เหมือนใจจะขาด
ในคราวกลางเดือนกันยายน
๒๕๓๒ นี้เอง ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมเพื่อนรุ่นพี่ผู้หนึ่ง พอโผล่เข้าไปในบ้านของเพื่อน
ก็เห็นโทรทัศน์เปิดอยู่มี “หนุ่มน้อย” อายุใกล้ ๖๐ ปีอย่างข้าพเจ้า ยืนครวญเพลงรักอยู่ในจอภาพ
เนื้อเพลงรําพันถึงสาวอีกเมืองหนึ่ง คนร้องซึ่งวัยเป็นคุณปู่คุณตาแล้ว
แต่งตัวเหมือนหนุ่มรุ่นกระทง หวีผมเรียบ แต่งหน้าจนเห็นได้ชัดว่าทาแป้ง ทาปาก
แล้วก็ทําดวงตาที่เห็นชัดว่าเหี่ยวย่นออกจะขุ่นฝ้า ทำท่าเคลิ้มฝันถึงสาวในเนื้อร้อง
ข้าพเจ้าหันหน้าหนีจากภาพในจอ ฟังแต่เสียง ก็ต้องนึกอุทาน ในใจว่า
“อือ...ม... เสียงคนเนี่ยดีแฮะ เวลาผ่านไปตั้ง ๓๐
กว่าปี ก็ยังไม่ใคร่เปลี่ยนเหมือนหุ่น”
เสียงของชายนักร้องผู้นั้นยังไพเราะไม่ต่างจากเดิมนัก
แม้จะมีความชราของเสียงปรากฏอยู่บ้าง คือปลายเสียงออกสั่นนิดๆ จะฟังให้ดูเป็นเสียงสั่นพลิ้วของลูกคอก็ยังได้
ข้าพเจ้าถามเพื่อนของข้าพเจ้าว่า
“พี่ชอบฟังเสียงของคนรุ่นนี้เหรอ”
“ชอบมาก นักร้องเดี๋ยวนี้ร้องไม่ถึงพวกรุ่นเก่านี่หรอก
นี่รู้มั้ยให้เด็กอัดให้ทั้งชุดเลย เค้าเอามาอัดเทปใหม่
แต่ดนตรีไม่เหมือนเดิมยังไม่ถูกใจนัก กําลังหาแผ่นเสียงเก่าเอามาอัดเปรียบเทียบกันอยู่
คุณฟังแล้ว คุณจะรู้ว่า ดีกว่ากันแยะเลย” อีกฝ่ายชี้แจงเสียยาว จนข้าพเจ้าต้องคิดต่อไปได้ยาวเหมือนกัน
“ว้าพี่คนนี้เนี่ย อายุปูนนี้แล้ว ยังติดในเสียงอยู่เลย เสียงเพราะ
เสียงไม่เพราะ มันก็ไอ้แค่เสียงนั่นหรอก ทําไมต้องไปตามอัดให้เสียเวลา เสียเงิน
เสียงานไม่เข้าเรื่อง”
ได้แต่คิด แต่ก็ไม่ได้ท้วงอะไรออกมา
คงเป็นเพราะเมื่อก่อนพี่ผู้นี้ติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสมามาก
จึงมีเรื่องพวกนี้ค้างอยู่ในใจอีกแยะ ข้าพเจ้าเห็นนักร้องผู้นี้แล้ว
ทําให้คิดถึงเพื่อนคนหนึ่ง จึงถามว่า
“เออ พี่รู้มั้ย นักร้องคนนี้เค้าเลิกกับเมียคนแรกเพราะอะไร ใครผิด ใครถูก”
“อ๋อ เค้ารับงานร้องเพลงทางภาคใต้น่ะ เดินทางไปร้องแล้วก็ไปเที่ยวซ่อง
เป็นโรคงอมแงม พลอยทําให้เมียติดโรคไปด้วย ข้างในเน่า
ต้องผ่าตัดเกือบเอาชีวิตไม่รอดน่ะ เมียเค้าก็โกรธซี ก็เลยเลิกกัน ถามทําไมหรือ”
“เปล่าหรอกค่ะ เห็นผู้ชายนักร้องคนนี้แล้ว คิดถึงเพื่อนรักคนหนึ่งสมัยเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยน่ะค่ะ”
ข้าพเจ้าตอบ พอดีมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จึงเป็นอันเลิกคุยเรื่องนักร้องกันไป
เลิกคุยแต่ปาก แต่ใจของข้าพเจ้ากลับคิดต่อ คิดสังเวชอะไรหลายๆ อย่างรวมทั้งคิดย้อนไปถึงอดีตสมัยเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย (พ.ศ. ๒๔๘๙) คิดถึงเพื่อนรักที่ชื่อศรีพิมล (ชื่อสมมติ) คนนั้นเมื่อเรียนกันอยู่ชั้น ปีที่ ๓ ทําไมหนอ เมื่อเราอยู่ในวัยรุ่น เราจึงแยกคนเก่งกับคนดีไม่ใคร่ออก เห็นคนเก่งเป็นคนดีวิเศษไปหมด เวลานั้นภรรยาคนแรกของนักร้องชายคนที่ข้าพเจ้ากล่าวถึง ก็มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเรา คงจะหลงใหลในน้ำเสียง คิดว่าคนร้องเพลงเก่งก็เป็นคนดีไปด้วย กว่าจะรู้ว่าคิดผิดก็แทบเอาชีวิตไม่รอดจากโรคซิฟิลิส
ข้าพเจ้าตอบ พอดีมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จึงเป็นอันเลิกคุยเรื่องนักร้องกันไป
เลิกคุยแต่ปาก แต่ใจของข้าพเจ้ากลับคิดต่อ คิดสังเวชอะไรหลายๆ อย่างรวมทั้งคิดย้อนไปถึงอดีตสมัยเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย (พ.ศ. ๒๔๘๙) คิดถึงเพื่อนรักที่ชื่อศรีพิมล (ชื่อสมมติ) คนนั้นเมื่อเรียนกันอยู่ชั้น ปีที่ ๓ ทําไมหนอ เมื่อเราอยู่ในวัยรุ่น เราจึงแยกคนเก่งกับคนดีไม่ใคร่ออก เห็นคนเก่งเป็นคนดีวิเศษไปหมด เวลานั้นภรรยาคนแรกของนักร้องชายคนที่ข้าพเจ้ากล่าวถึง ก็มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเรา คงจะหลงใหลในน้ำเสียง คิดว่าคนร้องเพลงเก่งก็เป็นคนดีไปด้วย กว่าจะรู้ว่าคิดผิดก็แทบเอาชีวิตไม่รอดจากโรคซิฟิลิส
วันนั้นเป็นเวลาพักตอนกลางวัน ทุกคนออกจากห้องเรียนไปรับประทานอาหารกันหมด
ข้าพเจ้าขอร้องให้เพื่อนที่เคยไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันเป็นประจําไปกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง
อ้างว่า
“วันนี้กาญจน์ไปทานข้าวกับแขเถอะนะ
ชั้นมีธุระจะไปที่ตึกแหม็ดหน่อย”
ตึกแหม็ด หมายถึง Mathemetics แปลว่า ตึกคณิตศาสตร์ การอ้างว่าไปที่ตึกนั้นก็เพื่อไปเอาตําราเรียนที่เพื่อนอีกคณะหนึ่ง
เป็นการขอตัว ความจริงไม่จําเป็นต้องไปตอนกลางวันก็ได้ เพราะตอนเย็นก็จะต้องพบกันที่หอพักอยู่แล้ว
แต่ที่ข้าพเจ้าไม่ไปรับประทานข้าวกลางวัน เพราะวันนั้นกินข้าวไม่ลงจริงๆ
กินไม่ลงมาตั้งแต่เย็นวานแล้ว เพราะบังเอิญได้พบเพื่อนสมัยเรียนอยู่ด้วยกันในชั้นมัธยมที่ต่างจังหวัด
หลังจากทักทายถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว เพื่อนก็พูดว่า
“หวิน ยายศรีเค้าบอกว่าแฟนของนายส่งส.ค.ส.กับของขวัญไปให้เค้าเมื่อปีใหม่
มันจะยังไงอยู่น้า...”
“งั้นเหรอ ช่างเค้าเถอะ มาคุยเรื่องของเราดีกว่า” ข้าพเจ้าทำอาการเหมือนไม่สนใจอะไร
แต่ในใจนั้น ไม่ช่างเค้าเถอะตามปากว่าเลย มันรุ่มร้อนปวดร้าวจี๋เหมือนใครเอาไฟฟ้ามาช้อต
จากกับเพื่อนผู้นั้นแล้ว ใจก็ยิ่งคิดปรุงแต่งไปมากมาย
“เค้าคิดนอกใจเรารึ!”
แม้จะรู้ว่า “รักคือทุกข์” มาตั้งแต่ครั้งเรียนหนังสือภาษาไทยเรื่อง
กามนิตวาสิฏฐีในสมัยชั้นมัธยม แต่เมื่อถึงคราวมีความรักก็ช่วยตนเองไม่ได้ที่จะไม่ให้ทุกข์
ความรักระหว่างเพศเป็นความรักไม่บริสุทธิ์ เป็นรักที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว
หึงหวง หวาดระแวง อิจฉาริษยาไม่เห็นหน้ากันก็คิดถึง ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความระแวงแคลงใจ
ว่าตอนนี้จะไปจีบคนอื่นที่ไหนอยู่ ทุกข์เพราะคิดถึงก็หนักอยู่แล้ว
ยังทุกข์เพราะหวาดระแวงเพิ่มมาอีกเรื่องหนึ่ง จะหาความสงบใจมาจากที่ไหนกัน
พอเห็นหน้ากัน ได้อุ่นใจขึ้นมา ก็ต้องนั่งอิจฉา ไม่พอใจ ถ้ามีใครสวยกว่า
เด่นกว่า ผ่านมาใกล้ ทําให้คนของเราหันไปสนใจมอง หึงหวงจนกระทั่งไม่อยากให้มองคนอื่น
มันช่างทุกข์ไปหมด นี่ยิ่งมาได้ยินเพื่อน
ฟ้องว่าถึงกับซื้อของขวัญให้คนอื่นก็ให้เหมือนมีไฟกองใหญ่เผาใจเดือดปุดๆ
ตามกําหนดจะต้องได้พบกันวันรุ่งขึ้น ก็จะได้โอกาสถามให้รู้เรื่อง
แต่เวลาเพียงวันเดียวที่ต้องคอยนั้น มันยาวนานเหลือเกิน เหมือนนานนับสิบปีทีเดียว
ยังไม่รู้ว่าคําตอบจะเป็นอย่างไร แต่ใจกลับไม่ยอมคิดทางดีเอาเสียเลย
คิดแต่ทางเลวร้าย คนทรยศ! คนทรยศ! คนทรยศ! คิดไปโน่น
ยืนเหม่อคิดระแวงหึงหวงโดยไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แค่คิดล่วงหน้าในทางไม่ดีไว้เท่านั้น
เหมือนใจจะขาด น้ำตาพาลหลั่งไหลห้ามไม่อยู่ ต้องลุกออกมายืนอยู่ที่ระเบียงตึก
มองทอดสายตาออกไปไกลๆ เผื่อจะเห็นอะไรแปลกๆ เปลี่ยนอารมณ์ตัวเอง
ขืนปล่อยให้คิดเรื่องเดิมคงต้องร้องไห้โฮออกมาแน่
ทันใดนั้น ข้าพเจ้าก็มองไปเห็นเพื่อนคนหนึ่งเดินมาแต่ไกล
ข้าพเจ้าต้องขยี้ตาซ้ำอีกว่าตาฝาดไปหรือเปล่า เพราะข้าพเจ้ามีเพื่อนร้องไห้ร่วมทุกข์ด้วยแล้ว ศรีพิมลนั่นเอง ศรีพิมลเดินเช็ดน้ำตาป้อยมาทีเดียว เขาคงจะเห็นข้าพเจ้ายืนอยู่
ในมือของศรีพิมลมีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง พอมาใกล้ข้าพเจ้าเธอก็โผตัวเข้ามาหาร้องไห้สะอึกสะอื้น
ร้องดังโฮๆ แทนข้าพเจ้าเสียเลย
ข้าพเจ้าหยุดเสียใจเรื่องของตนเองโดยกะทันหัน ดูอาการแล้วเพื่อนทุกข์หนักกว่า
จึงลูบหลังศรีพิมลไปมาปลอบเบา ๆ
“มลเป็นอะไรไปเหรอ เสียใจเรื่องอะไร” ข้าพเจ้าถาม
ศรีพิมลไม่ตอบ ยื่นหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นให้ข้าพเจ้า พร้อมกับร้องสะอึกสะอื้นต่อไป
พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น เป็นข่าวนักร้องชายคนที่ข้าพเจ้าเล่าถึงในตอนต้นนั่นเอง
พาสตรีสาวสวยลูกเศรษฐีหนี เวลานั้นนักร้องคนดังกล่าวเพิ่งจะเริ่มมีชื่อเสียง
ฐานะยังไม่ร่ำรวย เมื่อเทียบเรื่องฐานะ เรื่องตระกูลแล้ว เทียบกันไม่ได้เลย
จึงถือว่าเป็นข่าวใหญ่มาก เพราะญาติทางฝ่ายหญิงเป็นคนที่ใครก็รู้จัก
เพียงเห็นหัวข่าว ข้าพเจ้าก็เข้าใจและพูดอะไรไม่ออก ถ้าตนเองเวลานั้นไม่ใช่เวลากําลังทุกข์เพราะคนรักอยู่แล้ว
ข้าพเจ้าอาจไม่เข้าใจความรู้สึกของเพื่อน
ข้าพเจ้ากอดเพื่อนไว้ ปล่อยให้ร้องไห้ให้พอใจเสียก่อน ร้องไห้เหนื่อยหมดแรงจะได้พูดกันรู้เรื่อง
ตอนกําลังสะเทือนใจอย่างนี้ถึงพูดไปอีกฝ่ายก็รับไม่ได้
เพื่อนคนนี้แอบหลงใหล หลงรักนักร้องชายคนดังกล่าวนานเป็นปี
รักอยู่ข้างเดียวโดยไม่เคยรู้จักกันเป็นส่วนตัว เวลานักร้องคนนี้จะไปร้องเพลงที่ใด
เพื่อนก็จะมาอ้อนวอนข้าพเจ้า
“หวินว่างมั้ย
ไปด้วยกันหน่อยนะ ชั้นคิดถึงจนนอนไม่หลับ คราวนี้เค้ามีเพลงใหม่อีกหลายเพลงนะ
ไปเป็นเพื่อนหน่อยเถอะ ฟังเสียงแล้วชื่นใจ มีความสุขไปหลายๆ วัน เสียงเค้านุ่ม
เหมือนฟองกํามะหยี่เลยเชียว” พูดชักชวนไปด้วย ทําตาลอยแบบเพ้อฝันไปด้วย
น่าเสียดายสมัยนั้นยังไม่มีวิทยาการสมัยใหม่ อัดเสียงไว้ในเทปอย่างดีก็มีแค่อัดไว้ในแผ่นเสียง
เป็นแผ่นกลมแบนแผ่นใหญ่ๆ เท่าจานข้าว ต้องใช้กับตัวเครื่องซึ่งก็มีขนาดโตพอๆ
กับกระเป๋าเดินทาง ซ้ำยังมีราคาแพงมากเมื่อเทียบกับรายได้ของนักศึกษาแต่ละคน
ใครจะมีเครื่องเล่นจานเสียงก็ต้องเป็นลูกเศรษฐี ในหอพักที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่มีนิสิตหญิงร่วมร้อยคน
คนที่มีเครื่องเล่นดังกล่าวมีเพียงคนเดียวเท่านั้น เธอเป็นลูกสาวบุญธรรมของเศรษฐีปักษ์ใต้
การไปฟังเพลงสมัยนั้น วัยรุ่นไม่ใคร่นิยมกันนัก ส่วนใหญ่มักอยู่ในโอวาทของผู้ปกครอง
พวกนิยมฟังจึงเป็นพวกหนุ่มสาวซึ่งพ้นจากการเป็นนักเรียนมัธยม เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นวัยที่มีอิสระไปไหนมาไหนกันตามสบาย
เพราะส่วนใหญ่เป็นเด็กมาจากต่างจังหวัด เช่าบ้านอยู่กันเองบ้าง อยู่หอพักกันบ้าง
ฟองกํามะหยี่เป็นอย่างไร ข้าพเจ้าไม่รู้จักและคิดว่าเพื่อนที่พูดก็คงไม่รู้จักเหมือนกัน
คงพูดไปตามที่รู้สึกว่ามันคงนุ่มแสนนุ่มเท่านั้น เสียงเพราะวิเศษแค่ไหน
ข้าพเจ้าฟังแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครร้อง ผู้หญิงหรือ ผู้ชายก็ตาม
แม้แต่เสียงดนตรีทุกชนิด ข้าพเจ้าก็ฟังแต่ว่าเป็นเสียงคน เสียงเครื่องดนตรี
แต่จะให้บอกว่าดียังไง ไพเราะยังไง ก็อธิบายไม่ถูกเพราะไม่มีความรู้ด้านนี้เอาเสียเลย
เสียงก็ฟังไม่ออกว่าไพเราะ ยิ่งภาพถ่ายนักร้องผู้นั้นที่เพื่อนเคยเอาให้ดู
เพราะเขาต้องพกติดตัวไว้ดูหน้าเสมอ ข้าพเจ้ายิ่งเห็นว่า
“โธ่เอ๊ย ไม่น่าหลงรักอะไรเลย หน้าตาก็หนุ่มลูกคนจีนดีๆ นี่เอง ตาเล็ก แก้มกางเป็นสี่เหลี่ยม
มองเท่าไหร่ๆ ก็ไม่เห็นจะหล่อตรงไหน หลงเข้าไปได้ยังไง เอ้อ!
ถ้าเป็นอย่างดาราฝรั่งที่ยายมลุลี เพื่อนอีกคนหนึ่ง
หลงรักถึงกับอัดรูปเท่าตัวจริงนอนกอดทุกคืน ยังงั้นค่อยน่าบ้าหน่อยเพราะมันหล่อขนาดหนัก”
ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงไม่เคยหลงใหลในสิ่งที่เพื่อนบางคนกําลังเป็นกันอยู่
อย่างรายนี้เวลาชวนข้าพเจ้าไปฟังเพลงที่ไหน ข้าพเจ้าก็จะหาเรื่องปฏิเสธ
แล้วก็ให้เพื่อนที่เขารสนิยมอย่างเดียวกันไปด้วยกันถึงกระนั้นก็ยังไม่พ้นรําคาญ
พอพวกนี้กลับมาก็ต้องเก็บเหตุการณ์ต่างๆ มาเล่าให้ฟังอย่างชื่นชมหลงใหลต่อไปอีกนาน
นี่ถ้าเป็นสมัยนี้ คงไม่ต้องตะเกียกตะกายตามไปดูการแสดงตามที่ต่างๆ
กันถึงขนาดนั้น เพราะมีทั้งเทป ทั้งวีดีโอ ดูกันให้ฉ่ำใจ
เวลานั้นเมื่อเพื่อนร้องไห้อยู่ต่อหน้าเพราะเสียดายที่ดารานักร้องคนโปรด
พาสตรีที่เขารักหนีไปอยู่ด้วยกัน ข้าพเจ้าให้รู้สึกสับสน ใจหนึ่งก็สงสารรู้ซึ้งถึงความหึงหวงเพราะตนเองกําลังเป็นทุกข์อยู่ในเวลาเดียวกัน
อีกใจก็สมเพชเวทนาในความหลงใหล ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่ามันคือความโง่เขลาเบาปัญญาแท้ๆ
คนไม่เคยรู้จักกันเลย ไปเสียใจหึงหวงเขาได้อย่างไรกัน ถ้าเป็นแฟนเหมือนข้าพเจ้ากําลังเข้าใจคนรักผิดนี่ก็เป็นอีกเรื่อง
น่าเห็นใจกว่า
แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เวลาจะพูดซ้ำเติมให้เพื่อนเสียใจยิ่งขึ้นไปอีก
“มล ทําใจดีๆ เถอะ นายกับนักร้องนั่น ไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ นะ
เค้าไม่เคยรู้จักนายเลย นายรักเค้าข้างเดียว เค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายรักเค้า ถึงรู้
ก็ไม่ใช่มีคนหลงรักเค้าแค่นายคนเดียว อีกกี่ร้อยกี่พันคนก็ไม่รู้ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรุมรักเค้าด้วยกันทั้งนั้น
ส่วนเค้าจะรักใครนั้นเป็นเรื่องของเขาคนเดียว เค้าผิดหรือที่จะรักผู้หญิงคนนั้น”
“ถ้านายรักเค้าจริง นายต้องดีใจกับเค้าซี คนที่เรารักมีความสุข เราควรจะสุขใจจึงจะถูก
ผู้หญิงคนนั้นเป็นนักเรียนนอกด้วย เป็นลูกเศรษฐีด้วย ข้อสําคัญเป็นคนสวยมากเหลือเกิน
ตามที่เห็นภาพในหนังสือพิมพ์เนี่ย เค้าดีกว่าคนอย่างเราๆ ชนิดเทียบกันไม่ได้
เราควรดีใจแทนผู้ชายเค้าซีที่หาเมียได้เลอเลิศยังงั้น”
ศรีพิมลหยุดสะอื้น ฟังคําพูดของข้าพเจ้าด้วยความตั้งใจ เพราะร้องไห้มานานพอสมควรแล้ว
แต่ถึงจะฟังรู้เรื่อง เธอก็ทําใจยังไม่ได้
“ที่นายพูดนั้นน่ะ เราเข้าใจดีทุกอย่าง ความจริงมันควรจะดีใจที่เค้ามีความสุขอย่างที่นายพูด
แต่ทําไมไม่รู้ ใจมีแต่เจ็บปวด มันทําเป็นดีใจไม่ได้ มันเหมือนใจจะขาด
เหมือนใจจะขาดจริงๆ เราจะทําอย่างไรดี เราไม่อยากเป็นอย่างนี้
กะคนอื่นเราก็ไม่กล้าพูด ไม่กล้าร้องไห้ระบายกะพวกเค้าหรอก เดี๋ยวถูกหาว่าบ้าแน่เลย
เราก็จะกลายเป็นตัวตลกไป แต่กะนาย เรารู้ว่านายใจดี ต้องสงสารเห็นใจเราแน่ๆ
ช่วยเราหน่อยเถอะ ทําไงดี” ขอร้องสลับสะอื้น
ตอนนั้น ข้าพเจ้าไม่มีความรู้ทางธรรมอะไรๆ อยู่เลย จะหาถ้อยคําใดๆ
มาปลอบเพื่อนก็ให้รู้สึกลําบากยากเย็น นึกในใจถึงคนต้นเหตุไปโน่น
พวกดารา พวกนักร้อง นักแสดงนี้ เค้าได้บาปหรือได้บุญกันแน่ เวลาแสดงให้คนดู ให้คนรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลินน่าจะได้บุญนะ
แต่ที่เป็นต้นเหตุให้ผู้คนหลงใหลมัวเมาอย่างเพื่อนของเรานี่ละไม่เป็นบาปไปหรือ
มารู้เอาตอนนี้ว่า ความจริงการแสดงให้ผู้ชมเพลิดเพลินนั้นไม่ได้บญ
เพราะทําให้คนดูประมาทในชีวิต แทนที่จะพิจารณาเห็นตามความเป็นจริงว่า รูป รส กลิ่น
เสียง สัมผัสในโลกนี้ เป็นของไม่มีแก่นสารสาระ กลับหลงใหลชื่นชมยินดี
ทําให้ขาดปัญญา ทุกชีวิตกําลังแก่ กําลังเจ็บ กําลังเดินไปสู่ความตายอยู่ทุกขณะจิต
ควรหรือจะมารื่นเริงสนุกสนานอะไรกันอยู่ ควรจะแสวงหาหนทางเพื่อให้พ้นทุกข์เหล่านั้นจึงจะถูก
ต้อง รู้ตามความเป็นจริงดังนี้ต่างหาก
เมื่อไม่รู้ข้อธรรมทางศาสนาเอาเสียเลย ข้าพเจ้าก็ใช้แต่เพียงเหตุผลธรรมดาปลอบโยนไปตามเรื่อง
“เหมือนใจจะขาด เหมือนใจจะขาด เราเข้าใจความรู้สึกของมลจ้ะ
เพราะแฟนของเราที่ต่างคนต่างรักกัน เวลาเราเข้าใจอะไรเค้าผิดหรือเค้าทําอะไรบางเรื่องให้เราน้อยใจนะ
เราก็เจ็บปวดเหมือนใจจะขาดเหมือนกัน”
“แต่ของเรานะ ถ้าเรามีอาการใจจะขาดขึ้นมาจริงๆ คนที่จะเสียใจและเห็นใจเรามากๆ
ก็คงเป็นแฟนของเรา เพราะเค้าเป็นต้นเหตุ แต่สําหรับนายเกิดขาดใจขึ้นมาจริงๆ
มีใครเห็นใจบ้าง หาตัวคนผิดก็ไม่พบ ใครรู้เข้าก็มีแต่สมเพช หัวเราะเป็นเรื่องขำ
หาว่าบ้านักร้องจนตาย มีแต่อับอายฝ่ายเดียว ค่อยคิดดูซีที่เราพูดนี่จริงรึเปล่า
ให้ความเจ็บปวดตอนนี้เป็นบทเรียนแก่ตัวเองเถอะ ต่อนี้ไปอย่าหลงรักพวกนักร้องนักแสดงอีกเลย
เสียเงินไปดูก็แล้ว ไปฟังเสียงก็แล้ว ยังต้องเสียเวลาคิดถึง แล้วมานั่งเสียใจเวลาผิดหวังยังงี้
เรามีแต่ขาดทุนลูกเดียว ส่วนเค้าเงินก็ได้ ชื่อเสียงก็ได้ แถมยังได้ความหลงใหลของสาวๆ
อีกทั้งเมือง เค้าได้ แต่เราเสีย เราเนี่ยโง่รึเปล่า คิดด้วยเหตุผลซี!...”
เพื่อนนิ่งฟังข้าพเจ้า อาการสะอื้นค่อยหายห่างออกไป ขณะนั้นข้าพเจ้าปลอบไปโดยไม่รู้ว่าเป็นวิธีที่ถูก
ใครก็ตามถ้าเป็นทุกข์เพราะอยากได้ ถ้าจะให้ทุกข์นั้นคลี่คลายลง ต้องแจ้งโทษของสิ่งนั้นให้เห็น
เอาความรู้สึกไม่อยากได้มาขวาง เรียกทางธรรมว่าเมื่อโลภะเกิด ต้องเอาโทสะมาแก้
ใจก็จะคืนสู่สภาพปกติเป็นกลางๆ ไม่รักไม่ชัง
ปลอบเพื่อนไป ก็เหมือนปลอบตนเองไปด้วย มีความรักนี่มันทุกข์จริงๆ
แล้วคนรักของเราก็หน้าตาค่อนข้างดี เลยหลงตัวเอง จีบเราเป็นแฟนแล้วก็ยังไม่พอ
คิดจะจีบผู้หญิงอื่นอีก คนหลายใจอย่างนี้คบกันไปก็ มีแต่ทุกข์ เลิกซะตอนนี้ดีกว่า
ถ้าอยากมีแฟนอีก หาเอาใหม่ก็ไม่ยาก มีคนชอบเราอีกตั้งหลายราย... พอคิดให้เห็นโทษตามคําสอนที่ตนเองสอนเพื่อน
ใจข้าพเจ้ากลับสบาย มองหน้าเพื่อนก็ดูเหมือนเพื่อนสบายขึ้นด้วยเหมือนกัน
“เอารูปในกระเป๋าสตางค์ฉีกทิ้งซะ เค้าเป็นแฟนคนอื่นไปแล้ว เราเลิกคิดถึงได้” ข้าพเจ้าเตือนเพื่อน
ซึ่งก็ทําตามที่สั่งจริงๆ ข้าพเจ้าจึงย้ำว่า
“นึกว่าสิ้นชาติวาสนากันไปเลย ทําความทุกข์ให้เรามากนัก ต่อไปไม่ต้องหลงรักใครอีก”
รู้เหมือนกันว่าเพื่อนยังไม่สิ้นทุกข์ทีเดียว แต่อาการ “เหมือนใจจะขาด” คงจะค่อยยังชั่วขึ้นมาก
ให้เวลาสักหน่อยก็คงเป็นปกติ
คงเป็นผลบุญที่ช่วยให้เพื่อนสบายใจ เย็นวันนั้นแฟนของข้าพเจ้ามาเยี่ยม
เมื่อสอบสวนซักถามก็ได้รับคําชี้แจงว่า เขาได้รับส.ค.ส. จากฝ่ายหญิงก่อน
และได้รับของขวัญด้วย ก็ตอบไปตามธรรมเนียม ที่ไม่บอกข้าพเจ้าเพราะรู้ว่าเป็นคนใจน้อยเรื่องนี้เท่านั้น
สําหรับเพื่อนคนชื่อศรีพิมลของข้าพเจ้า หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ร่าเริงเป็นปกติ
แล้วไม่นานเธอก็พาเพื่อนชายคนหนึ่งมามหาวิทยาลัยด้วย แนะนําให้เพื่อนๆ รู้จัก
ข้าพเจ้ามองดู คิดว่า
“ลักษณะไม่ใช่นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ไหนเลย แต่งตัวพิถีพิถัน ตั้งแต่ทรงผมถึงรองเท้า
ท่าทางกรุ้มกริ่ม ไม่น่าไว้ใจ หน้าตาคมคายก็จริง แต่เป็นประเภทไม่น่าคบ” ได้แต่คิดไว้ในใจไม่ได้พูดออกมา
เมื่อศรีพิมลกับเพื่อนใหม่ของเธอเดินจากไปแล้ว
เจอเพื่อนคนหนึ่งจึงเดินมาบอกข้าพเจ้าว่า
“ดูนายทําหน้าตาพิลึก พะอืดพะอมชอบกล ไม่ชอบเพื่อนมลเค้าเหรอ
เค้าเป็นดาราหนังไทยนะ ดาราใหม่ เพิ่งแสดงได้ไม่กี่เรื่อง”
“งั้นเหรอ รู้สึกคุ้นหน้าอยู่เหมือนกัน แต่นึกไม่ออก โธ่เอ๋ยเลิกบ้านักร้อง
ไหงมาบ้านักแสดง จะให้อกมันหักซักกี่หนกันเนี่ย” ข้าพเจ้าพูดเปรยๆ
“อ้าว คราวนักร้องนั่น ยังไม่เคยรู้จักกันนะ แต่งวดนี้รู้จักถึงเนื้อถึงตัว
อาจจะชื่นมื่นก็ได้น่า อย่ากลัวเพื่อนอกหักอีกเลย” ฝ่ายนั้นคัดค้านความเห็น
“เราว่าหักแน่ๆ ไม่เชื่อนายคอยดู ผู้ชายต้องวิ่งหนีแจ้นเลย เชื่อเถอะ”
“ทําไมฮึ เราไม่เข้าใจ”
“ก็ดูแม่เจ้าประคุณของเราซี ราคาไม่มีเหลือเลย โอ๋เค้าเสียจนน่าเกลียด
กลายเป็นต้อนผู้ชายชัดๆ นั่นๆ ดูซี ผู้ชายเค้าอายนะนั่นเห็นมั้ย ดูคนของเราอี๋อ๋อผู้ชายใหญ่”
ข้าพเจ้าบ่นพร้อมทั้งบุ๊ยใบ้ให้เพื่อนที่กําลังคุยมองตามอาการเดินของศรีพิมลคลอเคลียกับพระเอกหนังวัยรุ่นผู้นั้น
ทําให้เพื่อนคู่สนทนาต้องหยุดพูด
ศรีพิมลสดชื่นอยู่ประมาณเดือนเศษๆ มีข้าวของที่ดาราหนังซื้อให้มาอวดข้าพเจ้าหลายชิ้น
ข้าพเจ้ารู้ว่าเธอต้องซื้อให้นายพระเอกนั่นมากกว่าหลายเท่า
ถึงอย่างไรก็ยังอดเตือนเพื่อนไม่ได้
“นายอย่าเพิ่งรักเค้าจนหมดหัวใจนะ เผื่อขาดเผื่อเหลือไว้มั่ง
พวกดาราน่ะเค้ามีแฟนเต็มเมือง นักศึกษาอย่างเรามีแต่ความรู้
สู้สาวแก่แม่ม่ายบางคนไม่ได้ ร่ำรวยมีเงินทองมากมาย เอามาปรนเปรอให้ ขี้คร้านจะลืมเรา”
“ฮื่อ เราจะระวัง เราก็รู้ว่าดาราอย่างเค้ามีแฟนเยอะแยะ เราเริ่มไม่เป็นสุขเท่าไหร่
เค้าไม่ชอบไปไหนเปิดเผยกับเราหรอก กลัวแฟนหนังเห็นว่าเป็นคนมีแฟนแล้ว เดี๋ยวไม่ดัง”
เตือนได้ไม่กี่วัน ศรีพิมลก็เศร้าซึมนิ่งเงียบ ไม่ใคร่พูดจากับใคร ๆ
กลายเป็นคนเฉยเมยหน้าตาย ไม่ร่าเริงเหมือนแต่ก่อน
เมื่อข้าพเจ้าปรารภเรื่องนี้ เพื่อนคนหนึ่งก็เล่าว่า
“อกหักไปแล้ว ดาราหนังเขามีคนใหม่ควง สวยเรี่ยมเลย เพื่อนเรายายมลน่ะเรอะ เทียบเค้าไม่ติดฝุ่น
คราวนี้เค้าไม่ปรับทุกข์กะใครเลย เพราะเราช่วยกันเตือนแล้ว อยากไม่เชื่อพวกเรานี่นะ
เลยไม่กล้าขอความเห็นใจใครๆ”
แม้จะเห็นใจเพื่อน ข้าพเจ้าก็ช่วยแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ให้เวลาเป็นยารักษาใจก็แล้วกัน
เรื่องของใจเป็นเรื่องเฉพาะตัว ใจจะเจ็บป่วยด้วยเรื่องอะไรๆ คนอื่นรักษาให้ไม่ได้
ทําได้อย่างมากแค่ให้คําแนะนํา เจ้าตัวจะต้องเป็นผู้รักษาใจตนเอง วิธีรักษาที่ได้ผลดีที่สุด
คือ ให้ใจรู้จักคิดให้ได้ คิดให้เป็น รู้จักใช้อุบายอันแยบคายในการคิด ให้เห็นทุกสิ่งไม่สําคัญ
ไร้สาระ มีแต่ความไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเสื่อมตลอดเวลาไม่ควรยึดมั่นในสิ่งทั้งปวงว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ล้วนแต่ยึดถือเอาจริงจังกับสิ่งใดไม่ได้ทั้งสิ้น
ให้เห็นความไม่แน่นอนดังนี้อยู่เรื่อยๆ ใจก็จะไม่ยึดติดอยู่กับสิ่งใด
ใจจะเป็นอิสระ ศรีพิมลเพื่อนของข้าพเจ้ายึดถือในความรักครั้งนั้นจริงจังเกินไป
ปลายปีการศึกษานั้นเธอสอบไล่ไม่ผ่าน ต้องเรียนซ้ำชั้น อนิจจา เสียรักไป
ยังเสียการเรียนตามมาอีก ตนเองเสียใจยังไม่พอ ซ้ำทำให้พ่อแม่ญาติพี่น้องเสียใจไปด้วยกับการสอบตกครั้งนั้น
เวลานี้เมื่อนึกย้อนหลังไปถึงครั้งกระโน้นน่าเสียดายจริงๆ ที่สมัยข้าพเจ้าเป็นนิสิตนักศึกษากันอยู่นั้น
ทุกวิทยาลัย ทุกมหาวิทยาลัยไม่มีที่ไหนมีชมรมพุทธศาสตร์สักแห่งเดียว
นิสิตนักศึกษาไม่มีธรรมะเป็นที่พึ่ง อยู่ในหัวใจ จึงมักแก้ปัญหาชีวิตกันด้วยวิธีผิดๆ
ทุกข์เพราะพลาดหวังอะไรๆ ก็ใช้วิธีฆ่าตัวเองบ้าง ฆ่าคนอื่นบ้าง หารู้ไม่ว่า
ตายแล้วปัญหาไม่จบ ต้องเกิดเป็นสัตว์อีกภูมิหนึ่ง
มีทุกข์ยิ่งกว่าตอนเป็นมนุษย์เสียอีก
ปัจจุบัน นิสิตนักศึกษามีโอกาสศึกษาและปฏิบัติธรรม แม้จะปฏิบัติยังไม่ได้ผลมากจนกระทั่งมีอภิญญาจิต
(แสดงฤทธิ์ได้ รู้ใจคนอื่น ระลึกชาติได้
มีตาทิพย์ มีหูทิพย์ รู้การเกิดตายของสัตว์ทั้งหลาย ทำอาสวะให้สิ้นไป) เกิดปัญญาเห็นแจ้งทําใจให้พ้นทุกข์ได้ในทันที
แต่เราก็สามารถใช้ความรู้อันเป็นปัญญาจากการฟัง การศึกษาเล่าเรียนมาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐาน
ทําให้สามารถสร้างปัญญาจากการคิดที่เรียกว่า “จินตมยปัญญา” สั่งสอนตนเองให้พ้นจากทุกข์ได้
แม้พ้นได้ไม่ตลอด พ้นเพียงชั่วคราวก็ยังดี นับว่านิสิตนักศึกษาสมัยนี้โชคดี
มีโอกาสอันประเสริฐวิเศษกว่าในสมัยก่อน
ปัญญาจากการคิดที่ควรนํามาคิดให้บ่อยๆ เมื่อเวลาต้องเผชิญกับความทุกข์ใดๆ
ก็ตาม คือควรคิดว่า ทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีของจริง เป็นเพียงมายาของสมมติเท่านั้น
เพราะเป็นสิ่งไม่ยั่งยืนคงที่ มีแต่การ เปลี่ยนแปลงจากวันที่เราถือกําเนิดมาจนถึงปัจจุบัน
ทุกสิ่งในชีวิตของเรามีแต่เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด ไม่มีเรื่องเก่าที่ผ่านไปแล้วจะยังคงเกิดอยู่ในปัจจุบัน
ล้วนแต่ดับไปหมดแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เรากําลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ ก็มิใช่สิ่งตายตัวแน่นอน
กําลังจะเปลี่ยนไปตลอดเวลาโดยแน่แท้ สิ่งที่เราเห็นในปัจจุบันว่าเป็นเรื่องใหญ่
เมื่อเวลาผ่านไปสักหน่อยก็ให้ลองเอามาคิดใหม่ดูเถิด
จะเห็นว่าช่างเป็นเรื่องเล็กน้อยไร้สาระไปเสียทั้งสิ้น แล้วเราจะมัวเห็นสิ่งใดสําคัญไปทําไม
ให้ต้องยึดถือแล้วเป็นทุกข์
เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าให้ท่านฟังตอนนี้เป็นเรื่อง “หลงเสียง” ยึดถือว่าเสียงของคนนั้นคนนี้มีความไพเราะ
ไม่รักเพียงเสียง แต่กลับไปรักเอาเจ้าของเสียงด้วย ทําให้เกิดความเป็นทุกข์ร้อนขึ้นมา
ความจริง “เสียง” เป็นของกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว เสียงจะเป็นของดีทําให้เกิดประโยชน์
หรือเป็นของเลวให้ทุกข์ให้โทษ ก็แล้วแต่ผู้ฟังจะเลือกคิด
ในสมัยพุทธกาล สามเณรผู้หนึ่งปฏิบัติธรรมจนได้อภิญญาจิต มีฤทธิ์ถึงกับเหาะได้
เหาะมาตามทาง ได้ยินเสียงสตรีร้องเพลงเจี้อยแจ้วจับใจ เกิดมีอารมณ์กําหนัดยินดีในเสียงของสตรีนั้น
ทําให้ญาณอภิญญาเสื่อม เหาะต่อไปไม่ได้ ตกลงสู่พื้นดิน ต้องสึกหาลาเพศ
ออกมาแต่งงานอยู่กินกับสตรีนั้นจนมีลูก แก่เฒ่าเข้ากว่าจะได้คิดใหม่กลับบวชอีกเสียเวลาไปเปล่า
นี่ฟังเสียงแล้วคิดไม่ดีมีโทษ
ส่วนพระภิกษุรูปหนึ่งฟังนางทาสีที่ตักน้ำที่ท่าน้ำร้องเพลง เนื้อเพลงว่ารำพันถึงความทุกข์จากความพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก
ท่านพิจารณาตามเกิดวิปัสสนาญาณเป็นพระอรหันต์ในที่นั้นเอง หรือที่ข้าพเจ้าชอบยกตัวอย่างเรื่องลูกชายอกหักเพราะหญิงคนรักขอเปลี่ยนใจ
ข้าพเจ้าปลอบด้วยธรรมะข้อใดๆ ไม่หายทุกข์ แต่พอฟังเพลง “สบาย สบาย” ซึ่งมีเนื้อร้องว่า
แม้คนรักจะเปลี่ยนใจ ก็จะไม่เสียใจ ไม่เสียดาย ถ้ายังดีอยู่ก็คบกันไป
เขากลับหายทุกข์เป็นปลิดทิ้ง นี่ฟังเสียงแล้วคิดดีมีประโยชน์
การฟังเสียงแล้วรู้จักเอามาคิด ให้คิดได้ คิดเป็น ไม่ใช่เรื่องที่จะทําได้ง่ายๆ ต้องเป็นผู้เคยสร้างสมอบรมบารมีมาไว้มากตามสมควร
สําหรับคนทั่วไปมักจะมัวเมาหลงใหลเสียงที่ตนชอบ และเกลียดชังเสียงที่ตนไม่ชอบ
เป็นกันอย่างนี้ไม่เว้นสักคน
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าพบเพื่อนที่มีลูกชายโตกว่าลูกของข้าพเจ้า เขาเป็นคนค่อนข้างยากจน
มีอาชีพรับจ้างตัดอ้อยบ้าง ปลูกอ้อยบ้าง ลูกชายเรียนจบอาชีวศึกษาชั้นสูงแล้ว
แต่ไม่ยอมไปหางานที่ไหนทํา คงจับกลุ่มกับเพื่อนๆ วัยเดียวกันในหมู่บ้านร้องเพลง
ดีดกีตาร์ เปิดวิทยุกันแทบตลอดวัน บางทีถ้ากลางคืนไม่มีงานการละเล่นที่ไหนให้ดูก็จะร้องเพลงดีดกีตาร์กันอีกจนดึกดื่น
ถ้าแม่ของเขาถามว่า
“ไอ้หนู เพลงที่เอ็งเล่นนี่มันร้องเป็นภาษาฝรั่ง มันแปลว่าอะไรมั่ง
ลองแปลให้แม่ฟังหน่อย”
ลูกก็จะตอบว่า “จะไปรู้ได้ยังไง แม่อย่ายุ่งนักเลย เค้าฟังเอาจังหวะ
เอาทํานองต่างหาก มันมันดีออก”
เพื่อนข้าพเจ้าบอกว่า “มันก็คงจะมันอย่างว่า เพราะเค้าเต้นกันสนุกสนานแทบจะลงไปกองกับพื้นดิ้นพราดๆ
เป็นไส้เดือนคลุกขี้เถ้าเลยเชียว เรานะต้องไปรับจ้างหามาเลี้ยงมัน กว่าจะได้วันละ
๓๐-๔๐ บาท ตากแดดเปรี้ยงทั้งวัน มันนั่งกิน นอนกิน บอกให้ไปช่วยกันตัดอ้อย มันก็ว่ามันเรียนมาสูง
ไปทํางานกรรมกรยังงั้น ใครเห็นก็อายเค้า นี่นะให้เราหาให้กินยังไม่พอ เผลอหน่อยยังแอบขโมยเงินเรา
ไปซื้อเทปเพลงตลับหนึ่งๆ ตั้งหลายสิบบาท เราหากินทั้งวัน
มันเอาไปซื้อเสียงให้หูกินซะเนี่ย อยากจะบ้าตาย”
ก็ดูเอาอาการ “บ้าเสียง” ขโมยเงินหยาดเหงื่อแรงงานของแม่ไปซื้อเสียงให้หูกิน
กินเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม ฟังเพลงนี้ซ้ำซากอยู่เพลงเดียว ไม่มีใครทําได้หรอก
ไม่นานนักก็เบื่อ พวกนักร้องนักดนตรีเขารู้ใจดี เขาก็ รีบแต่งเพลงใหม่มาล่ออีกแล้ว
พวกบ้าเสียงก็ซื้อกันไป พวกทําขายก็รวยไม่รู้เรื่อง พวกชอบฟังที่มีสตางค์ก็แล้วไป
ที่ไม่มีสตางค์แต่หลงเสียงก็ต้องเดือดร้อนด้วยการแสวงหา บางคนหาเงินมาได้
ไม่ยอมให้พ่อแม่แม้แต่บาทเดียว แต่เอาไปซื้อเครื่องเสียงเป็นหมื่นๆ บาท เงินไม่พอ
ยอมเป็นหนี้ผ่อนส่งก็เอา
การแสดงของวงดนตรีมีนักร้องแต่ละแห่งแต่ละครั้ง
ผู้คนเสียเงินเข้าชมแทบจะเหยียบกันตาย ซื้อของขวัญต่างๆ ไปให้นักร้องนักแสดง
ข้าพเจ้ามองดูครั้งใดก็ให้รู้สึกสงสัยเสียจริงว่า คนที่เอาเงินไปซื้อของขวัญให้นักร้องนักแสดงเหล่านั้น เคยซื้อของให้พ่อแม่กินสักบาทหนึ่งบ้างหรือไม่
บางทีมองไปแล้วดูจะเป็นคนวัยนักเรียนนักศึกษาด้วยซ้ำไป
น่ากลัวจะเอาเงินที่พ่อแม่ให้มาศึกษาเล่าเรียนมาใช้เรื่องเหลวไหลเหล่านี้ด้วยซ้ำไป
โง่หรือฉลาดก็คิดดู เสียเวลาดู เสียเงิน
ยังเสียคุณภาพของใจตามไปอีก ที่เรียกว่าใจเสียคุณภาพ เพราะการหลงเสียงเพลงหรือหลงการแสดงก็ตาม
ทําให้ใจอ่อนไหว เขาร้อง เขาแสดงบทเศร้าก็ร้องไห้กับเขา เขาแสดงบทรักหวานชื่น
ก็ฝันหวานไปตาม เขาจูงใจให้น้อมคิดไปทางใดใจก็พลอยเป็นไปตามด้วยทุกบทบาท ใจที่อ่อนไหวมากๆ
ทําให้กลายเป็นใจอ่อนแอ ใจอ่อนแอก็เหมือนคนขี้โรคมีร่างกายอ่อนแอนั่นเอง พอมีโรคอะไรมาถูกต้องก็ไม่มีภูมิต้านทาน
ติดโรคง่ายใจอ่อนแอก็ในทํานองเดียวกัน คือทุกข์โศกง่าย มีเรื่องพลาดหวังอะไรนิดอะไรหน่อยทนต่อสู้ไม่ใคร่ไหว
บางทีถึงกับเป็นโรคจิต โรคประสาท คลุ้มคลั่ง ฆ่าตัวตายไปเสีย หรือมิฉะนั้นก็เป็นเหยื่อให้คนฉลาดกว่าหลอกลวงให้เสียทรัพย์สินเงินทอง
เสียชื่อเสียง บางทีถ้าเป็นสตรีก็อาจถึงเสียตัว เสียอนาคตไปเลยก็มี
ท่านผู้อ่านท่านใดที่เป็นนักเรียน นักศึกษาวัยรุ่น อ่านความเห็นของข้าพเจ้ามาถึงตอนนี้
อาจจะนึกตําหนิทักท้วง
“อ้าว ก็คนเขียนหนังสือนี้แก่จะตายแล้วเนี่ย จะฟังเพลงวัยรุ่นเค้ารู้เรื่องได้อย่างไรกัน
หูก็คงจะตึง แรงจะเต้นก็ไม่มี ตาก็มองอะไรไม่ชัด พร่าๆ มัวๆ ไปแล้ว
จะให้รู้สึกสนุกสนานตามเสียงเพลงได้ยังไง”
เรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัว เป็นความสามารถพิเศษของใครของมัน
ไม่เกี่ยวกับเรื่องของเด็กหรือเรื่องของคนแก่ ข้าพเจ้าจําได้ว่าเมื่อปี พ.ศ ๒๔๙๕
ข้าพเจ้ามีอายุ ๑๘ ปี เรียนอยู่ในระดับเตรียมอุดมศึกษาชั้นสุดท้าย
มีวงดนตรีต่างประเทศที่มีชื่อเสียงมาก มาเปิดการแสดงในหอประชุมใหญ่แห่งหนึ่ง
ค่าเข้าชมแพงมาก วิทยาลัยที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ได้บัตรเข้าชมการแสดงมาจํานวนหนึ่งไม่มากนัก
ทางวิทยาลัยได้ให้รางวัลแก่นักเรียนที่เรียนเก่งในห้องเรียนชั้นต่างๆ ไปชมการแสดง
ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปฟัง เวลานั้นรู้สึกว่าโก้มาก
เด่นกว่านักเรียนเป็นพันคนในวิทยาลัยเดียวกัน
แต่เมื่อไปฟังเข้าฟังจริงๆ เป็นดนตรีล้วนๆ มีทั้งเพลงช้าและเพลงเร็ว
ข้าพเจ้าฟังเท่าไรก็ไม่นึกสนุก ตอนใดที่มีจังหวะช้าเนิบนาบก็พอฟังออกว่าเหมือนเสียงลมพัด
น้ำไหล เสียงนก เสียงใบไม้เสียดสีกัน กระทั่งบางตอนฟังเหมือนเสียงรถไฟกําลังเคลื่อนออกจากสถานี
ฟังแล้วแทนที่จะเพลิดเพลินเคลิบเคลิ้ม ข้าพเจ้ากลับนึกว่า “นี่มันอะไรกัน
ฟังแล้วต้องมานั่งเพ้อฝัน” คิดตามว่าตอนนี้ควรจะนึกเป็นภาพเหตุการณ์อะไรๆ คิดฟุ้งไปเรื่อยๆ
ผลที่สุดเลยถามตัวเองว่า
“เอ๊ะ นี่เราเป็นบ้ารึเปล่า มานั่งคิดเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง เสียเวล่ำเวลา”
“ฟังไปฟังมาก็เบื่อคิดตามเสียง ยิ่งพอจังหวะเร็วๆ รัวๆ
ก็ต้องคิดเหตุการณ์อะไรๆ ที่มันเร็วๆ ตาม มือเท้าก็พลอยจะขยับตาม แล้วก็ลองคิดดูว่า
ถ้าเต้นตามด้วยคงจะเหนื่อยดีพิลึก!”
แค่อายุ ๑๘ ปี เป็นวัยรุ่นอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็นึกสงสัยตนเองเหมือนกันว่า
ทําไมจึงไม่ชอบเพลงจังหวะเร็วๆ ถ้าให้ฟังก็ชอบฟังเพลงช้าๆ และคิดออกด้วยว่า
คนโบราณแต่งเพลงไทยส่วนใหญ่เป็นทํานองเนิบนาบ ช้าๆ
แม้ท่าร่ายรําก็เหมือนกัน อ่อนไหว อ่อนหวาน นิ่มนวล เพราะเมืองเราเป็นเมืองที่มีอากาศร้อน
ได้ทําสิ่งใดเร็วๆ ก็จะเหนื่อยง่าย เหงื่อออกมาก และไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ
อากาศร้อนๆ ให้เต้นเร็วๆ คงได้ตับแตกตาย ตรงข้ามกับประเทศทางซีกโลกตะวันตกซึ่งเป็นเมืองหนาว
บางทีหิมะตกเต็มเมือง ถ้าทําอะไรๆ ช้าอยู่ ตัวคงแข็งตาย เขาจึงต้องใช้จังหวะเร็วๆ
วัยรุ่นของเราไม่เข้าใจเหตุผลเรื่องดินฟ้าอากาศ ชอบอาการเร่าร้อนแบบชาวตะวันตก
กลายเป็นเอาอย่างโดยไม่ใช้ปัญญา คิดพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า
ทําไมวัฒนธรรมทางโลกตะวันตกจึงต้องใส่เสื้อนอก กางเกงขายาว ถุงน่องรองเท้า แล้วมาแก้ไขที่ปลายเหตุ
ร้อนเข้าก็ต้องใช้เครื่องปรับอากาศ เปลืองไฟฟ้า เสียค่าเชื้อเพลิง ต้องไปซื้อมาจากต่างประเทศ
พลอยให้เสียดุลการค้าเป็นหนี้ต่างชาติเป็นแสนๆ ล้านบาทอย่างเวลานี้
ครั้งนั้นข้าพเจ้าคิดว่าตนเองผิดปกติ ที่คิดอะไรๆ ไม่เหมือนคนวัยเดียวกัน
มาถึงเวลานี้ จึงได้เข้าใจว่าตนเองคงจะเคยถือศีล ๘ ประพฤติพรหมจรรย์มาหลายชาติเต็มที
ต้องเคยประกาศตนเป็นข้าศึกกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสมาแล้ว จึงไม่นึกหลงใหลในกามคุณทั้ง
๕ เหมือนเด็กอื่น ต้องเคยอธิษฐานให้รู้เท่ารู้ทันเพื่อป้องกันตนเองให้พ้นจากข้าศึกของพรหมจรรย์ข้ามภพชาติแน่ๆ
เพราะเมื่อจะสนใจสิ่งใดไม่ว่าเรื่องดูรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส
สัมผัสสิ่งกระทบกาย ข้าพเจ้าจะทําเป็นชื่นชอบ โดยในใจรู้ว่าแสดงไปตามมารยาท
ใจจริงไม่รู้สึกคล้อยตามสักเรื่องเดียว
ที่คุยกับท่านมาข้างต้นๆ
เป็นเรื่องการหลงใหลในเสียงดนตรี หลงใหลเพลงทําให้เสียอะไรๆ ต่างๆ มากมาย
เสียเงินที่ควรจะนําไปทำประโยชน์ได้ยิ่งกว่า เช่นให้พ่อแม่ ทําสาธารณประโยชน์
ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ฯลฯ เสียเวลา เพราะต้องคอยเงี่ยหูฟังเป็นชั่วโมง
เป็นวัน เสียสติปัญญา เมื่อจิตคนเราผูกพันอยู่ในเรื่องเหล่านี้ ความคิดก็วนเวียนเพ้อฝันอยู่กับความฟุ้งซ่านไม่สงบ
สังเกตดูให้ดี คนที่คลั่งไคล้เรื่องเหล่านี้ ทํากรรมฐานเจริญภาวนาไม่ได้เรื่องได้ราว
เพราะใจชินกับเรื่องฟุ้งอันเป็นข้าศึกของการทํากรรมฐาน
นอกจากนั้นยังทําให้เสียสุขภาพร่างกายเพราะออกกลังกายมากไปหรือน้อยไป
หรืออยู่ในที่อากาศไม่บริสุทธิ์ เช่นในบาร์ ในคลับ มีแต่ควันบุหรี่ บางทีตากน้ำค้างตากแดดเป็นวันเพื่อชมดนตรี
แต่ที่สําคัญยิ่งใหญ่ที่สุดคือ เสียโอกาสสร้างบารมี
แทนที่จะใช้เวลาเหล่านั้นประกอบกุศลกรรมต่างๆ ให้แก่กล้าเป็นบารมีขึ้นมา บารมีเต็มเปี่ยมในชาติภพใด
จะได้เลิกเวียนว่ายตายเกิดเข้าสู่พระนิพพาน กลับมาปล่อยโอกาสทิ้งไป
น่าเสียดายจริงๆ
นอกจากเสียงเพลงเสียงดนตรีทําให้หลงรักหลงใหลได้แล้ว
ยังมีเสียงที่น่ากลัวกว่านั้น นั่นคือเสียงคําพูดของคน เสียงนินทาว่าร้าย
ทนฟังไม่ได้ถึงฆ่ากันตายก็มี
หลงเสียงพวกผีเจ้าเข้าทรง
เชื่อถือจนยอมเสียทรัพย์ เสียสติปัญญา ตายแล้วไปอยู่กับผีตัวนั้น
หลงเสียงสรรเสริญเยินยอปอปัน
ผู้มีอํานาจเสียผู้เสียคนกันมานักต่อนัก
คําว่า “ยกยอ” ก็ตาม คําว่า “ยกย่อง” ก็ตาม
ล้วนเป็นคําที่น่าเกรงกลัว
ยก แปลว่า ทําให้สูงขึ้น
ยอ ในที่นี้ น่าจะหมายถึงเครื่องจับปลาชนิดหนึ่งเป็นร่างแหรูปสี่เหลี่ยม
มีคันไม้ถือสําหรับยก เวลาต้องการจับปลาก็จะเอายอไปจุ่มลงในน้ำ
แช่ทิ้งไว้นานสักหน่อย คะเนให้ปลาว่ายเข้ามา หรือบางทีก็ใช้โปรยอาหารล่อตรงบริเวณนั้น
พอปลาเข้ามากินกันมากๆ เจ้าของก็ยกยอขึ้นให้สูงพ้นระดับน้ำ ปลาก็ติดมาในยอ
ใคร “ยกยอ” เราก็หมายถึงเขาดักเราให้อยู่ในอํานาจของเขา เหมือนปลาที่ถูกยกขึ้นจากน้ำ
คําว่า “ย่อง” เช่น ขนมมันย่อง แกงมันย่อง ไม่ได้หมายถึง อาการเบาๆ แต่น่าจะหมายถึงอาการที่ลอยเหนือขึ้นมา
เช่น กะทิลอยย่องขึ้นมาบนเนื้อขนม เนื้อแกง
ใครยกย่องเราก็เสมือนเขาพูดให้เราดูเป็นคนวิเศษเด่นขึ้นมาเหนือคนอื่น (อาจจะยกแต่คําพูดก็ได้
ใจไม่คิดตามนั้น)
คํายกย่อง ยกยอ สรรเสริญจึงเป็นเสียงที่น่ากลัวมาก ใครเผลอใจเชื่ออาจประมาท
มีอันตรายถึงเสียผู้เสียคน เสียความเป็นผู้หลักผู้ใหญ่
ในโลกธรรม ๘ ประการ ที่เป็นของประจําโลก ซึ่งพุทธบริษัทไม่ควรยึดถือมั่นเอาเป็นจริงเป็นจัง
คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์
เพราะถ้าปล่อยให้ใจหวั่นไหวกับเรื่องทั้ง ๘ นี้ แล้ว จะไม่พบความสงบได้ โลกธรรมฝ่ายดีก็ชอบใจ
ประมาทได้ฝ่ายไม่ดีก็โศกเศร้า เสียใจนั้น เรื่องของเสียง
คือเรื่องนินทาและสรรเสริญ ก็รวมอยู่ในนี้ด้วย และเป็นสิ่งที่ให้คุณให้โทษต่อผู้ฟังไม่น้อยเลย
ได้รับคำชมเชย ใจคอก็พองฟู เบิกบาน พอถูกติเตียนต่อหน้าหรือถูกนินทาลับหลังก็ตาม
ก็เศร้าหมองหดหู่ เคียดแค้น โกรธพยาบาทอย่างแรง
เรื่องสรรเสริญนินทานั้น ถ้าเราคิดเป็น คิดได้จะไม่ทําให้เราเป็นคนฟูๆ
แฟบๆ มีอารมณ์ผันผวนขึ้นๆ ลงๆ ตามลมปากของคนอื่น ขอให้คิดว่า
เมื่อใครพูดจะติก็ตามจะชมก็ตาม คนพูดเขาใช้ปากของเขา เราไม่มีสิทธิ์อะไรไปห้าม
เราไม่สามารถห้ามคนทั้งโลก คนนี้ไม่พูด คนอื่นก็พูด ห้ามกันไม่ไหว
แต่เรื่องของหู คือการฟังและการคิดนั้นเป็นเรื่องของเรา หูของเรา
ใจก็ของเรา เรามีสิทธิ์ห้าม วิธีห้ามคือให้ดูตัวเราเองว่า “เราคือเรา”
เราจะดีจะชั่วอยู่ที่การกระทําทางกาย วาจา ใจของเราเอง ไม่ใช่อยู่ที่ปากของใคร
เราเป็นคนดี ใครจะกล่าวหาว่าเราเลวทรามเพียงใด เราก็ยังคงดีด้วยตัวของตัวเองอยู่อย่างนั้น
มิได้เลวไปตามปากของคนพูด ในทํานองเดียวกัน ถ้าเราเป็นคนเลว
ใครจะพากันชมเชยสักเพียงไหนว่า เป็นคนดีเลิศลอยล้นฟ้า เราก็ไม่ดีตามปากคนไปได้
แต่ทุกวันนี้ ผู้คนพากันติดเสียงของคนอื่น เป็นคนไม่ดีอยากให้ใครๆ
ชมว่าดี มีดีนิดหน่อยอยากให้คนชมว่าดีมาก ดีมากอยู่แล้วยังไม่พอใจอยากให้ดีมากกว่าคนอื่น
การ “อยากดีมากกว่าคนอื่น” เป็นต้นทางของการทําความเลว เพราะพอรู้สึกดังนั้น
ความอิจฉาริษยาแข่งดีก็เกิด การปกปิดความดี การแย่งความดี การยกตนข่มผู้อื่น
การใส่ร้ายป้ายสี การบิดเบือนความจริง ก็เกิดตามมาเป็นแถว ความดีในตัวผู้นั้นก็พลอยสูญสิ้นไป
ส่วนการติดเสียงชมเชยของตนเองย่อมมีแต่ให้คุณประโยชน์ฝ่ายเดียว คือตัวเราเป็นคนดีแค่ไหน
ไม่มีใครรู้ดีเท่าตนเอง ถ้าเราเป็นคนไม่ดีจริงแล้ว เราชมตนเองไม่ลง
เราจะชมตัวเราได้ก็เมื่อเราติตนเองไม่ได้ เรียกว่าเป็นคนดีพร้อม
เราจึงจำเป็นต้องเร่งแก้ไขปรับปรุงทำตนเองได้
ดังนั้น
ยิ่งเราอยากได้คำชมเชยจากตนเองมากเท่าใด
เราก็จะต้องหมั่นปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองให้มากยิ่งๆ
ขึ้นเท่านั้นและนี่เองคือกำไรชีวิตของเรา
ขอให้เรามาหลงอยากได้เสียงชมจากตัวเราเองดีกว่า
อย่ามัวหลงเสียงของผู้อื่นอยู่เลย
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม๓ บทที่ ๒๗
เหมือนใจจะขาด
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
03:58
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: