ยิ่งรู้จัก ยิ่งเคารพรักท่าน
เชิญอ่านเรื่องราวอันเป็นมงคล ในวันมงคล เพื่อความเป็นสิริมงคล
วันจันทร์ท่ี ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
วันเกิดด้วยรูปกายเนื้อพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ครบ ๑๓๒ ปี
แผ่นดินรูปดอกบัว สถานที่เกิด |
ย้อนไปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๗ ตรงกับรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ณ ผืนดินรูปดอกบัวที่แวดล้อมด้วยธารน้ำแห่งตำบลสองพี่น้อง
อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี มีเด็กชายคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นในครอบครัวพ่อค้าข้าว
เด็กคนนี้ได้ชื่อว่า “สด มีแก้วน้อย”
ต่อมา เมื่อเติบใหญ่ได้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และครองเพศสมณะเรื่อยมาจนกระทั่งกลายเป็นพระมหาเถระผู้มีคุณูปการอย่างยิ่งต่อพระพุทธศาสนา
นามว่า พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
ในปีที่เด็กชายสด มีแก้วน้อย ถือกำเนิดขึ้น ระบบการศึกษาของประเทศสยามมีการปฏิรูปครั้งสำคัญ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนสำหรับราษฎรขึ้นเป็นแห่งแรก และต่อ ๆ มา ก็มีโรงเรียนเกิดขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ
และหัวเมือง เพื่อให้ประชาชนได้รับการศึกษาทั่วถึงกัน
อย่างไรก็ตาม ในระยะแรกการเรียนการสอนส่วนใหญ่ยังเป็นรูปแบบเดิม
คือ อยู่ในวัด โดยมีพระภิกษุเป็นผู้สอน พระเดชพระคุณหลวงปู่ในวัยเยาว์จึงเข้าเรียนหนังสือที่วัดเช่นเดียวกับเด็กชายไทยส่วนใหญ่ในยุคนั้น
------------------------------
ณ วัดสองพี่น้อง พระเดชพระคุณหลวงปู่เรียนหนังสือไทยและขอมกับพระภิกษุน้าชายของท่าน
ต่อมาพระน้าชายลาสิกขา ท่านจึงย้ายไปเรียนต่อที่วัดบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม
จนสามารถอ่านเขียนทั้งหนังสือไทยและขอมได้อย่างคล่องแคล่ว
การเล่าเรียนหนังสือไทยและขอมเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อกุลบุตรทั้งหลายในยุคนั้น
เพราะเมื่อบรรพชาอุปสมบทตามประเพณีของชายไทยแล้ว จะสามารถอ่านหนังสือ คัมภีร์ใบลาน และศึกษาความรู้ในพระไตรปิฎกที่ส่วนใหญ่จารด้วยอักษรขอมได้
-----------------------------
เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว พระเดชพระคุณหลวงปู่ออกไปช่วยบิดาประกอบอาชีพค้าข้าว
ต่อมา ขณะที่ท่านอายุได้ ๑๔ ปี บิดาของท่านถึงแก่กรรม ท่านเป็นบุตรชายคนโตจึงต้องรับช่วงทำธุรกิจค้าข้าว
และสามารถก่อร่างสร้างตัวจนกระทั่งมีฐานะดีพอสมควรทั้งที่ยังอยู่ในวัยเยาว์
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่มีอายุได้ ๑๙ ปี วันหนึ่งท่านเดินทางกลับจากการค้าข้าว
ขณะที่นำเรือเปล่ากลับบ้าน ต้องผ่านคลองบางนางแท่นที่มีโจรชุกชุมและเปลี่ยวมาก เสี่ยงต่ออันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ
นั่งเรือไปก็ระแวดระวังอันตรายไปตลอดทาง
เมื่อผ่านพ้นอันตรายมาแล้ว ท่านเกิดความคิดว่า การหาเงินหาทองเป็นเรื่องที่ลำบากจริง
ๆ ต่างคนต่างหาไม่มีเวลาหยุดด้วยกันทั้งนั้น ถ้าใครไม่รีบเร่งหาให้มั่งมีก็ไม่มีใครนับถือและคบหา
บรรพบุรุษของท่านก็ทำมาดังนี้เหมือนกัน แต่ขณะนี้บรรพบุรุษตายไปหมดแล้ว และตัวท่านก็ต้องตายเหมือนกัน
เมื่อตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้เลย บิดาที่ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ เสื้อผ้า ข้าวของ
หรือแม้แต่ตัวท่าน พี่น้องของท่าน และแม่ของท่าน ก็ไม่ได้ไปด้วยเลย
คิดดังนี้แล้ว พระเดชพระคุณหลวงปู่ก็เกิดธรรมสังเวชอยากออกบวชเพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์
ท่านจึงจุดธูปบูชาพระ และตั้งจิตอธิษฐานอุทิศชีวิตแด่พระศาสนาว่า “ขออย่าให้เราตายเสียก่อน ขอให้บวชเสียก่อนเถิด
ถ้าบวชแล้วไม่สึกจนตลอดชีวิต”
หลังจากตั้งจิตอธิษฐานว่าจะออกบวชตลอดชีวิตแล้ว พระเดชพระคุณหลวงปู่ยังคงตั้งใจทำมาหากินต่อไป
รวมเวลาที่ทำอาชีพค้าข้าวได้ ๘ ปี สามารถสะสมเงินได้มากพอสมควร จากนั้นท่านมอบเงินจำนวนนี้ให้มารดาเก็บไว้เป็นทุนเลี้ยงชีวิต
ท่านจะได้ออกบวชอย่างไม่มีกังวล
วัดสองพี่น้อง สถานที่ออกบวช |
ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ขณะที่อายุ ๒๒ ปี พระเดชพระคุณหลวงปู่เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบทที่วัดสองพี่น้อง
อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ได้ฉายาว่า “จนฺทสโร”
การออกบวชของท่านมิใช่แค่การบวชตามประเพณีเท่านั้น แต่เป็นการบวชที่มีเป้าหมายยิ่งใหญ่
คือ “จะทำพระนิพพานให้แจ้ง นำพาตนเองให้พ้นทุกข์”
ในเมื่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ยิ่งใหญ่สุดประมาณ แค่คิดอย่างเดียวไม่มีทางไปถึงจุดหมายนั้นได้
ดังนั้นเมื่อบวชแล้วท่านจึงใช้เวลาทุกวันอย่างทรงคุณค่า เพื่อก้าวไปให้ถึงจุดหมายนั้น
ด้วยการ...
- ทำสมาธิปฏิบัติธรรมทุกวัน ไม่เคยขาดแม้แต่วันเดียวนับตั้งแต่วันแรกที่ออกบวช
- ขวนขวายไปศึกษาหาความรู้จากพระอาจารย์หลายรูป รวมทั้งศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค
ซึ่งเป็นคัมภีร์แม่บทของการปฏิบัติธรรม
- ศึกษาค้นคว้าความรู้ในพระไตรปิฎกเป็นเวลาหลายปีจนเชี่ยวชาญภาษาบาลี
จากนั้นจึงมุ่งศึกษาธรรมปฏิบัติให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
-----------------------
พระเดชพระคุณหลวงปู่ทุ่มเวลาให้กับการทำสมาธิภาวนาอย่างต่อเนื่องทุกวัน
ค่อย ๆ สั่งสมความบริสุทธิ์ของใจไปทีละน้อย ๆ ทำให้ใจของท่านหยุดนิ่งมากขึ้นตามลำดับ
ขณะที่ท่านกำลังปฏิบัติธรรมเพื่อแสวงหาความสงบสุขภายในอยู่นั้น
ประเทศในอีกซีกโลกหนึ่งกลับทำสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์โดยสิ้นเชิงกับความสงบสุข คือ ก่อสงครามโลกครั้งที่
๑ ขึ้น (พ.ศ.
๒๔๕๗)
วัดโบสถ์บน สถานที่บรรลุธรรม |
ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ (ตรงกับรัชกาลที่ ๖)
ประเทศสยามส่งกองทหารอาสาไปร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตร ในปีนั้นพระเดชพระคุณหลวงปู่จำพรรษาอยู่ที่วัดโบสถ์บน
ตำบลบางคูเวียง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และได้เข้าสู่สมรภูมิเช่นกัน แต่เป็นสมรภูมิแห่งการต่อสู้กับกิเลสอาสวะ
ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ พ.ศ. ๒๔๖๐ ระหว่างพรรษาที่
๑๒ ณ วัดโบสถ์บน พระเดชพระคุณหลวงปู่หวนระลึกถึงความตั้งใจเมื่อครั้งแรกบวชที่จะปฏิบัติให้บรรลุธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดังนั้นเมื่อฉันภัตตาหารเช้าเสร็จแล้ว ท่านจึงเดินเข้าสู่อุโบสถเพื่อปฏิบัติธรรม โดยตั้งปณิธานว่า
“หากไม่ได้ยินกลองเพลจะไม่ลุกขึ้นจากที่”
ท่านหลับตาภาวนา “สัมมาอะระหัง” ไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจความปวดเมื่อยใด
ๆ ในที่สุดใจก็ค่อย ๆ สงบลงแล้วรวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน เห็นดวงใสบริสุทธิ์ขนาดเท่าฟองไข่แดงของไก่ติดอยู่ที่ศูนย์กลางกาย
การเข้าถึงธรรมขั้นต้นนี้ทำให้ท่านมีความสุขตลอดทั้งวัน
--------------------------
เย็นนั้น ท่านเข้าไปในอุโบสถอีกครั้ง แล้วนั่งลงทำสมาธิภาวนาอย่างไม่อาลัยในชีวิต
“ในเมื่อเราตั้งใจจริง ๆ ในการบวช จำเดิมอายุสิบเก้า
เราได้ปฏิญาณตนบวชจนตาย ขออย่าให้ตายในระหว่างก่อนบวช บัดนี้ก็ได้บอกลามาถึง ๑๕ พรรษา* ย่างเข้าพรรษานี้แล้ว ก็พอแก่ความประสงค์ของเราแล้ว บัดนี้ของจริงที่พระพุทธเจ้าท่านรู้
ท่านเห็น เราก็ยังไม่ได้บรรลุ ยังไม่รู้ ไม่เห็น สมควรแล้วที่จะต้องกระทำอย่างจริงจัง
เมื่อตกลงใจได้ดังนี้แล้ว วันนั้นเป็นวันกลางเดือน ๑๐ ก็เริ่มเข้าโรงอุโบสถแต่เวลาเย็น
ตั้งสัจจาธิษฐานแน่นอนลงไปว่า ถ้าเรานั่งลงไปครั้งนี้ไม่เห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าต้องการ
เป็นอันไม่ลุกจากที่นี้จนหมดชีวิต”
นอกจากความตั้งใจข้างต้นนี้แล้ว พระเดชพระคุณหลวงปู่ยังตั้งจิตอธิษฐานว่า
หากรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว “จะขอเป็นทนายของพระศาสนาไปจนตลอดชีวิต”
จากนั้น พระเดชพระคุณหลวงปู่ก็ทำความเพียรตามสัจจะที่ตั้งไว้
และเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว (พระธรรมกาย)
กลางดึกคืนนั้น
การแสวงหาธรรมของท่านด้วยการ “ยอมตายแต่ไม่ยอมแพ้” กลายเป็นแบบอย่างในการสร้างบารมีชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันแก่ศิษยานุศิษย์ของท่านในยุคต่อ
ๆ มา
*๑๕ ปี นับจากวันตั้งจิตอธิษฐานออกบวช
-------------------------------
เมื่อเข้าถึงพระธรรมกายแล้ว พระเดชพระคุณหลวงปู่นำความรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติไปตรวจสอบกับความรู้ในพระไตรปิฎกและคัมภีร์ต่าง
ๆ ที่ท่านเคยศึกษามาเป็นเวลานับสิบปีว่าตรงกันหรือไม่ ปรากฏว่าตรงกัน ทำให้ท่านปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากเข้าถึงธรรมแล้ว พระเดชพระคุณหลวงปู่จึงตระหนักว่า ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก
จะเข้าถึงได้ต้องทำให้ “ใจ” หยุดนิ่งสนิทที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เหนือสะดือ ๒ นิ้วมือ ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมในการรับรู้ทางใจ
ถ้าใจไม่หยุดก็จะเข้าถึงพระธรรมกายไม่ได้
“ใจ” ในที่นี้ มิได้หมายถึง “หัวใจ” ซึ่งเป็นอวัยวะที่ใช้สูบฉีดโลหิตไปหล่อเลี้ยงร่างกาย
แต่หมายถึง “ใจ” ซึ่งเป็นธาตุละเอียด มีลักษณะเป็นดวงกลมใส มีที่อาศัยอยู่บริเวณศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ในกลางตัวมนุษย์ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่หากฝึกสมาธิไประดับหนึ่งก็จะสามารถเห็นได้
ในเวลาต่อมา พระเดชพระคุณหลวงปู่เมตตาเทศนาสอนธรรมปฏิบัติแก่มหาชน และกล่าวสรุปไว้ว่า “หยุดเป็นตัวสำเร็จ”
----------------------------------
ก่อนที่พระเดชพระคุณหลวงปู่จะค้นพบวิชชาธรรมกายนั้น วิธีดำเนินจิตเข้าไปในเส้นทางสายกลางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายเคยดำเนินไปแล้วนี้
หายไปเกือบ ๒,๐๐๐ ปี ดังที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า
“...พระพุทธเจ้าไม่เกิดขึ้นในโลกละก็ ธรรมอันนี้ไม่มีใครแสดง
ไม่มีใครบอก ไม่มีใครเล่าให้ฟัง ถึงกระนั้นที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับเสียเกือบสองพันปี มาเกิดขึ้นที่วัดปากน้ำนี้แล้ว
อุตส่าห์พยายามทำกันไปอย่าได้ดูหมิ่นดูแคลนหนา อย่าได้เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย แก่ยากแก่ลำบากแต่เล็ก
ๆ น้อย ๆ เมื่อมาประสบพบพุทธศาสนา พบของจริงละ เข้าถึงของจริงให้ได้...”
การเข้าถึงพระธรรมกายของพระเดชพระคุณหลวงปู่ นอกจากเป็นการค้นพบวิชชาธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กลับคืนมาแล้ว
ยังเป็นพยานในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกด้วย
นอกจากนี้ การค้นพบของท่านยังช่วยให้ชาวโลกในยุคนี้รู้ว่า ทุกคนมีพระธรรมกายอยู่ในตัว, หนทางนิพพานหรือทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) อยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน, ทุกคนมีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมและก้าวไปสู่ความเป็นอริยะ จนกระทั่งหลุดพ้นจากความทุกข์ได้โดยเท่าเทียมกัน
ด้วยวิธีหยุดใจ
คำว่า “หยุด”
(หยุดใจด้วยการทำสมาธิภาวนา)
จึงเปรียบเสมือนกุญแจดอกเดียวที่ใช้ไขปริศนาแห่งชีวิตที่มนุษย์แสวงหามาเป็นเวลายาวนาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสวงหาความสุขที่แท้จริง
-------------------------------
ต่อมา เมื่อออกพรรษาแล้ว พระเดชพระคุณหลวงปู่เริ่มภารกิจปันความสุข
เพื่อปลดปล่อยมวลมนุษย์ให้พ้นจากห้วงทุกข์ ด้วยการมองเข้าไปในใจของท่านว่าจะมีใครสามารถรู้เห็นธรรมได้บ้าง
ก็มีภาพวัดบางปลา ตำบลบางเลน จังหวัดนครปฐม ที่ท่านเคยไปเรียนหนังสือเมื่อครั้งยังเป็นเด็กปรากฏขึ้นในใจ
ท่านจึงเดินทางไปสอนธรรมปฏิบัติที่วัดแห่งนี้ ซึ่งปรากฏว่า มีพระภิกษุเข้าถึงพระธรรมกาย
๓ รูป และฆราวาสอีก ๔ คน บุคคลเหล่านี้ถือเป็นพยานในการบรรลุธรรมของท่าน ว่าหนทางที่ท่านปฏิบัตินั้นเป็นของจริง
หากใครปฏิบัติถูกต้องก็จะเข้าถึงได้เช่นเดียวกัน
ในราวกลางปี พ.ศ. ๒๔๖๑ (กลางรัชกาลที่ ๖)
ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ ๑ ใกล้จะสิ้นสุดลง พระเดชพระคุณหลวงปู่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ
ภาษีเจริญ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ท่านปักหลักค้นคว้าทำวิชชาและสอนธรรมปฏิบัติจนตลอดชีวิต
----------------------------------
พระเดชพระคุณหลวงปู่ทุ่มเวลาให้กับการบำเพ็ญภาวนาพร้อมกับพระภิกษุ-สามเณร และอุบาสิกา ในโรงงานทำวิชชา
(สถานที่ศึกษาวิชชาธรรมกายชั้นสูง) ที่วัดปากน้ำ
ภาษีเจริญ ทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลาเกือบ ๓๐ ปี (พ.ศ. ๒๔๗๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๒) ทั้งนี้เพื่อค้นคว้าความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
โดยมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ คือ การปราบมาร (กิเลสมาร, เทวบุตรมาร, มัจจุมาร, ขันธมาร
และอภิสังขารมาร) ซึ่งเป็นสาเหตุของความทุกข์ ความเบียดเบียน
และการรบราฆ่าฟันกันในรูปแบบต่าง ๆ ให้หมดสิ้นไปจากชีวิตของมนุษย์และสรรพสัตว์
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ สถานที่ปักหลักเผยแผ่วิชชาธรรมกาย |
นอกจากนี้ ท่านยังหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขลงในใจของผู้คนด้วยการสอนทำสมาธิที่วัดปากน้ำ
ภาษีเจริญ ทุกวันพฤหัสบดี และส่งลูกศิษย์ออกไปสอนธรรมปฏิบัติเกือบทุกจังหวัดในประเทศไทย
ทำให้กระแสการปฏิบัติธรรมแผ่ขยายไปอย่างกว้างขวางและคึกคัก มีผู้เข้าถึงพระธรรมกายและมีผลการปฏิบัติธรรมที่ดีเป็นจำนวนมาก
ชื่อเสียงวัดปากน้ำโด่งดังไปถึงต่างประเทศ
จนกระทั่งมีชาวต่างชาติเดินทางมาปฏิบัติธรรมและมาบวชที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พระเดชพระคุณหลวงปู่เรียกประชุมศิษย์ทั้งหมด
พร้อมทั้งปรารภว่า อีก ๕ ปีท่านจะมรณภาพ ขอให้ทุกคนช่วยกันเผยแผ่วิชชาธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทั่วโลกให้ได้
เนื่องจากวิชชาธรรมกายสามารถช่วยมนุษย์ทั้งโลกให้หลุดพ้นจากความทุกข์ และเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้มีสันติสุขได้อย่างแท้จริง
ต่อมา ในวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๒ เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่มีอายุได้
๗๕ ปี รวมพรรษาได้ ๕๓ พรรษา ท่านก็มรณภาพตรงตามเวลาที่ท่านเคยปรารภไว้
----------------------------------
พระเดชพระคุณหลวงปู่ใช้เวลาทุกคืนวันบนโลกใบนี้อย่างสุดแสนคุ้มค่า
และจากไปอย่างสง่างาม
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ท่านสามารถบรรลุเป้าหมายอันสูงส่งที่ตั้งไว้ทุกประการ
คือ
- สามารถดำรงเพศสมณะได้จนตลอดชีวิต ดังที่ตั้งมโนปณิธานไว้เมื่อครั้งอายุ
๑๙ ปี
- สามารถทำพระนิพพานให้แจ้ง ได้รู้เห็นธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดังที่ตั้งใจไว้เมื่อแรกบวช
- สามารถเป็นทนายให้พระศาสนาได้ตลอดชีวิต ดังที่เคยตั้งสัจจาธิษฐานไว้ก่อนเข้าถึงพระธรรมกายในคืนวันเพ็ญ
ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ พ.ศ. ๒๔๖๐
--------------------------------
หลังจากพระเดชพระคุณหลวงปู่ละจากโลกนี้ไปแล้ว ความปรารถนาของท่านที่ต้องการให้วิชชาธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแผ่ขยายไปทั่วโลกก็บังเกิดเป็นจริง
โดยมีคณะศิษยานุศิษย์ทั้งพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ทุ่มเทชีวิตจิตใจสืบสานปณิธานของท่าน ด้วยการนำวิชชาธรรมกายไปสู่ใจของชาวโลก เพื่อให้ชาวโลกทั้งหลายหลุดพ้นจากวังวนแห่งความทุกข์ ได้พบกับความสุขที่แท้จริง และก่อเกิดเป็นสันติภาพของโลกในที่สุด
Cr. มาตา วารสารอยู่ในบุญ สำนักสื่อธรรมะ
ยิ่งรู้จัก ยิ่งเคารพรักท่าน
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
08:35
Rating:
สาธุครับ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
ตอบลบอยากให้ทุกคนได้อ่านค่ะ ชีวประวัติของมหาปูชนียาจารย์ที่ชาวโลกควรศึกษาค่ะ
สาธุครับ
ตอบลบ