มาสวดมนต์กันเถิด




การสวดมนต์มีที่มาจากไหน อย่างไร

การสวดมนต์เริ่มต้นมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ซึ่งยังไม่มีการบันทึกคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นลายลักษณ์อักษร สมัยก่อนใช้วิธีการที่เรียกว่า "มุขปาฐะ" คือ การท่องจำ เวลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนอะไรไว้ พระภิกษุก็จะท่องจำ แล้วบอกต่อ ๆ กันไป ดังนั้น การสวดมนต์ก็คือการสาธยายธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้ เป็นการมาทบทวน เพราะถ้าไม่ทวนบ่อย ๆ ก็จะลืม และถ้าเป็นหัวข้อธรรมที่สำคัญ ๆ ก็ยิ่งต้องท่องกันบ่อย ๆ ส่วนหัวข้อธรรมที่นาน ๆ จะใช้สักครั้ง ก็แบ่งหน้าที่กันว่าพระภิกษุรูปไหนจะท่องจำหัวข้อธรรมอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องหลัก ๆ เช่น คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การพิจารณาความไม่เที่ยงอนัตตา ความทุกข์ ฯลฯ ก็จะมีการทบทวนสม่ำเสมอ โดยแปลงมาเป็นการสวดมนต์ทำวัตร หรือเป็นบทสวดมนต์ของเด็ก ๆ ที่สวด “อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา... “ คือ ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นพื้นฐานสำคัญ

นอกจากเป็นพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว  การสวดมนต์มีประโยชน์อะไรบ้าง

การสวดมนต์ถือว่าเป็นการเตรียมใจให้พร้อมเบื้องต้นสำหรับการทำสมาธิก็ว่าได้ วิถีชาวพุทธที่ประกอบด้วยทาน ศีล ภาวนา คำว่า  “ภาวนา”  คลุมทั้งสวดมนต์ ทั้งนั่งสมาธิอยู่ในตัว เพราะฉะนั้นการสวดมนต์ถือเป็นการภาวนาอย่างหนึ่ง มีอานิสงส์ทำให้ใจสงบ เป็นสมาธิ นี้ประการแรก

ประการที่ ๒ การสวดมนต์เป็นทางมาแห่งบุญ เรียกว่า ภาวนามัย คือบุญที่เกิดจากการทำภาวนา ใครก็ตามที่สวดมนต์บ่อย ๆ เวลาจะเจอเหตุร้าย ก็จะแคล้วคลาดไป และสิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้น โบราณบอกว่าเทวดาจะลงรักษา เพราะเทวดาเขาก็อยากได้บุญ แต่เขาอยู่ในภาวะที่เป็นกายละเอียด ทำบุญเองไม่สะดวก ดังนั้นถ้าเขาอยากได้บุญ เขาจะดูว่าใครทำความดี เขาจะลงรักษา พอลงรักษาแล้วเวลาคนนั้นไปทำความดี เขาจะได้ส่วนบุญด้วยในฐานะเป็นผู้สนับสนุน

สวดมนต์ยาวหรือสั้นได้บุญมากน้อยกว่ากันหรือไม่

ไม่ถึงขนาดกำหนดว่าสั้นยาวแค่ไหนจะได้ผลเท่าไร ถ้าสวดสม่ำเสมอและสวดด้วยใจที่สงบ บุญจะเกิด ยิ่งใจสงบมากเท่าไร บุญก็ยิ่งเกิดมากไปตามส่วน เด็กเล็ก ๆ ก็ให้หัดสวดสั้น ๆ ก่อน โตขึ้นก็สวดยาวขึ้น

การสวดมนต์ยังเป็นการทบทวนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย แต่ไม่ถึงขนาดว่าระหว่าง สวดต้องคิดถึงคำสอนไปด้วย เน้นทำใจให้สงบ จะเป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ในระดับที่ลึกกว่า ไม่ต้องสวดไปด้วยและนึกว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไปด้วย จะรบกวนความเป็นสมาธิ ให้สวดด้วยใจนิ่ง ๆ เพราะการที่ใจนิ่งแล้วสวดมนต์ ความซาบซึ้งในพระรัตนตรัย จะเกิดขึ้นอย่างเต็มที่

สวดโดยทราบความหมายกับไม่ทราบความหมายให้ผลแตกต่างกันไหม

ถ้าทราบความหมายก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าไม่ทราบความหมายก็อย่าไปคิดว่าไม่ได้ประโยชน์ หรือ เวลาฟังพระสวด แม้เราไม่รู้ความหมาย แต่เราก็รู้ว่าท่านสวดบูชาพระรัตนตรัย แล้วก็มีนัยที่ดี ถ้าเราตั้งใจฟังคำสวดโดยทำใจนิ่ง ๆ สงบ ๆ เพียงเท่านี้ บุญเกิดขึ้นอย่างมหาศาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบว่า การทำใจให้สงบแม้เพียงช่วงสั้น ๆ เพียงแค่ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น อานิสงส์มหาศาลยิ่งกว่า สร้างโบสถ์สร้างวิหารอีก เพราะฉะนั้น เวลาที่เราสวดมนต์ หรือเวลาพระท่านสวดนานเป็นสิบ ๆ นาที ถ้าเราทำสมาธิแล้วฟังด้วยใจที่สงบ บุญมหาศาลเลย เวลามีการสวดมนต์ในงานใดก็ตาม ขอให้ตั้งใจฟัง พนมมือหลับตาทำใจนิ่ง ๆ อยู่ที่กลางท้อง ระลึกถึงพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง แล้วก็ฟังไป อย่างนี้ถูกหลักวิชา บุญกุศลจะเกิดขึ้นกับเราอย่างมหาศาล อย่าว่าแต่คนเลย ในอดีตมีค้างคาวได้ฟังธรรม แม้ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ฟังแล้วซาบซึ้ง สบายใจ มีความสุข อานิสงส์ฟังพระสาธยายธรรมทำให้ค้างคาวไปเกิดเป็นเทวดา แค่ค้างคาวส่งใจไปตามกระแสเสียงสวดมนต์ของพระ บุญยังส่งผลให้ไปเป็นเทพบุตร ฉะนั้นอย่าดูเบาการสวดมนต์ ถ้าเราสวดเองด้วยยิ่งได้บุญทับทวีคูณ

เป็นความจริงหรือไม่ที่ว่าถ้าแปลคำสวดมนต์แล้วจะทำให้ไม่ขลัง

คงไม่ได้เกี่ยวกับขลังหรือไม่ขลัง แต่ภาษาบาลีเป็นภาษาที่เวลาสวดจังหวะจะเชื่อมต่อกันอย่างราบรื่น ถ้าจะสวดมนต์แปลสั้น ๆ ก็พอได้ แต่ถ้าแปลยาว ๆ สวดบาลียาวไปเลยดีกว่า จะช่วยการฝึกสมาธิของใจได้ดีกว่า เพราะจังหวะดีกว่าสวดคำแปลไปด้วย ยกเว้นบางบทสั้น ๆ ที่เราอยากจะรู้ความหมายจริง ๆ จะแถมบทแปลไปด้วยก็ได้ แต่ว่าโดยภาพรวม ถ้าเป็นภาษาบาลีน่าจะดี ไม่เกี่ยวกับความขลัง แต่เกี่ยวกับความราบรื่นของใจที่สงบและเป็นสมาธิ แต่อย่างไรก็ตาม จะแปลหรือไม่แปล สวดย่อมดีกว่าไม่สวด

มีนักวิจัยชาวตะวันตกวิจัยว่าการสวดมนต์ช่วยรักษาสุขภาพได้ เรื่องนี้จะอธิบายได้อย่างไรบ้าง

คนเราประกอบด้วยกายกับใจ ทั้ง ๒ ส่วน ส่งผลเนื่องกัน ถ้าตอนไหนเรามีเรื่องเครียด ไม่สบายใจ หลาย ๆ วันเข้าเรามีสิทธ์ที่จะไม่สบายได้ เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ นอนไม่หลับ มีโรคนั้นโรคนี้มา ถ้าตอนไหนรู้สึกสบายใจ อารมณ์ดี รู้สึกมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในชีวิต หน้าตาผิวพรรณจะสดใส กายกับใจจะส่งผลเนื่องกัน ขณะเดียวกันถ้าร่างกายไม่แข็งแรง ป่วยนาน ๆ ใจก็ย่อมหดหู่ไปด้วย แต่ถ้าร่างกายแข็งแรง ใจเราจะมีโอกาสสดชื่นมากกว่า ทั้ง ๒ ส่วนส่งผลซึ่งกันและกัน ทีนี้การสวดมนต์ทำให้ใจเรานิ่งสงบและสบายใจ พอสบายใจ ใจที่ได้สมดุล ย่อมนำไปสู่ภาวะร่างกายที่สมดุลด้วย จึงทำให้คนที่สุขภาพดีอยู่แล้วดียิ่งขึ้น ถ้าหากป่วยไข้ไม่สบายก็จะทุเลาลง



เรื่องของการสวดมนต์แต่ละศาสนา ถ้าดูในแง่วิทยาศาสตร์ มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้าง

มีผลการทดลองอันหนึ่งที่น่าสนใจ คือ มี นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นที่เชี่ยวชาญเรื่องน้ำ เขาทดลองเอาน้ำมาทำให้เย็นจนกระทั่งแข็งตัวจับเป็นผลึก แล้วทำให้เป็นแผ่นบาง ๆ จากนั้นรีบเอามาส่องกล้อง จุลทรรศน์ดูว่าลักษณะผลึกน้ำเป็นอย่างไร แล้วเขาก็ทดลองนำน้ำจากแหล่งเดียวกันมาแยกเป็น ๒ ขวด แล้วพูดเพราะ ๆ กับน้ำขวดหนึ่ง อีกขวดหนึ่งพูดไม่ดีด้วย ใช้คำที่ร้าย ๆ เช่น แย่ เลว ปรากฏว่าผลึกของน้ำแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ที่พูดเพราะ ๆ ด้วยเป็นผลึก ๖ เหลี่ยม สวยงาม แต่ที่พูดไม่ดีด้วย ผลึกของน้ำไม่เป็นรูปเลย ราวกับว่าน้ำนั้นหัวใจสลาย

แม้แต่ข้าวก็เหมือนกัน หุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอาไปใส่ขวดโหล ๒ ขวด ปิดฝาไว้ แล้วพูดขอบคุณ ข้าวในขวดแรก แต่กับอีกขวดหนึ่งพูดไม่ดีด้วย พูดว่าไอ้โง่ทุกวัน ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ข้าวในขวดที่พูดเพราะ ๆ ด้วยมีสีเหลืองสวยงาม แต่อีกขวดเป็นสีดำ

อีกภาพเป็นผลึกของน้ำจากเขื่อนฟูจิวาร่า ก่อนได้ฟังเสียงสวดมนต์ลักษณะของผลึกไม่เป็นรูปเลย แต่พอสวดมนต์ให้ฟังทุกวัน ปรากฏว่าผลึกมีรูปร่างสวยงาม นี่เป็นการทดลองวิทยาศาสตร์ซึ่งสามารถทำซ้ำได้ ทำกี่ทีก็เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ร้อย ๆ พัน ๆ ปี แล้วบังเอิญเกิดขึ้นทีหนึ่ง ถ้าใครมีกล้องจุลทรรศน์ก็สามารถทดลองอย่างนี้ได้

นอกจากนี้ ยังพบว่าถ้าเปิดเพลงจังหวะต่าง ๆ ให้น้ำฟัง ลักษณะของผลึกน้ำก็จะเปลี่ยนไปตามจังหวะเพลง ถ้าเป็นเพลงคลาสสิกลักษณะผลึกก็ค่อนข้างจะสวยงาม ถ้าเป็นเพลงที่ก้าวร้าวรุนแรง เหมือนยุให้คนไปทำร้ายกัน ผลึกก็จะไม่เป็นรูปเลย

คนทั่ว ๆ ไป สวดมนต์ใส่น้ำ กับพระสงฆ์สวดมนต์ใส่น้ำ ผลึกน้ำจะมีความแตกต่างกันไหม

ตรงนี้น่าสนใจ ถามว่า ข้าวก็ตาม น้ำก็ตาม มันรู้จักภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ภาษาไทยด้วยหรือ ตอบว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องภาษา แต่เป็นเรื่องของกระแสใจ ตอนที่เราพูดว่าขอบคุณ จะใช้ภาษาไหน ก็ตาม กระแสใจที่ออกมาจะเป็นกระแสของความรู้สึกที่ดี  แต่ถ้าพูดว่าไอ้โง่ แม้จะพูดในการทดลองก็ตาม กระแสใจเริ่มเปลี่ยนแล้ว พอกระแสด้านลบออกมาซ้ำ ๆ กันทุกวัน ก็จะส่งผลให้ข้าวและน้ำที่แม้ไม่รู้จักภาษาพูด แต่สามารถสัมผัสกระแสความรู้สึกที่ออกไปได้ ทำให้กระแสนั้นไปส่งผลต่อลำดับโครงสร้างโมเลกุลของน้ำ ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในข้าวได้

ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ทุกวันด้วยความดื่มด่ำ ซาบซึ้ง ก็จะมีคลื่นที่ดีออกมาจากภายในให้กับตัวเราเอง สิ่งดี ๆ ก็จะเกิดขึ้นในชีวิต เลือดหรือน้ำในตัวเราทั้งหมด ถ้านำไปส่องกล้องแล้วผลึกจะต้องสวยมาก ผิวพรรณวรรณะก็จะผ่องใส รูปร่างหน้าตาก็จะดีขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเราปรารถนาให้ตัวเรามีสุขภาพแข็งแรง มีความเบิกบานผ่องใสแล้วละก็ สวดมนต์เถิด เครื่องสำอางยี่ห้อไหนก็สู้ไม่ได้

ในแง่พระพุทธศาสนา การสวดมนต์มีอานิสงส์อย่างไรบ้าง

คำว่าอานิสงส์มีความหมายคล้าย ๆ กับคำว่าประโยชน์ พอเราสวดมนต์ใจเราก็จะสงบและเกิดบุญกุศลขึ้นมาหล่อเลี้ยงใจ แล้วจะดึงดูดสิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา และเป็นการทบทวนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ชีวิตเราจะดำเนินไปทางบวก สุขภาพแข็งแรง จิตใจเบิกบานผ่องใส หน้าที่การงานจะดี การเรียนและทุกอย่างจะดีไปเรื่อย ๆ

มีเรื่องราวกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า มีเด็ก ๒ คนเป็นเพื่อนกัน อาศัยอยู่ในกรุงพาราณสี คนหนึ่งอยู่ในครอบครัวชาวพุทธที่มีสัมมาทิฐิ อีกคนหนึ่งอยู่ในครอบครัวมิจฉาทิฐิ เวลาแข่งเล่นกีฬาตีคลี เด็กคนแรกจะสวดมนต์ก่อนสั้น ๆ ว่า นะโม พุทธายะ แปลว่า ข้าพเจ้านอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่อีกคนหนึ่งสวดบูชาพระพรหม เล่นกันทีไรเด็กคนแรกชนะตลอด จนเด็กคนหลังถามว่า เธอมีเคล็ดลับอะไร ทำไมชนะตลอด เด็กคนแรกก็เลยบอกว่า เธอต้องสวด นะโมพุทธายะ เด็กอีกคนไม่ได้รู้ถึงความสำคัญของคำว่า นะโมพุทธายะ แต่ก็สวด เพราะหวังว่าเวลาทำอะไรจะได้ประสบความสำเร็จ

มีอยู่คราวหนึ่ง เด็กคนหลังตามพ่อไปตัดไม้ในป่า โคที่เทียมเกวียนหนีไป พ่อเลยไปตามโคจนมืดก็ยังไม่กลับ เด็กชักกลัวเลยหลบไปนอนใต้เกวียน ในป่านี้มียักษ์อยู่ ๒ ตน ตนหนึ่งไม่รังแกคน อีกตนเจอคนก็จะรังแก บางครั้งก็เอามาเป็นอาหาร ยักษ์ทั้งคู่เห็นเกวียนก็ด้อม ๆ มอง ๆ ดู ปรากฏว่าเจอเท้าเด็กโผล่ออกมา ยักษ์ใจร้ายบอกว่าโชคดีได้เด็กเป็นอาหารแล้ว ยักษ์ใจดีบอกว่าอย่าไปยุ่งเลย ไปหาผลไม้กินก็ได้ แต่ยักษ์ใจร้ายจะกินเด็ก เลยจับขาเด็กลากออกมา เด็กตกใจรีบท่อง นะโมพุทธายะ ท่องเท่านั้นเอง ยักษ์รู้สึกว่าร้อนเหมือนจับเหล็กเผาไฟแดง ๆ สะดุ้งคลายมือทันทีเลย และคิดว่าเด็กคนนี้มีบุญ ถ้าเราไปทำร้ายเขาสงสัยบาปเกิดแน่ ๆ เลยขอโทษเด็ก แล้วก็เชื่อมให้เด็กกับพ่อเจอกันและกลับบ้านด้วยความปลอดภัย อานิสงส์แค่สวดมนต์อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ สวดแค่สั้น ๆ บุญยังเกิดขึ้นอย่างนี้เลย คนโบราณท่านรู้หลักนี้ เวลาเกิดอะไรขึ้น จะอุทานว่า คุณพระช่วย คือนึกถึงพระรัตนตรัยก่อน ผูกใจไว้กับพระรัตนตรัยเลย เพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเราจับหลักได้อย่างปู่ย่าตายาย ผลดีจะเกิดขึ้นกับเราอย่างไม่น่าเชื่อ

คนไม่ค่อยมีเวลา จะสวดมนต์ตอนไหนดี

มีโยมอาจารย์คนหนึ่ง เขาสอนอยู่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขานอนวันละ ๔ ชั่วโมง เที่ยงคืนถึงตี ๔ ทุกวัน ตลอดมา ๒๐ กว่าปี เขามีงานเยอะมาก ๆ ทั้งสอนหนังสือ ทำวิจัย ทำงานบ้านทุกอย่าง ดูแลทุกเรื่อง แต่เขาสวดมนต์วันหนึ่งได้เป็นร้อยจบ สวด “อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ...” จบหนึ่งก็ราว ๓ นาที เวลาขึ้นรถไปมหาวิทยาลัยก็สวดมนต์ในใจไปเรื่อย ๆ ถ้าตอนไหนอยู่คนเดียวก็สวดเบา ๆ แทนที่จะปล่อยให้คิดฟุ้งซ่านเรื่องนั้นเรื่องนี้ สวดมนต์ไปเรื่อย ๆ นี่เป็นตัวอย่างว่างานเยอะก็สวดมนต์ได้

เราเองในแต่ละวันมีเวลาที่ไร้สาระเยอะมาก ถ้าเอาเวลาเหล่านี้มาสวดมนต์ก็จะได้หลายรอบ แทนที่จะปล่อยใจไปคิดเรื่องอื่น อาบน้ำอยู่ก็สวดได้ ไม่บาป เพราะการระลึกถึงพระรัตนตรัยคือการแสดง ความเคารพ ล้างหน้า แปรงฟัน สวดได้หมด กินข้าวยังสวดได้เลย ทำอย่างนี้แล้วจะไม่มีคำพูดว่า ไม่มีเวลาสวดมนต์ ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม เพราะสามารถทำได้ในทุกอิริยาบถ



การสวดมนต์แบบออกเสียงกับไม่ออกเสียงอย่างไหนได้บุญมากกว่ากัน

ถ้าสถานที่เหมาะสมสวดออกเสียงดีกว่า จะทำอะไรก็ตาม ถ้าอยู่ในใจก็แค่แรงระดับหนึ่ง ถ้าพูดออกมาจะแรงเพิ่มขึ้น ถ้าลงมือทำก็หนักขึ้นไปอีก อย่างเช่น คิดจะทำร้ายคนอื่นก็ส่งผลลัพธ์แค่ใจชักจะไม่ดี ถ้าพูดว่าฉันจะเล่นงานแก ผลจะหนักขึ้น แต่พอลงมือทำร้ายผลจะออกมาแรงที่สุด เพราะฉะนั้น การสวดมนต์ก็เหมือนกัน ออกเสียงดีกว่า

อาตมาเคยมีประสบการณ์ตอนเรียนอยู่คณะแพทย์ ปกติจะเป็นคนค่อนข้างจะอารมณ์ดี เพราะเข้าวัดตั้งแต่มัธยมปลาย แต่มีอยู่คราวหนึ่งเพื่อนไม่รักษาคำพูด ทำให้เสียหายมาก อาตมารู้สึกโกรธเลยไปสวดมนต์ทำวัตรเช้า เสร็จแล้วเช็กใจตัวเองดู ปรากฏว่าความโกรธหายไปประมาณ ๗๐-๘๐ % แต่ยังเหลืออีกตั้ง ๒๐-๓๐ เปอร์เซ็นต์ เลยเริ่มสวดใหม่อีก ๑ รอบ เช็กใจตัวเองดู ความโกรธหายไปประมาณ ๙๕ เปอร์เซ็นต์ เหลืออีกนิดหน่อย ปรากฏว่าพอเลิกสวดมนต์ เพื่อนที่ก่อเรื่องมาขอโทษโดยชวนไปเลี้ยงข้าว ตอนนั้นยิ้มออกแล้ว เพราะหายโกรธไป ๙๕ % แล้ว ทุกอย่างก็เลยดี

เพราะฉะนั้น บ้านไหนแม่บ้านอยากให้พ่อบ้าน กลับบ้านตรงเวลาและครอบครัวสงบ อบอุ่น ร่มเย็น ลองสวดมนต์ดู มีบ้านหนึ่งพ่อบ้านเลิกงานแล้วไม่ค่อยกลับบ้าน ทำให้มีปัญหาในครอบครัว แม่บ้านเลยไปกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่าจะทำอย่างไรให้ดีขึ้น พระอาจารย์ให้พระเครื่องมาองค์หนึ่ง แล้วบอกว่า เวลาพ่อบ้านกลับบ้านให้แม่บ้านเอาพระขึ้นมาอมเลย จะมีเมตตามหานิยม แม่บ้านก็ทำตาม พอพ่อบ้านเปิดประตูรั้วปั๊บ เอาพระใส่ปากอมเลย พออมพระอยู่ในปากแล้วจะพูดไม่ถนัด ปกติแม่บ้าน บ่นจนพ่อบ้านรำคาญ เลยไม่อยากจะกลับบ้าน พอเลิกบ่นพ่อบ้านก็รู้สึกสบายใจ บรรยากาศก็ดีขึ้น นี่แค่หยุดพูดในทางไม่ดีนะ แต่ถ้าเมื่อไรรวมพลังสวดมนต์ ทำความดีทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และคุณลูกผลคือบรรยากาศในบ้านจะอบอุ่นและสงบร่มเย็น ทุกอย่างจะดีขึ้นจากพลังเสียงสวดมนต์ของทุกคนในบ้าน

สำหรับผู้ที่เริ่มสวดมนต์จะเลือกสวดบทไหนดี

ถ้าเป็นเด็ก ๆ ก็ให้สวด “อะระหัง สัมมา...” ที่เขาสวดหน้าเสาธงก่อนเข้าเรียน แล้วก็ต่อด้วย “นะโม ตัสสะ...” ถ้าขึ้นชั้นประถมปลายควรจะให้สวด “อิติปิ  โส...” ได้แล้ว  ถ้าขึ้นมัธยมแล้ว อยากให้สวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็นให้ได้ ถ้าสวดไม่เป็นให้เปิด DMC ดูก็ได้ ช่วงที่มีการสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น จะมีตัวหนังสือที่หน้าจอด้วย มีเสียงด้วย เราก็สวดไปพร้อม ๆ กันทุกวัน ไม่เกิน ๑ เดือน สวดได้ ไม่ยากเลย แล้วได้ผลดีมาก



Cr. พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ
วารสารอยู่ในบุญ  ฉบับที่ ๑๐๗  เดือนกันยายน  พ.ศ. ๒๕๕๔
มาสวดมนต์กันเถิด มาสวดมนต์กันเถิด Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 00:30 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.