ชาดกครับ (เขาไม่ได้บอกว่าพระพุทธเจ้า ระลึกชาติได้นะครับ แต่นิทานชาดก เป็นเรื่องของชาติก่อนๆ ของพระพุทธเจ้าครับ ( ไม่งงใช่ไหมครับ )
ลบยังมีบุญมากสามารถใด้เรียนรู้กฏแห่งกรรม สาธุค่ะ
ลบสาธุ
ตอบลบสาธุ
ตอบลบคุณหมอประกอบบุญเก่ามามาก จึงทำให้ชีวิตเกิดมาเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่ถูกมารกดจนหลงผิด แต่ดีที่มีสัญญาใจกับมหาปูชนียาจารย์อย่างเหนียวแน่นจึงได้กลับมาเจอกับหมู่คณะอีก อนุโมทนาสาธุกับคุณหมอด้วยค่ะ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบสาธุครับ
ตอบลบสาธุครับ
ตอบลบเหมือนกับว่าคนเราจะต้องทุกข์ที่สุดหรือเกือบที่สุด แบบคล้ายกับว่าจะหมดหนทางจึงจะเข้าสู่เส้นทางของธรรมะได้ครับ อยากเห็นคนส่วนใหญ่สนใจธรรมะศึกษาธรรมะก่อนที่จะทุกข์จนหมดหนทาง ปัญหาต่างๆ จะได้เกิดกันน้อยลง อยากให้เด็กขยันเรียนกวดวิชาแบ่งเวลาส่วนหนึ่งมาศึกษาธรรมะ มาปฏิบัติธรรม
ตอบลบอยากเห็นคนส่วนใหญ่สนใจธรรมะ..... อยากให้เด็กขยันเรียนกวดวิชา..... อาการอยากแบบนี้เป็นกิเลสในจิตไหมครับ
ลบเป็นครับ เป็นความอยากในทางบวก
ลบคล้ายๆคิดดีคิดในทางบวก ย่อมนำไปสู่การทำดีได้
คำพูดหรือการกระทำของผู้มีสติและคิดดี
ย่อมนำไปสู่การพูดดีทำดี
คิดแบบนี้ปล่าวครับ
ขออนุโมทนาสาธุ...กับประสบการณ์ทางธรรม ของคุณหมอ ที่ได้เผยแพร่ เพื่อประโยชน์แก่ชนทั้งหลาย ผู้ที่มีทิฐิ อุปปาาน อันเหนียวแน่น อาจจะได้ ละคลายลงบ้าง ก็เป็นบุญมหาศาลแล้วครับ....ขออนุโมทนา.
ตอบลบแล้วเราจะเริ่มต้นศึกษาธรรมะอย่างไรเป็นสิ่งแรก
ตอบลบยอดเยี่ยมมากครับคุณหมอ...ขออนุโมทนาด้วยครับ...และขออนุญาตคุณหมอแชร์ต่อๆกันในหมูญาตสนิทมิตรสหายเพื่อเป็นธรรมทานต่อๆไปนะครับ...กราบขออนุญาตครับ
ตอบลบเทพมาก
ตอบลบสาธุ อยากให้คนเข้าใจเหมือนคุณหมอมีจำนวนมากๆ นะคะ
ตอบลบสาธุ อยากให้คนเข้าใจเหมือนคุณหมอมีจำนวนมากๆ นะคะ
ตอบลบสาธุ
ตอบลบเป็นประโยชน์สำหรับสังคมไทยในปัจจุบัน ถ้าเยาวชนได้เข้ามาอ่านก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก...อนุโมทนา
ตอบลบคุณหมอมีประสบการณ์การศึกษาธรรมะโดยตรง ขอความรู้ความเข้าใจแนวทางศึกษาธรรมะด้วยได้ไหมคะ เราจะเริ่มต้นอย่างไร..คุณหมอช่วยแนะนำด้วยนะคะ ได้แต่สวดมนตร์ อ่านหนังสือธรรมะ ทำสมาธิ ..ไม่มีทิศทางเลยค่ะ
ตอบลบคุณหมอมีประสบการณ์การศึกษาธรรมะโดยตรง ขอความรู้ความเข้าใจแนวทางศึกษาธรรมะด้วยได้ไหมคะ เราจะเริ่มต้นอย่างไร..คุณหมอช่วยแนะนำด้วยนะคะ ได้แต่สวดมนตร์ อ่านหนังสือธรรมะ ทำสมาธิ ..ไม่มีทิศทางเลยค่ะ
ตอบลบสาธุครับ
ตอบลบหมอมีบุญที่จะได้เข้าถึงธรรม แต่ถูกบังด้วยมิจฉาทิฏฐิ จึงต้องได้รับวิบากกรรมเสียก่อน มิจฉาฯ จึงจะถูกขจัดดไปได้ เมื่อสิ้นมิจฉาฯ ธรรมก็เกิด โรคที่รักษาไม่หาย ก็หายได้ มีนักวิทยาศาสตร์คนใดอธิบายการหายของโรคได้ไหม?
ตอบลบขอขอบพระคุณอย่างสูงนะคะคุณหมอ DHAMMA IS GOOD.
ตอบลบขออนุโมทนากับคุณหมอ..ที่เป็นพยานยืนยันให้โลกรู้ถึงความสำคัญของธรรมในพระพุุทธศาสนา..ว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรู้.
ตอบลบวิทยาศาสตร์จะปฏิเสธในสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ทำให้คนเรามีจิตใจคับแคบ วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่พัฒนาไม่สมบูรณ์ จะทิ้งความไม่สมบูรณ์ไว้ให้เห็นอยู่เสมอ ถ้าเราพิจารณาให้อย่างถ่องแท้ ไม่เว้นเคลื่อนโทรศัพท์
ตอบลบยังโชคดีมีบุญตามทันสาธุด้วยครับหาพุทธวจนอ่านไปเรื่อยๆครับ
ตอบลบสาธุครับ
ตอบลบสาธุๆๆค่ะ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบธรรมะทีวีจานดาวเทียมดำใหญ่ psi ช่อง 231, 232, 238
ตอบลบใช่ครับคนเรามีบุพกรรมของแต่ละคน
ตอบลบไม่มีคำว่าบังเอิญในชีวิตครับ เพราะเป็นไปตามบุพกรรม
เมื่อเวลามาถึง
ใช่ครับคนเรามีบุพกรรมของแต่ละคน
ตอบลบไม่มีคำว่าบังเอิญในชีวิตครับ เพราะเป็นไปตามบุพกรรม
เมื่อเวลามาถึง
พระพุทธเจ้าสอนคนตามอุปนิสัย ซึ่งพระองค์หยั่งรู้ได้ จึงแยกคนไว้ 4เหล่า คำสอนนั้นมีทั้งแบบบุคลาธิษฐาน และธรรมาธิษฐาน คนที่ใฝ่รู้จะเข้าใจหลักคำสอนได้ดีที่สุด ธรรมะหลายบทสมมุติเป็นตัวละคร เป็นมนุษย์ เทวดา พรหม ยักษ์ มาร ภูตผี ปีศาจ อุปมา อุปมัยเพื่อให้มนุษย์ด้อยปัญญาเข้าใจง่าย มนุษญ์ผู้มีปัญญาแต่แรก มักเข้าใจคำสอนที่เป็นแบบธรรมาธิษฐาน ซึ่งเป็นสาระแห่งธรรมล้วนๆ...
ตอบลบตั้งแต่เด็กเรียนมาว่า พระพุทธองค์เปรียบคน4ประเภทเหมือนบัว4เหล่า เเต่เมื่อไม่นานมานี้ ไปอ่านเจอว่า ในพระไตรปิฎกจริงๆ มีแค่ 3 เหล่า แต่มีการดัดแปลงให้เป็น 4 เหล่า ไม่ทราบว่าอันใดจริงหรือปลอม
ลบขออนุโมทนาสาธุการกับคุณหมอด้วย
ตอบลบ...วันที่ผมหายใจไม่ออก...ยังบอกหมอไม่ได้เลย...ตาเหลือกมองหมอ..หมอก็ไม่รู้เรื่อง!!!
ตอบลบ...ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีบุญอยู่...คงไม่ได้มาพิมพ์ข้อความนี้..ในตอนนี้!!
...วันที่ผมหายใจไม่ออก...ยังบอกหมอไม่ได้เลย...ตาเหลือกมองหมอ..หมอก็ไม่รู้เรื่อง!!!
ตอบลบ...ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีบุญอยู่...คงไม่ได้มาพิมพ์ข้อความนี้..ในตอนนี้!!
สาธุ ครับ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
ตอบลบอนุโมทนาบุญด้วยกับคุณหมอที่ให้ธรรมเป็นทานแก่เพื่อนมนุษย์ สาธุ.
ตอบลบใช่แล้วคะ เป็นสิ่งที่จะได้รู้และสัมผัส กับผู้ที่ได้ศึกษาและปฏิบัติ อนุโมทนาบุญคะ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ ครับ
ตอบลบสาธุๆๆ
ตอบลบข้อคิดที่ดีๆควรค่าแก่การอ่านและจดจำนะ
ตอบลบหมอยังมาพิสูจน์เองเลย
ตอบลบหมอยังมาพิสูจน์เองเลย
ตอบลบสาธุค่ะคุณหมอ
ตอบลบแจ่มกระจ่างครับ
ตอบลบสาธุครับ
สาธุๆ สาธุครับ
ตอบลบสาธุค่ะ
ตอบลบเรามีกรรมเป็นของตนจริงๆ
ตอบลบสาธุ อนุโมทนาบุญ สุดยอดค่ะ ขอบคคุณค่ะ
ตอบลบสาธุครับ แจ่มแจ้งจริงหนอเอย.
ตอบลบสาธุ ต้องเข้าวัดถึงจะรู้ว่าดี และมีความสุขภายในอย่างไร
ตอบลบสาธุ
ตอบลบขอแสดงความยินดีกับคุณหมอด้วยนะคะ
ตอบลบตอนนี้คุณหมอมีความสามารถทั้งทางวิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์ ดิฉันเชื่อมั่นว่าคุณหมอจะรักษาคนไข้ได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆคนเข้าใจที่มาของมนุษย์ในทางพระพุทธศาสนา ยอมรับ ปฏิบัติตัวให้มีความสุขมากขึ้นในชาตินี้และชาติหน้า
ขอให้มีมนุษย์สานต่อพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าตลอดไป
สาธุ สาธุ สาธุ
สาธุค่ะ ขออนุโมทนาในบุญค่ะ อยากให้คุณหมอเขียนประสบการณ์ของคุณหมอ ออกมามากๆเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังเรียนรู้ อยากติดตามอ่านด้วยค่ะ
ตอบลบสาธุสาธุค่ะ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
ตอบลบสาธุค่ะ
ตอบลบเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้งแสวงบุญสร้างบารมีค่ะ
ตอบลบอจินติตสูตร ว่าด้วยเรื่อง วิบากกรรม ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิกันมากในสังคมไทย ... http://www.nkgen.com/246.htm
ตอบลบมีคนดังในโลกโซเซีียลหนึ่งคนตอนนี้ที่ศึกษาธรรมะไม่ลึกซึ้งเลยเชื่อว่าพระเวสสันฏรเป็นนิทานหลอกเด็กในการบริจาคลูกให้กับชูชก
ตอบลบสาธุค่ะ ขออนุญาติแชร์ไว้เป็นวิทยาทานด้วยค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
ตอบลบสาธุครับ. ขอให้ข้าพเจ้าและพวกเราอย่าได้เดินหลงทางเสียเวลายาวนาน เข้าถึงธรรมะของพระพุทธองค์คือนิพพานในภพนี้ด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ...
ตอบลบดี..แต่ระวังเรื่องของกรรม ต้องละเอียดและลึกซึ้ง ง่ายและยากพอๆกันและเข้าใจผิดได้ง่ายๆเพราะเผยแพร่คำสอนที่ไม่ถูกต้อง อยากแก้กรรมต้องมรรคแปดเท่านั้น
ตอบลบมีประสบการณ์เช่นเดียวกับคุณหมอเลย ต่างกันแค่ผมเรียนวิศวกรรม คุณหมอเรียนแพทย์ หลักวิทยาศาสตร์ทั้งคู่ แต่สุดท้ายวิทยาศาสตร์ให้คำตอบไม่ได้ ต้องอาศัยพุทธศาสตร์จึงกระจ่าง การสัมผัสได้มีจริง คือ ฌาณ 6 ต้องปฏิบัติเองเท่านั้นจึงจะรู้
ตอบลบอนุโมธนาสาธุ
ตอบลบหมดเวรกรรมพบบุญกุศลครับสาธุ.
ตอบลบสาธุ__/|\__
ตอบลบอ่านบทความนี้ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจที่ พระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีกุลบุตรทั้งหลายน้อมนำไปปฎิบัติ อนุโมทนาบุญกับคุณหมอและครอบครัว ด้วยค่ะขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นนะคะ หากต้องการปฎิบัติธรรมรู้หลักการดำเนินจิตที่ถูกต้อง คลิ๊ก www.samathi.com นะคะ สาธุ
ตอบลบโชคดีมากที่ได้อ่านบทความของคุณหมอ เดิมผมเองก็เคยมีความสงสัยในศาสนาพุทธ เช่นเดียวกัน แต่ผมยังโชคดีกว่าคุณหมอที่ไม่ได้ป่วยแบบล้มหมอนนอนเสื่อ แต่กระนั้นก็ยังเป็นโรคเบาหวานและไตรกลีเซอไรด์สูงมาก เท่านี้ก็ยังทำให้ผมหันเข้าหาธรรมะได้ และมาบัดนี้ ผมอายุใกล้ 70 ปีแล้ว ยิ่งทำให้ผมต้องสงบสเงี่ยมมากขึ้นและหันมาใฝ่ศึกษาธรรมะและหมั่นสร้างบุญทำกุศล เพื่อให้ภพหน้าชาติใหม่ของผมได้มีบุญกุศลหนุนนำให้ได้อยู่ในบวรพุทธศาสนา ขออนุโมทนากับคุณหมอด้วยครับ
ตอบลบอนุโมทนาบุญกับคุณหมอที่แชร์ประสบการณ์ที่ได้รับจากธรรมะของ "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" แล้วทำหน้าที่เป็น "กัลยาณมิตร" ให้แก่ชาวโลกผู้ยังไม่รู้ครับ สาธุครับ
ตอบลบ