เหตุแห่งความเจ็บป่วย
การตอบแทนบุญคุณที่มีอานิสงส์มากที่สุด
คือการทําให้หายจากมิจฉาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ รองลงไปก็คงจะเป็นการทําให้ท่านผู้มีคุณเหล่านั้นได้รับความสุขกายสุขใจตามอัตภาพ
เต็มกําลังความสามารถของเรา นี่ข้าพเจ้าพูดจากความรู้สึกของตนเอง
ลูกหลานให้ของกินของใช้ปัจจัย ๔ ที่จําเป็นต่อชีวิตพอสมควร ข้าพเจ้าก็สุขกาย แต่เมื่อพวกเขาเอาใจใส่ดูแลบ้าง
ก็ให้รู้สึกเป็นสุขใจ แต่จะให้ดีใจ ปลื้มใจ และชุ่มชื่นเบิกบาน เหมือนมีน้ำทิพย์ชโลมใจอยู่เสมอ
เห็นจะไม่มีอะไรเกินเมื่อเห็นพวกเขาเป็นคนดี อยู่ในศีลอยู่ในธรรม
นี่เป็นความสุขอันสูงสุด เพราะเมื่อเขามีความประพฤติดีงาม จะทํางานการสิ่งใด
ไม่มีใครรังเกียจ เป็นที่นับถือของคนอื่น ตัวเขาเองก็ตําหนิติเตียนตนเองไม่ได้ ชีวิตในปัจจุบันก็อยู่อย่างเป็นสุข
เมื่อตายลง กุศลกรรมที่เขากระทําของเขาไว้นั้น
ก็จะตามส่งผลให้เขาไปสู่ภพภูมิที่เป็นสุข เราไม่ต้องเป็นห่วงเขาทั้งในขณะนี้และในภพชาติเบื้องหน้า
ไม่ใช่เห็นเขาทําทุจริตต่างๆ ร่ำรวยมีทรัพย์สินเงินทองมากแล้ว
ญาติผู้ใหญ่อย่างเราไปพลอยเห็นดีเห็นงามมีความสุขไปกับเขา ไม่นึกถึงว่าตายแล้ว
บางทียังไม่ทันตายด้วยซ้ำ ก็พบวิบัติภัยต่างๆ ยกตัวอย่างคนที่ข้าพเจ้ารู้จักบางราย
รายหนึ่ง
เป็นนายทหารผู้ใหญ่มีเงินเดือนมากอยู่แล้ว ยังอยากรวยให้ยิ่งขึ้น
ทําฟาร์มเลี้ยงกุ้งส่งขายต่างประเทศ สั่งให้คนงานฆ่าสัตว์เป็นอาจิณ
ท้ายที่สุดนั่งเรือบิน เรือบินตกในทะเล ได้ศพกลับมาจําหน้าตากันไม่ได้
เพราะถูกกุ้งปลาในทะเลแทะเสียเละไปหมด จําได้แต่เครื่องแต่งตัว
อีกรายหนึ่ง
ได้เงินมาจากการทุจริตคดโกง เอาเงินมาซื้อที่ดินทําสวนยางสวนมะพร้าว ถูกวาตภัย
(ภัยจากพายุ) พัดกวาดเกลี้ยง
อีกรายหนึ่ง
มีอาชีพทําการประมง มีเรือจับปลาหลายลำ ลูกสาวเข้าวัดถือศีลปฏิบัติธรรม ไม่ยอมสืบทอดอาชีพของพ่อแม่ทั้งขอพ่อแม่ให้เลิกทําปาณาติบาต
แต่พ่อแม่ไม่ยินยอม ที่สุดเรือก็ล่ม เพราะถูกพายุพัด คนในเรือตายเป็นเหยื่อปลาในทะเล
แถมปลาที่มีอยู่ในห้องเย็นก็พลอยขายไม่ออก เพราะผู้คนเล่าลือกันว่า ปลากินศพในทะเล
ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองก็ไม่ยอมกินปลาทะเลกันเป็นเวลานาน กลายเป็นภัยพิบัติซ้ำซ้อน
เล่ากันว่าพนักงานที่ขึ้นออกเรือไปเก็บศพในทะเลพอเห็นศพก็เทียบเรือเข้า
ช่วยกันยกศพขึ้นเรือ ศพเน่าเฟะมาหลายวันแล้ว ผิวศพก็มีรอยเนื้อแหว่งถึงกระดูก
เพราะปลาตอดกัดกิน พอยกท่อนศีรษะ ศีรษะก็หลุดออกมา แล้วก็มีปลาตัวเล็กตัวใหญ่
กระโดดออกมาทางช่องคอศพนั่นแหละ คงจะพากันกินตับไตไส้พุงของศพอยู่ข้างใน
เล่ากันขนาดนี้ ใครจะอยากกินปลาทะเลลง
เพราะไม่ใช่ตายกันคนสองคน ตายกันหลายร้อยคนทีเดียว
ครอบครัวหนึ่ง
ไม่รู้คุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปนิยมชมชื่นการปกครองตามลัทธิคอมมิวนิสต์
เมื่อไม่รักพระเจ้าแผ่นดิน คิดจะล้มล้างการปกครอง แผ่นดินก็ทนไม่ไหว
พอมีฝนตกหลายวันเข้า แผ่นดินจึงถล่มทับตายกันหมดทั้งบ้าน
ยกตัวอย่างมาเล่าให้ฟัง ว่ากฎแห่งกรรมนั้นมีอยู่จริง
ไม่มีใครเป็นฝ่าฝืนสำเร็จ เราจึงควรพอใจให้ลูกหลานของเราทําแต่คุณงามความดี
เป็นคนมีศีลมีธรรม อย่าเห็นแก่ทรัพย์สินเงินทอง ให้เขารวยด้วยบุญกุศลดีกว่า ชีวิตจะได้ปลอดภัยทั้งปัจจุบันและหลังจากตายแล้ว
แต่ถ้ารวยชนิดทำความดีพร้อมไปก็ยิ่งน่าชื่นชม
ขอย้อนกลับไปพูดถึงความเจ็บป่วยอีกสักหน่อย
คือ ความเจ็บไข้ได้ป่วยที่เกิดขึ้นแก่ร่างกายก็ตาม เกิดขึ้นแก่จิตใจก็ตาม ที่ไม่ใช่เรื่องประจํา
อย่างหิว กระหาย ร้อน หนาว ปวดอุจจาระปัสสาวะ ฯลฯ แต่เป็นความเจ็บป่วยที่เกิดด้วยสาเหตุ
๔ อย่างคือ เกิดจากกรรม เกิดจากจิต เกิดจากกรรม ดินฟ้าอากาศ และเกิดจากอาหาร
เกิดจากกรรม เช่น
โรคภัยไข้เจ็บที่ไม่มีตัวเชื้อโรค เป็นต้นว่า โรคอัมพาต โรคลมชัก โรคจากกรรมพันธุ์
เกิดจากจิต
เช่น เป็นคนคิดมาก คิดฟุ้งซ่าน ก็พลอยกินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายอ่อนแอจนกระทั่งเจ็บไข้
เกิดจากอุตุ
คือ สิ่งแวดล้อม ดินฟ้าอากาศแปรปรวน เป็นได้ทั้งโรคที่มีตัวเชื้อโรค
และโรคที่เป็นได้เอง เช่น โรคหวัด ไอ จาม โรคหืด ฯลฯ
เกิดจากอาหาร
เช่น กินของไม่สะอาด ทําให้เกิดอาการท้องร่วง ท้องเสีย เกิดการแพ้ เช่น เป็นลมพิษ
แน่น ท้องอืดเฟ้ออาหารไม่ย่อย ฯลฯ
นี่เป็นความเจ็บไข้ทางร่างกาย
จะเรียกว่าพยาธิทุกข์ก็ได้ เจ็บป่วยทางกาย ก็พลอยให้เป็นทุกข์ไปได้ถึงใจ
คำว่า ทุกข์
เป็นอาการชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วทนได้ยาก มันเป็นสภาวะที่บีบคั้นทางกายบ้าง
ทางใจบ้าง เรื่องที่มาบีบคั้นมักต้องเป็นเรื่องที่ไม่พึงปรารถนาเสียทั้งสิ้น และมักเป็นไปตามเหตุต่างๆที่มาประกอบกันขึ้น
โดยที่ไม่อยู่ในอํานาจของเราจะไปห้ามปรามได้
ทุกข์น้อยๆ ก็พออดพอทนกันได้ ทุกข์มากๆ
ก็ทนได้ยากเข้า ถ้าทุกข์มากที่สุด บางคนทนไม่ไหว ต้องหาทางออกผิดๆ เช่น ฆ่าคนอื่นตาย
ฆ่าตัวเองตาย ที่ว่าเป็นทางออกผิด เพราะยิ่งทําให้เกิดทุกข์หนักยิ่งขึ้นไปอีก
ฆ่าเขาตาย ก็ต้องถูกจับติดคุกติดตะรางในชาตินี้ ชาติหน้า ก็ไปอบายภูมิ
ฆ่าตัวตายก็ต้องไปอบายภูมิ
เรื่องความเจ็บป่วยที่ทําให้คิดฆ่าตัวตาย
อาจจะเป็นเจ็บป่วยทางกายก็ได้ ทางใจก็ได้
เมื่อครั้งข้าพเจ้าเจ็บป่วยด้วยโรคไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน ขณะเดินทางอยู่ในรถไฟ
ในปี ๒๕๐๖ ยังจําความรู้สึกนั้นได้ จนกระทั่งทุกวันนี้
มันเจ็บอยู่ในท้องทวีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีหยุดยั้ง
เคยคิดว่าการเจ็บท้องคลอดบุตรเป็นความเจ็บปวดแสนสาหัสแล้วก็ยังไม่เจ็บปวดมากเท่า
เพราะเจ็บคลอดลูกนั้น เมื่อเจ็บกระชั้นถี่ๆ แล้ว ยังมีอาการทุเลาหายปวดเหมือนปลิดทิ้งไปเป็นพักๆ
แล้วจึงค่อยเริ่มปวดขึ้นมาทีละน้อยใหม่
ส่วนเจ็บปวดเพราะไส้ติ่งอักเสบนั้น
มีแต่กําเริบขึ้นทุกทีๆ ไม่มีผ่อนคลายลงเลย
เหมือนมีมีดคมกริบเข้าไปคว้านไส้คว้านพุง
ความเจ็บปวดกระจายจากภายในท้องออกมาถึงทุกขุมขน ตามผิวหนังร้าวจนอะไรก็มาถูกตัวไม่ได้
แม้แต่อ้าปากพูดก็เจ็บแทบขาดใจ เวลานั้นข้าพเจ้ายังคิดอยากให้ใครเอามีดมาผ่าท้องสดๆ
ไม่ต้องวางยาสลบก็ยังจะเจ็บน้อยกว่า หรือถ้าจะมีใครมาฆ่าเสียให้ตายก็จะยอมตายโดยดี
และขอบใจคนที่มาฆ่ามากที่สุดด้วย จะให้ฆ่าตนเองขณะนั้น ถ้าขยับตัวได้มีเรี่ยวแรงลงมือ
คิดว่าไม่แน่เหมือนกัน เพราะเวลานั้นยังไม่มีความรู้เรื่องบุญบาปอะไรมากนัก
แต่บังเอิญเจ็บปวดจนขยับตัวไม่ไหว จึงรอดไป
สําหรับมารดาของข้าพเจ้า
ก่อนตายท่านทุกข์ทรมานด้วยอาการเจ็บปวดถึงที่สุดเพราะเป็นโรคมะเร็งที่ปอด
แต่ก็แปลก แทนที่จะปวดในอกซึ่งเป็นที่ตั้งของปอด กลับเจ็บปวดที่สะโพก ตรงข้อต่อระหว่างกระดูกท่อนขากับสะโพกซีกขวา
คงจะเป็นกรรมเก่าของท่านในสมัยเด็ก เป็นลูกกําพร้าแม่ ต้องหากับข้าวเลี้ยงน้องสองคนที่ยังเล็กๆ
จึงใช้วิธีเดินไปตามคันนาจับปูนาตัวโตๆ ซึ่งสมัยนั้นมีชุกชุมมาก หักเอาแต่ก้ามข้างโตของปูมากิน
ปล่อยตัวมันไป ทําอยู่แทบทุกวันเป็นอาจิณกรรม
เมื่อเจ็บปวดมากเข้า
แม่ให้ข้าพเจ้าเอาน้ำเดือดๆ ใส่ในกระเป๋าน้ำร้อน แล้วให้แนบถุงนั้นตรงบริเวณเนื้อที่ปวด
ข้าพเจ้าเห็นน้ำนั้นร้อนจัด จึงพยายามหาผ้าหลายๆ ชั้นพันรองไว้เสียก่อน
แม่ก็ไม่ยอมพูดว่า
"ไม่ได้ๆ
อย่าเอาผ้ามาพัน พันแล้วมันไม่ร้อน แม่อยากให้มันร้อนที่สุดเลย
มันจะได้ทะลุเข้าไปแก้ปวดถึงในกระดูกได้”
พูดแล้วท่านก็แย่งเอาไป รื้อผ้าที่พันออก
ใช้กระเป๋าน้ำร้อนนาบไปตามบริเวณที่เจ็บปวด
ข้าพเจ้ามองตามด้วยความหวาดเสียวทุกครั้ง เพราะกลัวผิวหนังที่ตรงนั้นจะพองออกมาด้วยความร้อน
แต่ก็น่าประหลาด ไม่มีอาการพองเกิดขึ้น มีแต่อาการแดงๆ ชั่วครู่แล้วก็หายไป
ส่วนอาการปวดกลับทุเลาลงได้เป็นพักๆ
บางครั้งปวดมากจนน้ำร้อนก็ช่วยไม่ได้
แม่จะพูดกับข้าพเจ้าว่า
“หนู ลูกเอามีดโกนมาปาดคอให้แม่ตายหน่อยไม่ได้หรือ
มีดอยู่ในกล่องในลิ้นชักตู้ใบนั้นน่ะ เอามาเฉือนตรงหลอดลมที่คอเนี่ย ให้ขาดเลยนะ แม่จะไม่เอาบาปกะลูกเลย
นึกว่าช่วยสงเคราะห์ให้แม่หายปวดเถอะ"
พูดพร้อมกับชี้มือไปยังที่เก็บมีดโกนแบบสมัยโบราณ
ซึ่งแม่เคยใช้โกนศีรษะข้าพเจ้าเมื่อสมัยเด็กๆ เวลาไปติดเหาจากเพื่อนที่โรงเรียน
ข้าพเจ้าจะทําเป็นไม่ได้ยินทุกครั้ง
ที่ได้รับคําขอร้องทํานองเดียวกัน พร้อมกับรีบแอบเอามีดเล่มนั้นไปซ่อนใส่กุญแจไว้ในตู้อื่นให้พ้นมือของแม่
และรีบหาเรื่องอื่นมาคุยเปลี่ยนอารมณ์ ในที่สุดก็ได้ใช้การอธิษฐานจิตภายหลังการทํากุศลต่างๆ
ทุกครั้งให้มีวิธีช่วยเหลือแม่ คําอธิษฐานเป็นผลขึ้นมาได้จริงเมื่อเพื่อนที่เป็นแพทย์ท่านหนึ่งบอกชื่อยาแก้ปวดชนิดหนึ่งซึ่งต่างประเทศเพิ่งส่งเข้ามาขายในประเทศของเราให้
ตามหาซื้อตัวยาชนิดนี้เสียหลายบริษัท
จึงได้มา พอประคองให้ความเจ็บปวดทุเลาลง กระทั่งไม่ร้องให้ฆ่าท่านอีก
นี่เล่าถึงโรคภัยไข้เจ็บทําทุกข์ให้มากมายนัก
ตัวคนเจ็บก็มีอาการทุกข์สาหัส ยังตัวญาติพี่น้องก็ต้องพากันทุกข์ใจด้วยความห่วงใยสงสารอย่างที่ข้าพเจ้าต้องรู้สึกเมื่อเห็นมารดาเจ็บปวดจนอยากตายให้พ้นๆ
อย่างไรก็ดี แม้ความเจ็บป่วยที่เล่าให้ฟังนี้จะเป็นความทุกข์กายทุกข์ใจที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวหรือเกิดเฉพาะบุคคลไม่ทั่วไปกับทุกคนก็ตาม
ก็เป็นความทุกข์ที่ใหญ่หลวงมิใช่น้อยสําหรับคนที่ต้องพบ
อย่างไรก็ตาม
ความเจ็บป่วยเรื่องนี้ก็ให้บทเรียนว่า ไม่ควรประมาทในการสร้างกุศลกรรม
แก่ข้าพเจ้ามาก ทําให้ข้าพเจ้ากระตือรือร้นในการบําเพ็ญความดีงามต่างๆ เพิ่มขึ้น
เคยใส่บาตรตามใจชอบ วันไหนมีก็ใส่ ไม่มีก็งดไป ก็เปลี่ยนมาเป็นใส่บาตรทุกวันต่อไปตามเดิมเหมือนเมื่อครั้งรับราชการ
คิดว่าร่างกายไม่แน่นอน เกิดวันใดขาแข็งทื่อขึ้นมาทั้งท่อน
เหมือนวันที่ปวดมากคราวนั้น และถ้าเกิดรักษาไม่หายเล่า
ข้าพเจ้าจะมีขาที่ไหนเดินไปใส่บาตรได้เหมือนขณะนี้ เมื่อแก้ไขจนเดินได้แล้ว
จึงควรต้องไม่ประมาท ทําสิ่งใดเป็นกําไรเป็นเสบียงได้ต้องรีบทํา
ศีลนั้นรักษาประจําอยู่แล้ว เป็นศีล ๘ ก็พอเหมาะกับชีวิตตน
การภาวนาตอนนี้ก็อยู่ในขั้นพยายามกระทําทุกอริยาบถที่ไม่ต้องพบปะพูดคุยกับใคร
ถ้าไม่มีธุระกับผู้อื่น ก็พยายามเก็ลใจไว้ในกลางกาย ไม่พยายามคิดถึงเรื่องของใครๆ
เลย ความเจ็บสอนให้รู้จักตนเองแจ่มแจ้งว่า เมื่อความเจ็บมาถึงตัว ไม่มีใครเจ็บแทนเราได้เลย
ต้องเจ็บอยู่ตามลําพัง นี่ขนาดยังเห็นหน้ากันอยู่ ยังพูดกันรู้เรื่อง เมื่อถึงคราวเจ็บป่วยเข้าใครก็ช่วยไม่ได้
และถ้าถึงคราวตายเล่า ยิ่งไม่มีทางบอกใครให้รู้เรื่องยิ่งกว่านี้ไปอีก ตายคนเดียว
ไปคนเดียว ถ้ามัวแต่อ้างโน่นอ้างนี่
ไม่รีบทําความดีให้เป็นบุญไปเป็นเพื่อนร่วมเดินทางแล้ว ก็นับว่าโง่เต็มที
อายุของคนเราสั้นนิดเดียว คนดี ฉลาด ไม่มัวสนใจอายุนั่นหรอก
เขาจะรีบเร่งทํากุศลกรรมเหมือนคนที่ไฟกําลังไหม้ศีรษะนั่นทีเดียว เพราะถึงอย่างไรๆ
ทุกคนก็ต้องตายแน่นอน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราตรัสสอนไว้
ในใจความดังนี้
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๔ บทที่ ๕
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๔ บทที่ ๕
เหตุแห่งความเจ็บป่วย
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
03:48
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: