ชิตัง เม เราชนะแล้ว
"ความตระหนี่และความประมาท เป็นเหตุให้คนเราให้ทานไม่ได้ ผู้มีปัญญาเมื่อต้องการบุญ พึงให้ทานเถิด" (พิลารโกสิยชาดก)
ความตระหนี่และความประมาทเป็นเหตุทำให้คนเราไม่ยอมทำทาน
เมื่อไม่ให้ก็ไม่ได้บุญเพราะบุญเกิดจากการทำทาน
รักษาศีล เจริญภาวนา บุญนั่นเองเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต
ตั้งแต่ชีวิตของปุถุชนจนกระทั่งถึงความเป็นพระอริยเจ้า
บุญจะบันดาลให้เราพรั่งพร้อมด้วยสมบัติทั้งสาม คือ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์
ก็จะมีโภคทรัพย์สมบัติไว้ใช้สร้างบารมี หล่อเลี้ยงตัวเองและผู้อื่นอย่างสะดวกสบาย
เมื่อเป็นชาวสวรรค์ก็จะมีทิพยสมบัติอันประณีต
ครั้นบารมีเต็มเปี่ยมก็จะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
เมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังสร้างบารมีเสวยพระชาติเป็นพระบรมโพธิสัตว์
พระองค์ได้พิจารณาด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลมว่า ทานบารมี
เป็นบันไดก้าวแรกของการสร้างบารมีทั้งหมด จึงได้เริ่มต้นสร้างมหาทานบารมีก่อน
เพราะถ้าหากทานบารมีเต็มเปี่ยม จะทำให้การสร้างบารมีอย่างอื่นทำได้สะดวกสบายขึ้น
ยามใดที่เราพรั่งพร้อมด้วยโภคทรัพย์สมบัติ
มีศรัทธา พบเนื้อนาบุญ ยามนั้นเราจะสามารถสร้างบารมีได้สะดวกสบาย
แต่ยามใดที่เราไม่มีไทยธรรม หรือโภคทรัพย์สมบัติ แม้จะมีศรัทธา มีเนื้อนาบุญ
เราก็ไม่สามารถจะให้ทานได้ กว่าจะสร้างบารมีอื่น ๆ ได้แต่ละอย่างก็แสนจะลำบาก
เพราะฉะนั้นทานบารมีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญของการเดินทางไกลในสังสารวัฏ
เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต
มีพราหมณ์สองสามีภรรยาอาศัยอยู่ในเมืองสาวัตถี ทั้งคู่เป็นคนยากไร้
มีสมบัติติดตัวเพียงแค่ผ้านุ่งคนละผืน และผ้าห่มที่ใช้สำหรับคลุมกายเพียงผืนเดียว
เวลาจะออกไปนอกบ้านก็ต้องผลัดกันไป
วันหนึ่งได้มีการประกาศไปทั่วเมืองว่า พระบรมศาสดาจะเสด็จมาแสดงพระธรรมเทศนา เมื่อพราหมณ์และพราหมณีได้ยินดังนั้น
เกิดจิตเป็นกุศล อยากไปฟังธรรมกับเขาบ้าง
แต่เนื่องจากทั้งสองมีผ้าห่มเพียงผืนเดียว ไม่อาจไปฟังธรรมพร้อมกันได้
พราหมณ์จึงบอกนางพราหมณีว่า "ให้น้องไปฟังธรรมในตอนกลางวันเถิด
ส่วนฉันจะไปฟังธรรมในตอนกลางคืน" ตกกลางคืน
พราหมณ์ได้ไปฟังธรรมที่วัดตามที่ตกลงกันไว้ เขาเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
มีปีติแผ่ซ่านไปทั่วกาย จึงเกิดจิตเป็นกุศลว่า จะถวายผ้าห่มผืนนี้แด่พระบรมศาสดา
เพื่อบูชาธรรมพระองค์ แต่ก็กังวลใจว่า ถ้าเราถวายผ้าผืนนี้แล้ว
นางพราหมณีจะไม่มีผ้าห่มสำหรับคลุมกายเลย
ในขณะที่พราหมณ์กำลังคิดว่าจะถวายดีหรือไม่ถวายดีนั้น
มัจเฉรจิต คือ ความตระหนี่ได้เกิดขึ้น และครอบงำกุศลจิตของเขาเอาไว้
พราหมณ์จึงไม่สามารถเอาชนะความตระหนี่ที่เกิดขึ้นในใจได้ จนเวลาล่วงปฐมยามไปแล้ว
ครั้นมัชฌิมยาม
พราหมณ์ก็ยังไม่สามารถตัดใจถวายได้ จนล่วงมาถึงปัจฉิมยาม
บุญเก่าได้กระตุ้นเตือนให้เขาคิดว่า "ถ้าหากเราไม่สามารถกำจัดความตระหนี่ออกจากใจได้
เราจะพ้นจากความทุกข์อันแสนสาหัสนี้ได้อย่างไร" เมื่อคิดได้ดังนี้จึงตัดใจน้อมผ้าเข้าไปถวายพระบรมศาสดา
เมื่อคิดจะให้ กระแสบุญก็เกิดขึ้นในกลางกาย บุญได้กำจัดผังจนซึ่งเป็นความตระหนี่ให้หลุดล่อนออกไปจากใจ
พราหมณ์เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขความเบิกบาน
ไม่อาจจะเก็บความปีตินี้เอาไว้ในใจเพียงคนเดียว
จึงได้เปล่งถ้อยคำดังก้องไปทั่วธรรมสภาว่า "ชิตัง เม ชิตัง เม ชิตัง
เม" แปลว่า เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว
พระเจ้าปเสนทิโกศลฟังธรรมอยู่ในที่นั้นด้วย
ได้สดับเสียงพราหมณ์ จึงตรัสถามราชบุรุษว่า "เจ้าจงไปถามพราหมณ์ดูสิว่า
เขาชนะอะไร ฉันไปรบทัพจับศึกได้ชัยชนะกลับมา ยังไม่เห็นกู่ร้องก้องดัง
หรือดีอกดีใจเหมือนพราหมณ์เฒ่าคนนี้เลย" เมื่อราชบุรุษไปถาม
ก็ได้รับคำตอบว่า "พราหมณ์ชนะใจตนเองแล้ว เพราะได้พยายามตัดใจถวายทานถึง ๓
ครั้ง และในครั้งสุดท้าย เขาสามารถเอาชนะความตระหนี่ได้
จึงเกิดความปลื้มสุดขีด" เมื่อพระราชาทราบความเช่นนั้นแล้ว ทรงดำริว่า "พราหมณ์ผู้นี้
ทำสิ่งที่คนทั่วไปทำได้โดยยาก"
จึงเกิดความเลื่อมใสถึงขนาดรับสั่งให้พระราชทานผ้าสาฎกเนื้อดีแก่พราหมณ์ ๑ คู่
พราหมณ์รับแล้วก็ไม่เก็บไว้เอง ได้น้อมถวายผ้าคู่นั้นแด่พระบรมศาสดาอีก
ครั้นพระราชาทอดพระเนตรเห็น จึงเอาผ้าให้พราหมณ์อีก จาก ๒ คู่ เป็น ๔ คู่ ๘ คู่
และ ๑๖ คู่ พราหมณ์ก็ได้นำผ้าเหล่านั้นน้อมถวายพระพุทธองค์ทั้งหมด
พระราชาทรงชื่นชมในตัวพราหมณ์มาก จึงรับสั่งให้ราชบุรุษ นำผ้ากัมพลชั้นเยี่ยม ๒
ผืน มาบูชาธรรมแก่พราหมณ์ ปกติแล้วผ้ากัมพลนี้มีแต่พระราชาเท่านั้นที่ทรงใช้ สามัญชนไม่คู่ควรที่จะใช้
แต่พราหมณ์เป็นผู้มีบุญ ได้ทำบุญกับเนื้อนาบุญอันเลิศ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สมบัติอันเลิศจึงบังเกิดขึ้น
พราหมณ์คิดว่า ผ้ากัมพล ๒ ผืนนี้เป็นของสูง
คนเช่นเรามิบังอาจที่จะนำมาใช้ จึงได้นำผ้ากัมพล
ผืนหนึ่งไปขึงเป็นเพดานในพระคันธกุฎี ส่วนอีกผืนหนึ่งนำไปขึงเป็นเพดานในหอฉัน
เมื่อพระราชาเสด็จมาพระวิหาร ทอดพระเนตรเห็นผ้ากัมพลก็จำได้ จึงตรัสถามพระบรมศาสดาถึงที่มาของผ้าผืนนี้
ครั้นทรงทราบว่าพราหมณ์เป็นผู้ถวาย ก็ยิ่งชื่นชมพราหมณ์หนักขึ้นไปอีก
จึงรับสั่งให้พระราชทานทรัพย์สมบัติแก่พราหมณ์อย่างละ ๔ คือ ช้าง ๔ เชือก ม้า ๔
ตัว ทรัพย์ ๔ พันกหาปณะ บุรุษ ๔ สตรี ๔ ทาสี ๔ และบ้านส่วยอีก ๔ ตำบล
มหาชนที่อยู่ในธรรมสภาได้กล่าวขานเรื่องของพราหมณ์ว่า
ช่างน่าอัศจรรย์จริงหนอ ในเวลาแค่คืน เดียว
พราหมณ์ผู้นี้ได้เปลี่ยนจากคนยากจนเข็ญใจ กลายมาเป็นมหาเศรษฐี พระบรมศาสดาตรัสว่า
ถ้าพราหมณ์ตัดใจถวายผ้าผืนนั้นในปฐมยาม เขาจะได้สมบัติอย่างละ ๑๖
ถ้าถวายในมัชฌิมยามจะได้สมบัติอย่างละ ๘ แต่พราหมณ์เอาชนะความตระหนี่
ได้ในปัจฉิมยามใกล้ฟ้าสาง เขาถวายทานช้าไป จึงได้ทรัพย์สมบัติแค่เพียงอย่างละ ๔
ดังนั้น บุคคลพึงรีบขวนขวายในการทำความดี
พึงห้ามจิตเสียจากความชั่ว เพราะว่าเมื่อบุคคลทำความดีช้า
อกุศลจะเข้าครอบงำเหมือนอย่างพราหมณ์ อยากจะถวายผ้าแต่ตัดสินใจช้า
ความตระหนี่จึงเข้ามาแทรก ทำให้ถวายไม่ได้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า "เมื่อจิตเลื่อมใสในที่ใด
พึงให้ทานในที่นั้น ทานที่ให้แล้วแก่ผู้มีศีล มีผลมาก แต่ทานที่ให้ในผู้ทุศีล
หามีผลมากไม่"
ท่านสาธุชนทั้งหลาย...
การชนะใจตนเองถือว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ที่นำมาซึ่งความภาคภูมิใจยิ่งกว่าพระราชารบชนะศึก
ถ้าหากเราเอาชนะความตระหนี่ในใจได้ ไม่หวงแหน รู้จักแบ่งปันซึ่งกันและกัน
ชีวิตเราก็จะมีความสุขในฐานะผู้ให้ โลกก็จะพบกับสันติสุขอันไพบูลย์
เพราะมนุษย์ทุกคนจะมองกันเหมือนญาติ จะทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่กัน
โดยเฉพาะช่วงนี้ โลกกำลังเจอวิกฤตต่าง ๆ มากมาย
แม้ภัยเหล่านั้นจะไม่มาถึงตัวเราเสียทีเดียว เราก็ไม่ควรประมาท
ควรรีบหาที่ปลอดภัยให้กับชีวิต ด้วยการหมั่นสั่งสมบุญเอาไว้เถิด
โดยเฉพาะวิกฤตโลกที่มนุษย์ขาดศีลธรรมนั้น เป็นสิ่งที่พวกเราจะต้องร่วมกันเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น
เมื่อผู้คนขาดต้นแบบที่ดี เราจะต้องช่วยกันเป็นต้นบุญต้นแบบของโลกพลิกใจเขาให้อยากทำความดี
คนอื่นมีความตระหนี่ เราจะต้องเป็นผู้ให้ ชาวโลกทั่วไปกำลังประมาท ไม่คิดสร้างบุญ
แต่เราจะมีลมหายใจแห่งการสร้างความดีอยู่ตลอดเวลา
จะได้จากโลกนี้ไปดุสิตบุรีอย่างมั่นใจ พร้อมกับได้กู่ร้องก้องเทวสภาในสรวงสวรรค์ด้วยความภาคภูมิใจว่า
"ชิตัง เม ชิตัง เม ชิตัง เม"
Cr. เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ.
๙
ภาพประกอบ
: กองพุทธศิลป์
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๐๒
เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๔
ชิตัง เม เราชนะแล้ว
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
00:33
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: