ภัยพนัน
วันนี้เราจะมาศึกษาถึงเรื่องของภัยพนัน
โทษของการพนัน เราคงจะพอเห็นกันอยู่ว่า การพนัน เป็นสิ่งไม่ดี
แต่ก็แปลกที่ยังมีคนติดการพนันกันทั่วประเทศ ก่อนอื่นมาดูว่า
โทษของการพนันมีอย่างไรบ้าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า โทษของการพนัน มีอย่างน้อย
๖ ประการ คือ
๑.
ผู้ชนะย่อมก่อเวร ถึงแม้บางครั้งเราเกิดฟลุกชนะขึ้นมา
คนเสียพนันเขาก็เจ็บใจ บางทีเขาผูกเวรข้ามชาติ
๒.
ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ เรารู้อยู่แล้วว่า
การพนันจะเสียมากกว่าได้ เช่น คนซื้อสลากกินแบ่ง รัฐบาลก็รู้อยู่แล้วว่า
เงินที่เขาเอามาแบ่งเป็นรางวัลนั้นประมาณครึ่งเดียว ดังนั้นถ้าเราจ่ายไป ๑๐๐
โอกาสจะได้กลับมาเหลือแค่ ๕๐ เท่านั้นเอง ถือเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าที่สุด
แต่ก็ชอบลุ้นเผื่อฟลุกว่าจะเป็นคนโชคดี รู้ทั้งรู้ว่าโอกาสขาดทุนเยอะกว่า โอกาสจะได้กลับมาแค่
๕๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นการลงทุนที่ขาดทุนตั้งแต่เริ่มต้น แต่ก็อยากจะลุ้น
แล้วพอเสียจริง ๆ ก็เสียดายเงิน แต่งวดหน้าเอาใหม่ แก้ตัวเผื่อฟลุก แต่ก็เสียอีก
และจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงข้อ ๓
๓.
ทรัพย์สินค่อย ๆ เสื่อมถอยไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดเนื้อหมดตัว ไฟไหม้ ๑๐
ครั้ง ยังไม่เท่าเสียพนัน เพราะจะเสียหมดทุกอย่างรวมทั้งแผ่นดินด้วย
ไฟไหม้ยังเหลือที่ดิน แต่เล่นพนันไม่เหลือสักอย่าง ที่ดินยังไม่เหลือเลย
๔.
คำพูดไม่มีคนเชื่อถือ คนที่ติดพนันจะหาวิธีการทุกวิถีทางที่จะเอาทรัพย์มาเล่นพนันให้ได้
ยืมเงินใครได้ยืมหมด ไม่ว่าญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูง อ้างนั่นอ้างนี่
โกหกพกลมจนทุกคนเหม็นหน้า เพราะ ว่าต้องการหาเงินมาให้ได้อย่างเดียว ขโมยของก็ยังเอาเลย
จะได้เอาเงินมาแก้ตัว มาเล่นพนันต่อ
เพราะฉะนั้นเครดิตของคนที่เล่นพนันจึงไม่มีเหลือ จะพูดจาอะไรเขาไม่อยากจะเชื่อ
๕.
ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม เดิมเคยมีหน้า มีตาอย่างไร พอติดพนันเข้าแล้ว
นอกจากไม่มีใครเชื่อคำพูด ต่อไปเขาจะดูถูกเอาด้วยว่าเป็นนักพนัน เชื่อถือไม่ได้
๖. ไม่มีใครอยากแต่งงานด้วย
เราลองถามตัวเราก็แล้วกันว่า ถ้าเราจะมีครอบครัว และรู้มาก่อนว่าฝ่ายหญิงฝ่ายชายเป็นนักการพนันตัวยง
ถามว่าจะอยากแต่งงานกับเขาไหม ทุกคนบอกไม่อยาก เพราะมองไปข้างหน้าก็รู้แล้วว่าลูกเต้าลำบากแน่
หรือถ้าเราเป็นผู้ใหญ่ เราจะอยากให้ลูกเราไปแต่งงานกับนักการพนันหรือเปล่า
ไม่มีใครอยาก ฉะนั้นใครเป็นเซียนพนัน ติดการพนันเข้าไปแล้ว
ไม่มีใครอยากแต่งงานด้วย
นี่คือโทษโดยย่อของการพนัน
สรุปง่าย ๆ ก็คือ
๑.หมดเงิน
หมดทรัพย์สิน
๒.หมดเครดิต
ไม่มีคนเชื่อคำพูด ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม และไม่มีคนอยากแต่งงานด้วย
๓.เป็นการสร้างเวรสร้างกรรม
เป็นวิบากกรรมผูกพันกันไป
ฉะนั้น
การพนันจึงเป็นเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์เลย แต่ทั้ง ๆ ที่เห็นกันอยู่อย่างนี้ว่า
การพนันไม่ดีเลย มีแต่เสียกับเสีย ใคร ๆ ก็รู้และยอมรับ
ทำไมยังมีคนไปติดการพนันอยู่เป็นจำนวนมาก ลอตเตอรี่ พิมพ์งวดหนึ่งเป็นสิบ ๆ
ล้านฉบับ ขายหมด บางทีขายเกินราคาคนก็ยังไปแย่งกันซื้อ
และยังมีหวยใต้ดินบนดินสารพัดอย่าง ทำไม?
พิจารณาดูแล้วจะพบว่าเป็นธรรมชาติของคน
ที่ชอบการเอาชนะ คืออยากได้ชัยชนะ ชอบการแข่งขัน ซึ่งตรงนี้ถ้าหากใช้ในทางสร้างสรรค์ก็ไม่เป็นไร
คือถ้าเป็นการฝึกตัวเอง พัฒนาตัวเอง เพื่อให้ชนะ ให้ประสบความสำเร็จ
อันนี้เป็นสิ่งที่ดี เช่น การเรียนหนังสือ ระหว่างเทอมเรียนไปเรื่อย ๆ หลับบ้างตื่นบ้าง
ทำการบ้านบ้างไม่ทำบ้าง ดูหนังสือบ้างไม่ดูบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น
แต่พอใกล้สอบเป็นอย่างไร อีก ๓-๔ วัน อีก ๗ วันจะสอบ ขยันใหญ่ ฟิตดูหนังสือกันใหญ่
พอรู้สึกว่ามีการสอบ มีการวัดผล แต่ละคนก็ต้องการให้ประสบความสำเร็จ
ต้องการได้คะแนนดี ๆ ก็จะเป็นช่วงที่ขยันดูหนังสือเป็นพิเศษ นี้คือธรรมชาติของคน
หรืออย่างนักกีฬาก็เล่นกีฬากันไปอย่างนั้น
แต่พอจะต้องเข้ารายการแข่งขัน การฟิตซ้อมก็จะเพิ่ม เป็นพิเศษ นี่คือคนโดยทั่วไป
แต่ถ้าเกิดเป็นนักเรียนชั้นหนึ่งหรือนักกีฬาชั้นหนึ่ง ที่เป็นมือระดับโลก
เขาจะดูหนังสือสม่ำเสมอ ฝึกซ้อมกีฬาสม่ำเสมอ ผลงานเขาถึงจะดีกว่าคนทั่วไป
ส่วนคนปกติที่ไม่ขยันเรียน ไม่ขยันซ้อม แต่พอใกล้สอบ ใกล้แข่ง ก็จะขยันเป็นพิเศษ
เพราะอยากจะชนะ อยากจะประสบความสำเร็จ พอสำเร็จแล้ว ชนะแล้ว ก็สบายใจ รู้สึกว่าตัวเองเก่ง
มีความภาคภูมิใจในตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทุกคนต้องการ
ที่จริงตรงนี้อย่าว่าแต่คนเลย
แม้สัตว์เองก็เช่นเดียวกัน เอาส่วนของคนก่อน อาตมาถามเจ้าของ โรงเรียนอนุบาลว่า
เราไปสอบตอบปัญหาธรรมะเด็ก เขาเพิ่งแค่ ๔-๕ ขวบ เขาจะรู้เรื่องหรือเปล่าว่า การ
สอบ การชนะ การได้รางวัลเป็นอย่างไร คืออาตมาเกรงว่าอายุน้อย ๆ ๔ ขวบ ๕ ขวบ ๖ ขวบ
เขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ พอพูดจบท่านอาจารย์ผู้บริหารโรงเรียนบอกว่า
อย่าว่าแต่ ๔ ขวบ ๕ ขวบเลย แค่เตรียมอนุบาล ๓ ขวบ การได้รับรางวัลก็เป็นสิ่งที่เขาภูมิใจมาก
เด็กแค่ ๒ ขวบ ๓ ขวบ ยังรู้เรื่องการชนะ การได้รางวัลเลย พออาตมานึกดูก็คิดว่าจริง
เพราะอย่าว่าแต่คนเลย ขนาดสัตว์เองยังต้องการชัยชนะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริงที่วัดพระธรรมกาย
ตอนเริ่มสร้างวัดได้ไม่นาน ละแวกนี้เป็นทุ่งนาทั้งนั้น
เป็นที่รู้กันว่าที่ไหนมีทุ่งนา ที่นั่นจะมีหนูนามาคอยกินข้าว
และจะมีงูเห่ามาคอยกินหนูนาเป็นอาหาร ในทุ่งนาจึงมีหนูนาและงูเห่าเป็นปกติ
ดังนิทานเรื่องชาวนากับงูเห่า
มีอยู่วันหนึ่ง
ข้าง ๆ คูน้ำรอบวัด พอต้นไม้เริ่มโตขึ้นมาก็จะมีกิ่งหักบ้าง เราเลยตัดกิ่งไม้มากองสุม
ๆ ไว้ เอาไว้เป็นฟืนหุงข้าว ตรงข้ามกองฟืน ริมน้ำเจอหนูนากับงูเห่ากำลังสู้กันอยู่
ปกติหนูเป็นอาหารงู เจองูเข้ามันก็ยืนขาแข็งตัวสั่น แล้วงูก็มาจับกินสบาย ๆ
คาบเสร็จก็ขยายปากใหญ่ขึ้น แล้วค่อย ๆ คลุมตัวหนู หนูทั้งตัวก็เข้าไปอยู่ในตัวงู
แล้ว ก็ค่อย ๆ ย่อย แต่นี่ไม่ใช่อย่างนั้น หนูมันสู้ อาตมายังคิดว่าตัวเองตาฝาด
ใช่พังพอนหรือเปล่า แต่ดูดี ๆ ปรากฏว่าเป็นหนูนา สู้กันอยู่พักใหญ่
ปรากฏว่างูสู้ไม่ได้ เลื้อยลงน้ำว่ายหนีไปเลย ก็นึกว่าหนูนาตัวนี้ไม่ธรรมดา
วันรุ่งขึ้นปรากฏว่าที่เก่าเวลาเดิมช่วงหลังเพล
มาอีกแล้ว หนูนาตัวเดิม แต่คราวนี้งูมา ๒ ตัว มันไปชวนคู่มาด้วย ตัวผู้ตัวเมียมา ๒
ตัว รุมเลย ๑ สู้ไม่ได้ไปเอามา ๒ เลย หนูนาก็สู้ใจขาด สู้กันอยู่พักใหญ่งู ๒
ตัวกินหนูนาไม่ลง หนูกระโดดมาทางนี้ แล้วกระโดดหลบ กัดไปหนึ่งที
พองูมาทางนี้กระโดดหลบมาทางนี้ กัดไปอีกหนึ่งที สุดท้ายงูเห่า ๒ ตัว ยอมแพ้
เลื้อยลงน้ำหนีไปทั้งคู่เลย เจ้าหนูนา ทำอย่างไรรู้ไหม มันกระโดดขึ้นบนกองฟืนที่เรียงกันอยู่
กระโดดเป็นขั้น ๆ ขึ้นไปอยู่บนยอดกองฟืน แล้ว ก็ชู ๒ ขาหน้าขึ้น ยืนด้วย ๒ ขาหลัง
ร้องจิ๊กจั๊ก ๆ ประกาศชัยชนะของมันให้โลกรู้ โอ้โฮ!
ขนาดสัตว์ยังรู้สึกภาคภูมิใจกับชัยชนะของมันขนาดนี้ เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่า ทุก
ๆ ชีวิตล้วนแล้วแต่ต้องการชัยชนะ ต้องการความสำเร็จ ยิ่งได้มายากลำบากเท่าไร
ก็ยิ่งมีความภาคภูมิใจเท่านั้น
จริง ๆ เรื่องนี้เราได้ข้อคิดหลายอย่าง
ถ้าเจออุปสรรคแล้วกลัวไปก่อน ครั่นคร้ามยืนขาสั่น ก็จะกลายเป็นเหยื่อเป็นอาหารงูไป
แต่ถ้ามีใจฮึดสู้ไม่ยอมแพ้ ก็จะชนะ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านจึงสรุปว่า "ต้องสู้จึงจะชนะ"
ไม่เฉพาะหนูสู้งูหรอก หมูป่าที่เคยเป็นอาหารเสือ เจอเสือจะมากิน พอหมูไม่กลัว
ตั้งหลักดี ๆ ใจไม่ได้ครั่นคร้าม เล็งดี ๆ เสือมาแล้วเอาเขี้ยวขวิดขวับเดียว
เยื้องตัวหน่อยให้หลบกรงเล็บเสือได้ แล้วขวิดเข้าไปในท้องเสือ เสือท้องแตกตาย
ไส้ทะลักเลย ไม่น่าเชื่อ เพราะฉะนั้น ถ้าสู้แล้วโอกาสชนะ
โอกาสแห่งความสำเร็จจะอยู่กับเรา
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ชีวิตทุก ๆ ชีวิตต้องการชัยชนะ แต่ถ้าชัยชนะนั้นไปฝากไว้กับการฝึกตัวเอง
พัฒนาตัวเอง อันนั้นไม่มีปัญหา แต่ถ้าเมื่อไรเป็นชัยชนะที่ไปฝากไว้กับเงื่อนไขภายนอก
เช่น ซื้อลอตเตอรี่ แล้วรอลุ้นว่า เลขจะออกเบอร์อะไร อันนี้ไม่สร้างสรรค์เลย
เป็นการพนัน จะทำให้เราเสื่อมลง คนโดยทั่วไปกว่าจะได้ชัยชนะในชีวิตมาต้องทุ่มเทมาก
ต้องเหนื่อย และใช้เวลานาน บางคนรู้สึกว่าไม่ทันใจ แต่พอมาเล่นการพนัน
มาอยู่ในเกมแล้ว รู้สึกว่าแป๊บเดียวรู้ผล บางทีเกมบางเกม เช่น เล่นไพ่ บางที ๓
นาที ๕ นาที ก็รู้ผลแล้วว่าชนะหรือแพ้ เดี๋ยวเอาใหม่ รู้สึกเร็วทันใจดี
มีโอกาสแก้ตัวเร็วดี เราจึงพบคำตอบว่าทำไมโบราณมีคำว่า “ผีพนันเข้าสิง”
คนบางคนไม่ได้เป็นนักพนันมาก่อน แต่มีคนชวนไปเล่นการพนัน
พอเล่นไปสักพักติดงอมแงมเลย เขาบอกว่าผีพนันเข้าสิง ถามว่าเพราะอะไร
เพราะมันสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการชัยชนะอยู่แล้ว
แล้วมันเป็นวงจรชัยชนะที่มันสั้นดี ง่ายดี เร็วดี ไปยุ่งกับมันมาก ๆ เข้า ก็ติดเลย
เล่นชนะก็อยากจะชนะต่อ พอแพ้ก็อยากจะแก้ตัว
ความจริงไม่ใช่เฉพาะการพนันที่เป็นเงินเป็นทอง
มีอีกอันที่ดีกรีย่อมเยากว่า แต่สอดคล้องกับธรรมชาติมนุษย์อย่างนี้เหมือนกัน
คือการเล่นเกม เดี๋ยวนี้เด็กติดเกมเยอะ บางทีอดหลับอดนอนถึงสว่าง
เสียการเรียนไปหมด ถามว่าเพราะอะไรถึงติดเกมขนาดนั้น ก็คล้าย ๆ กัน
คือพอเล่นแล้วชนะ ก็รู้สึกภูมิใจว่าเราเก่ง เสร็จแล้วเดี๋ยวเอาใหม่อีกรอบ จะทำคะแนนให้ดีกว่าเก่า
ทำแต้มให้ดีกว่าเก่า แล้วพอแพ้ เป็นอย่างไร ก็แก้ตัว พูดง่าย ๆ ชนะก็จะเล่นต่อ
แพ้ก็จะเล่นต่อ เล่นต่อไปเรื่อย ๆ นี่คืออาการติดเกม นั่นเอง
แม้ว่าไม่ได้มีตัวเงินลงมาเกี่ยวข้องด้วย เล่นอยู่คนเดียว ไม่ได้มีใครเกี่ยวข้อง
ชนะก็ภูมิใจกับตัวเองคนเดียวว่าเราชนะเกมได้ ได้คะแนนมาพอใช้
เดี๋ยวครั้งหน้าจะเอาคะแนนดีกว่าเก่า
อันนี้ถ้าหากเล่นเล็ก
ๆ น้อย ๆ พอเป็นการผ่อนคลาย ก็ยังพอโอเค แต่ถ้าถึงขนาดเล่นจนติด แล้วเสียเวล่ำเวลา
เสียการเรียนแล้วละก็ ไม่คุ้มค่ากันเลย แล้วถ้ารู้ว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างนี้
ดีที่สุดคืออย่าไปยุ่งกับมันเลย ยุ่งแล้วโอกาสที่จะติดสูง ไม่น่าเสี่ยง
เพื่อนคนไหนจะมาชวนไปเล่นการพนันหรือเล่นเกม ถ้าให้ดีละก็อย่าไปเลย แต่ถ้าเกิดจะเล่นละก็
ให้เตือนตัวเองให้ดี ๆ ว่าโอกาสที่เราจะกลายเป็นเด็กติดเกมอีกคนก็มีไม่น้อยเหมือนกัน
และยิ่งถ้าเกิดมีตัวเงินมาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ มันมีได้มีเสีย
มีเดิมพันเข้ามายุ่งด้วยแล้ว คราวนี้จะยิ่งไปกันใหญ่ เกิดผลเสียมากมาย เสียเงิน
เสียทอง บางทีฐานะล่มจม ล้มละลายไปก็มี ยิ่งไม่คุ้มค่ากันใหญ่
คราวนี้ถามว่าเมื่อเรารู้แล้วว่า
การพนันมีโทษมากขนาดนี้ หากเรามีลูกมีเต้า มีญาติพี่น้อง ไปติด การพนันเข้าแล้ว
จะแก้อย่างไร หรือว่าติดการพนันอย่างอ่อน ๆ คือไปติดเกมแล้วจะแก้อย่างไร
ต้องทำอย่างน้อย ๒ อย่าง คือ
๑. ทำให้เห็นโทษเสียก่อน คือบางทีเหมือนคล้าย ๆ จะรู้อยู่ว่าไม่ดี
แต่ยังไม่ชัด อาจจะต้องมีการช่วยกัน เช่น
ผลิตสื่อให้เห็นชีวิตของคนที่เป็นนักพนันว่าเสียหายอย่างไร
ชีวิตคนติดเกมเสียหายอย่างไร มาตีแผ่ให้เห็นเลย เอาจากชีวิตจริงมาทำเป็นละคร
ถือเป็นละครฟื้นฟูศีลธรรมโลกก็ได้ คนจะได้เกิดความตระหนักว่ามันไม่ดีจริง ๆ อยากจะเลิกจริง
ๆ กระตุ้นความรู้สึกอยากเลิกและเห็นโทษชัด ๆ ให้เกิดขึ้น
๒. กระบวนการในการเลิก สิ่งที่จะช่วยได้มาก ก็คือการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
ถ้าอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิม มันคุ้นเคย ไปถึงที่เมื่อไรเดี๋ยวก็จะเล่นพนัน เจอเพื่อน
เดี๋ยวก็จะไปเล่นพนัน บางทีไปเองเลยไม่ต้องมีใครชวนเพราะว่าติดแล้ว
หลับตาเดินยังไปถึงเลย แต่พอเปลี่ยนที่ ย้ายที่ คนเรานี่แปลกพอย้ายสถานที่แล้ว
อารมณ์ความรู้สึกจะเปลี่ยน บางคนเคยติดบุหรี่มาก่อน ติดเหล้ามาก่อน
พอให้มาอบรมธรรมทายาทบอกลืมไปเลย เพราะรอบ ๆ ตัวไม่มีใครสูบบุหรี่สักคน
ไม่มีใครดื่มเหล้าสักคน สิ่งแวดล้อมไม่เอื้อให้ เลยลืมเรื่องนั้นไป
รู้สึกไม่ต้องฝืนอะไรมากมาย ใครติดเกมมาอยู่ในวัด อบรมธรรมทายาทเตรียมบวชพระ
ไม่มีเกมให้เล่น ก็ลืมเรื่องเกมไป ใจจดจ่ออยู่กับเรื่องใหม่
เป็นการปรับวิถีชีวิตตัวเองใหม่ มีโอกาสตั้งหลักชีวิตตัวเองได้ พอครบกำหนดการอบรมแล้ว
กลับไปก็เหมือนกับเป็นคนใหม่ที่มีฐานของคุณธรรมในใจที่หนักแน่นพอที่จะรับมือกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้
ฉะนั้นการปรับสิ่งแวดล้อม ช่วยได้เยอะ ถึงแม้ว่า บางคนบอกจังหวะเวลาไม่เหมาะที่จะบวช
แต่ขอให้นึกถึงเรื่องนี้ก็แล้วกัน เรื่องการปรับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าสถานที่หรือเพื่อนฝูงที่คบอยู่ก็ตามจะมีส่วนช่วยอย่างมาก
ๆ ต่อการเลิกการพนันและเลิกเกม ถ้าจะเลิกเกม สิ่งแวดล้อมในบ้าน
เครื่องไม้เครื่องมือ อินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์อะไรต่าง ๆ นานา ลองหาทางปรับจัดระเบียบใหม่
และอาจจะพบคำตอบว่ามันช่วยได้ โดยให้ลูกหลานตระหนักถึงโทษถึงภัย
ถ้าพ่อแม่ลูกร่วมมือร่วมใจกันมาปรับสิ่งเหล่านี้ ความสำเร็จก็จะบังเกิดขึ้น
Cr. พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๐๓
เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
ภัยพนัน
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
02:38
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: