การพัฒนาคนด้วย “ปัญญา ๓ ฐาน”
หลักในการพัฒนาบุคคลในยุคนี้มีอยู่มากมาย
และมีการนำเสนออีกหลักหนึ่งโดย ดร.วรพัฒน์ ภู่เจริญ
ท่านเสนอวิธีพัฒนาบุคลากรในองค์กรด้วย หลัก "ปัญญา ๓ ฐาน" และที่น่าสนใจคือ หลักปัญญา ๓ ฐานนี้ ท่านเอามาจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนา คือเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งรายละเอียดของ ปัญญา ๓ ฐาน คือ ฐานกาย เป็นเรื่องของศีล ฐานใจ
เป็นเรื่องของสมาธิ และ ฐานที่ ๓ ฐานความคิด เป็นเรื่องของปัญญา
ข้อแรก ศีล (ฐานกาย) คือเรื่องความมีวินัยทางกายและวาจานั่นเอง
เพราะฉะนั้น อาตมาจึงอยากจะใช้คำว่าฐานวินัย ซึ่งคลุมทั้งกายและวาจา ฐานวินัยนี้
ในแง่ของการทำงานก็คือให้เป็นคนที่มีวินัยในตัวเองและมีความรับผิดชอบ
ถ้าในแง่ขององค์กรก็คือเป็นองค์กรที่รับผิดชอบ เช่น
สินค้าที่ผลิตออกมาการันตีคุณภาพได้ ไม่มีการปลอมปน ปลอมแปลง ไม่ทำแบบกรณีที่เอาเมลามีนมาผสมในนมของจีน
ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่รับผิดชอบ ทำแล้ว เสียหายทั้งบริษัทจนถึงกับล้มละลาย
เพราะคนไม่กล้าซื้อผลิตภัณฑ์นมจากบริษัทนี้อีกต่อไป
และยังเสียหายไปถึงประเทศจีนอีกด้วย จะเห็นได้ว่าหากขาดความรับผิดชอบเมื่อไร
ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นมากมาย เพราะฉะนั้นจะต้องปลูกฝังความรับผิดชอบให้กับบุคลากรทั้งบริษัท
เพราะบริษัทเกิดมาจากบุคลากรในบริษัทแต่ละคนมารวมกัน ถ้าทุกคนมีวินัย
มีความรับผิดชอบในตัวเอง และมีความซื่อสัตย์ บริษัทนั้นก็เป็นที่ไว้ใจได้
ข้อที่ ๒ สมาธิ (ฐานใจ) คือเรื่องของความเพียรชอบ มีสติชอบ สมาธิชอบ
โดยย่อก็คือให้เป็น คนที่ขยันพัฒนาตนเองตลอด เพราะความขยันหรือ ความเพียรชอบ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าขยายความออกเป็น ๔ อย่าง คือ
๑. สิ่งไม่ดีในตัวเราที่มีอยู่ ให้เลิก
ให้ทิ้งไป
๒.
สิ่งไม่ดีที่ยังไม่มี ก็ควรป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น
๓.
สิ่งดี ๆ ที่ยังไม่มีในตัวเรา ก็ให้พยายามทำให้เกิดขึ้น
๔.
สิ่งดี ๆ ที่มีอยู่แล้ว ก็ทำให้เจริญก้าวหน้า ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
พูดง่าย ๆ ก็คือการพัฒนาตนเองนั่นเอง
ลดสิ่งไม่ดีแล้วเพิ่มพูนสิ่งดี ๆ เพิ่มพูนความรู้ความสามารถของตนให้มากขึ้น
แล้วก็ต้องมีสติ มีความรู้ตัว และทำสมาธิได้
หัวใจรวมของข้อนี้ก็คือเรื่องสมาธินั่นเอง ซึ่งตอนนี้เป็นเรื่องที่ฝรั่งสนใจมาก
เพราะเขาพบว่า เมื่อนั่งสมาธิแล้ว อะไร ๆ ก็ดีขึ้นมาก เอาใจหยุดนิ่ง ๆ อย่างเดียว
ทุกอย่างดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะทั้งศีล สมาธิ และปัญญา จริง ๆ
แล้วก็อยู่ที่ใจนั่นเอง
เคยมีพระภิกษุรูปหนึ่งในครั้งพุทธกาล
บอกว่าวินัยสงฆ์มีเยอะเหลือเกิน เป็นร้อย ๆ ข้อ รักษาไม่ไหว
จะไปขอลาสิกขากับพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสถามว่า “ถ้าให้รักษาข้อเดียวไหวไหม” พระรูปนั้นกราบทูลว่า “ไหว” "พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นให้เธอรักษาใจ
เพราะเมื่อเธอรักษาใจของเธอได้ ศีล สมาธิ ปัญญาจะเกิดขึ้นเอง"
แล้วพระวินัยทุกข้อจะสมบูรณ์ ท่านก็ตั้งใจรักษาใจของท่านเต็มที่ สุดท้ายก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ เรื่องนี้ชี้ให้เห็นได้ชัดว่า การรักษาใจให้สงบ ให้ หยุด ให้นิ่ง เป็นหัวใจของความสำเร็จทุกอย่าง
เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยากมีความก้าวหน้าในชีวิต
และบริษัทที่อยากให้บุคลากรมีคุณภาพ ก็ให้พวกเขา นั่งหลับตาทำสมาธิตามหลักที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้
แล้วทุก ๆ อย่างจะดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
ข้อที่ ๓ ปัญญา (ฐานความคิด) แบ่งได้ ๒ อย่าง
๑. เรื่องความเห็น มีสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ
๒.
เรื่องความคิด มีสัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ
ความเห็นกับความคิดต่างกันอย่างไร
ความเห็นเป็นตัวชี้ทิศ เป็นกรอบว่าเราจะไปในทิศทางไหน ส่วนความคิดเป็นการคิดเรื่องรายละเอียดตามกรอบนั้น
ถ้าวางกรอบผิด วางทิศทางผิด เช่น วางทิศทางไว้ว่าจะต้องเป็นโจร
พอวางกรอบอย่างนี้แล้ว ความคิดจะเป็นไปในทางที่เป็นโทษหมดเลย
เพราะว่าทิศทางผิดตั้งแต่แรก เช่น คิดว่าทำอย่างไรจะไปขโมยพาสเวิร์ด
แล้วก็เอาเงินจากบัญชีธนาคารของคนอื่นมาได้ อย่างนี้ยิ่งเก่งเท่าไรก็ตาม
ใช้ความคิดมากเท่าไรก็ตาม ก็จะเป็นไปในทางที่ผิดหมดเลย เพราะฉะนั้นต้องมีสัมมาทิฐิ
มีความเห็นชอบ เป็นการวางกรอบความคิดที่ถูกต้องไว้ก่อน จากนั้นก็ใช้ความคิดที่ถูกต้องเติมเข้าไปในรายละเอียด
ทุกอย่างก็จะสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น ฐานเรื่องปัญญาต้องประกอบด้วย ๒ อย่าง คือ
ความเห็นและความคิด จึงจะครบถ้วนบริบูรณ์
นี้คือปัญญา ๓ ฐาน หรือการพัฒนาตนเอง ๓
ฐาน ตามหลักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วจะต้องมีกิจกรรมอะไรมารองรับ จึงจะสามารถพัฒนาทั้ง
๓ อย่างนี้ขึ้นมาได้ สิ่งที่ต้องทำคือ
เราจะต้องมีความสม่ำเสมอในกิจกรรมที่สร้างให้เกิดวินัย สมาธิ และปัญญา เราจะพบว่า
ตำราบริหารมีมาก แต่ละอย่างที่ยกมาดี ๆ ทั้งนั้น แต่หัวใจคือจะต้องทำอย่างเอาจริงเอาจังและสม่ำเสมอ
ในกรอบของศีล สมาธิ ปัญญา จึงจะเกิดผลดี เพราะเมื่อทำอย่างสม่ำเสมอจะกลายเป็นนิสัย
ทั้งนิสัยส่วนตัวและนิสัยขององค์กร เป็นสิ่งที่ทุกคนทำจนคุ้นเคยเป็นอัตโนมัติ
ที่เรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร
สมาชิกใหม่เข้ามาก็จะถูกหลอมกลืนเข้าไปสู่วัฒนธรรมนี้ด้วย เมื่อทำจนเป็นนิสัยแล้ว
ก็จะทำอย่างนั้นต่อไปเรื่อย ๆ
การใช้เรื่องเล่าก็เป็นสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมาก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ใช้เรื่องเล่าเป็นวิธีการหลักในการเผยแผ่ธรรมะในพระพุทธศาสนา
ถ้าใครเคยอ่านพระไตรปิฎกจะพบว่า ทั้งพระวินัยและพระสูตร จริง ๆ
แล้วคือประมวลเรื่องเล่านั่นเอง หลักธรรมแต่ละเรื่องจะมีที่มาที่ไป
เล่าท้องเรื่องก่อน แล้วก็มาถึงหัวใจคือหลักธรรม เพราะฉะนั้น
เรื่องเล่าจึงมีความสำคัญ เป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจให้คนอยากจะทำตาม
ฉะนั้น จะให้ผู้บริหารมาเล่าเรื่องเร้าใจ
เพื่อจูงใจให้เกิดพลังทำสิ่งที่องค์กรปรารถนาก็ได้
ให้สมาชิกช่วยกันเล่าก็ได้เหมือนกัน เพราะเรื่องเล่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
และจะซึมซับเข้าไปโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าเล่าครั้งเดียวแล้วเลิก อะไรจะเกิดขึ้น
ก็หวือหวาชั่วคราวแล้วก็หายไป แต่ถ้ามีเรื่องเล่าจากคนนั้น คนนี้
เรื่องนั้นเรื่องนี้สม่ำเสมอทุกวัน ก็จะค่อย ๆ ซึมซับจนกระทั่งเป็นนิสัย
แล้วจะกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรขึ้น
หรืออาจจะใช้ระบบการให้คุณให้โทษในองค์กรก็ได้
เพราะระบบการให้คุณให้โทษถ้าหากทำอย่างชัดเจน แล้ววางเป็นกรอบกติกาที่ทุกคนรับรู้รับทราบพร้อมกันว่า
ถ้าทำตามทิศทางนั้นจะ ได้ประโยชน์ แต่ถ้าออกนอกทิศทางก็จะเกิดโทษ อย่างนี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้คนอยากจะไปในทิศทางนั้น
และจะมีแนวโน้มอยู่ในกรอบขององค์กร
หรือจะอยู่ในรูปแบบของกิจกรรม
เพราะถ้าลงรายละเอียดแล้วจะพบว่าการพัฒนาองค์กรมีรูปแบบหลากหลายมาก
จะไปออกกำลังกายด้วยกันก็ได้ หรือบางบริษัทโดยเฉพาะของญี่ปุ่นตอนเช้าก่อนเริ่มงาน
บางครั้งจะให้พนักงานเต้นแอโรบิกหรือออกกำลังกายร่วมกันสัก ๕ นาที ๑๐ นาที
แล้วก็เริ่มงาน ในภาคปฏิบัติจริง บางทีไม่ใช่เรื่องของศีลล้วน ๆ สมาธิล้วน ๆ
หรือปัญญาล้วน ๆ แต่เป็นลักษณะผสม ขอเพียงให้ภาพรวมอยู่ในทิศทางที่ถูกต้องก็ใช้ได้
แต่ขอให้ทำอย่างจริงจังและสม่ำเสมอต่อเนื่อง จนกระทั่งเป็นนิสัยขององค์กร
เป็นนิสัยของสมาชิกในองค์กร แล้วจะเกิดผลดี นี้คือหัวใจของความสำเร็จที่บางครั้งคนมองข้ามไป
ถ้าจับหลักตรงนี้ได้แล้ว จะเอาหลักธรรมแต่ละหัวข้อมาใช้ประโยชน์ได้เต็มที่
และหากเข้าใจอย่างนี้แล้ว จะพบว่าเวลาไปอ่านตำราบริหารหรือตำราพัฒนาบุคลากรกี่เล่มก็ตาม
ก็จะไม่งง
ให้เราพิจารณาว่า เนื้อหาของกิจกรรมที่จะทำ
สอดคล้องกับหลักศีล สมาธิ ปัญญาไหม เป็นการเพิ่มพูนความพร้อมเพรียง ความซื่อสัตย์
ความมีวินัย รับผิดชอบของสมาชิกในองค์กรนั้น ๆ หรือเปล่า? ทำให้สมาชิกในองค์กรใจนิ่งขึ้น
มีความขยันหมั่นเพียร อยากจะพัฒนาตัวเองมากขึ้นหรือเปล่า? มีสติในการทำงานมากขึ้นหรือเปล่า? ทำให้สมาชิกในองค์กรนั้น
มีความเห็นที่ถูกต้องดีงามหรือเปล่า? กรอบความคิดถูกต้องไหม? รู้จักใช้ความคิดให้งานทุกอย่างสำเร็จตามเป้าด้วยหรือเปล่า? หากอยู่ในกรอบนี้ใช้ได้ทั้งนั้นทุกกิจกรรม
และให้เลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับลักษณะขององค์กร เพราะแต่ละองค์กรมีงานต่างกัน
และลักษณะงานของแต่ละหน่วยงานก็ไม่เหมือนกัน ลักษณะของบุคลิกผู้บริหารก็ไม่เหมือนกัน
ให้ดูจากสภาพความเป็นจริงว่า ลักษณะงานของบริษัทเป็นอย่างไร สภาพชุมชน
แวดล้อมเป็นอย่างไร ผู้คนในบริษัทตั้งแต่ผู้บริหารถึงพนักงานมีธรรมชาติอย่างไร
กิจกรรมไหนเหมาะกับสภาวะขององค์กรนั้น ๆ ก็เลือกได้เลย ขอเพียงให้ทำอย่างจริงจัง
สม่ำเสมอ และต่อเนื่อง ผลดีจะเกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ นี้คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ในภาคปฏิบัติที่ให้ผลดีในปัจจุบันทันตาเห็น แล้วให้ทำไปอย่างต่อเนื่อง ตั้งใจนั่งสมาธิอย่างจริงจัง
ผลดีจะเกิดขึ้นในชาติหน้าด้วย สุดท้ายยังสามารถหมดกิเลสและเข้าพระนิพพานได้
Cr. พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๙๙
เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔
การพัฒนาคนด้วย “ปัญญา ๓ ฐาน”
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
00:28
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: