ผู้ให้ที่พักอาศัยชื่อว่าให้ทุกสิ่ง




"บุคคลให้อาหารชื่อว่าให้กำลัง ให้ผ้าชื่อว่าให้วรรณะ
ให้ยานพาหนะชื่อว่าให้ความสุข ให้ประทีปโคมไฟชื่อว่าให้จักษุ
ให้ที่พักอาศัยชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้พร่ำสอนธรรม ชื่อว่าให้อมฤตธรรม"
(กินททสูตร)

เมื่อกวาดสายตามองพุทธพจน์นี้ แค่เห็นก็สะดุดใจกับคำว่า “ให้ทุกสิ่ง” พร้อมกับรู้สึกสุขใจหากจะมีโอกาสเป็นผู้ให้ทุกสิ่ง สุขตั้งแต่เริ่มคิดว่าจะให้เลยทีเดียว แต่ก่อนอื่นยังอยากทำความเข้าใจกับคำว่า “ให้ทุกสิ่ง” ให้มากกว่านี้ จึงไปสอบถามผู้รู้ ซึ่งท่านก็อธิบายให้ฟังว่า ให้ทุกสิ่งก็คือให้ทั้ง ๔ ประการ ตามพุทธพจน์ คือให้กำลัง ให้วรรณะ ให้ความสุข และให้จักษุ ทั้งนี้เพราะที่พักอาศัยเป็นสถานที่ที่รวมทุกสิ่งข้างต้นเอาไว้ คือ มนุษย์เร้าถามีที่พักอาศัย ก็จะกินอยู่หลับนอนอย่างเป็นสุข  กิจวัตรกิจกรรมต่าง ๆ ก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น  หากปราศจากที่พักอาศัย ต้องพเนจรไปตามท้องถนน ตามทุ่งนา หรือป่าเขา ก็จะต้องอดหลับอดนอน หมดเรี่ยวแรง และต้องผจญกับทุกข์ภัยนานัปการ กุศลผลบุญจากการให้ทุกสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่ผู้มีศีลมีธรรม จึงส่งผลให้ชีวิตของผู้ให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างอัศจรรย์ จากคนยากจนก็กลายเป็นมหาเศรษฐีได้ --จากสามัญชนก็กลายเป็นพระราชามหากษัตริย์ได้ --จากปุถุชนคนธรรมดาก็หมดกิเลส อาสวะกลายเป็นพระอริยเจ้าได้


ดังเรื่องราวของพระเจ้ามหากัปปินะ ผู้เคยสร้างวิหาร (ที่พักของพระภิกษุ) ถวายแด่คณะสงฆ์ ในอดีตชาติ

...ในสมัยของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า พระราชามหากัปปินะเกิดเป็นหัวหน้าช่างหูก อาศัยอยู่ในกรุงพาราณสี วันหนึ่ง หัวหน้าช่างหูกได้ยินเสียงป่าวประกาศให้ไปฟังธรรม เขาจึงชักชวนภรรยาและเพื่อนบ้านเดินทางไปฟังธรรมที่วัด แต่ยังไปไม่ทันถึงสถานที่แสดงธรรมก็มีฝนตกลงมาอย่างหนัก บรรดาผู้ไปฟังธรรมต่างพากันเข้าไปขอหลบฝนในกุฏิของพระภิกษุสามเณรที่คุ้นเคย แต่หัวหน้าช่างหูกและเพื่อนบ้านไม่กล้าเข้าไปหลบฝนในกุฏิหรือศาลาหลังไหน เพราะไม่รู้จักพระภิกษุสามเณรรูปใดเลย และไม่เคยสร้างศาลาหรือวิหารใด ๆ ไว้ในพระศาสนา จึงได้แต่ยืนกางร่มอยู่กลางแจ้งด้วยความเก้อเขิน และโดนฝนสาดเปียกปอนไปตาม ๆ กัน

แต่หัวหน้าช่างหูกเป็นคนมีปัญญาสอนตัวเองได้ เมื่อพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เขาก็รู้ว่าอะไรทำให้พวกเขาต้องมายืนตากฝนอยู่ท่ามกลางวัดเช่นนี้ เขาจึงกล่าวกับเพื่อนบ้านว่า “ที่เราต้องมายืนตากฝนอยู่อย่างนี้ เพราะเราไม่เคยทำบุญสร้างกุฏิ ศาลา หรือวิหารถวายวัดเลย เราควรร่วมมือร่วมใจกันสร้างวิหารหลังใหญ่สักหลังหนึ่ง จะได้อาศัยร่มเงาในบวรพระพุทธศาสนาเพื่อสร้างบารมีอย่างสะดวกสบาย เกิดกี่ภพกี่ชาติจะได้มีที่อยู่อาศัย มีเสนาสนะไว้สำหรับประพฤติธรรมอย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องมายืนเปียกฝนเช่นนี้อีกต่อไป”

หัวหน้าช่างหูก เพื่อน ๆ และทุกคนในครอบครัว จึงร่วมกันบริจาคทรัพย์สร้างมหาวิหารหลังใหญ่ มีเรือนยอดพันหลังเป็นบริวาร ไว้ในวัดนั้น เพื่อเป็นที่ประทับของพระบรมศาสดา โดยหัวหน้าช่างหูกบริจาค ๑,๐๐๐ กหาปณะ เพื่อน ๆ บริจาคคนละ ๕๐๐ กหาปณะ ผู้หญิงบริจาคคนละ ๒๕๐ กหาปณะ แต่ปรากฏว่าทรัพย์ไม่เพียงพอในการก่อสร้าง เพราะเป็นงานใหญ่มาก หัวหน้าช่างหูกและเพื่อน ๆ จึงทุ่มบริจาคเงินเพิ่มขึ้นจนกระทั่งการก่อสร้างสำเร็จตามประสงค์  เมื่อสร้างเสร็จก็ฉลองด้วยการถวายมหาทานแด่คณะพระภิกษุ ที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุขตลอด ๗ วัน พร้อมทั้งถวายจีวรแด่พระภิกษุ ๒๐,๐๐๐ รูป


ฝ่ายภรรยาของหัวหน้าช่างหูก นอกจากจะทำบุญทุกอย่างเหมือนคนอื่น ๆ แล้ว ยังตั้งใจจะถวายทานที่พิเศษกว่าใคร ๆ ด้วยความคิดว่า “เราจะบูชาพระศาสดาให้ยิ่งกว่าคนอื่น” นางจึงถวายผอบดอกอังกาบกับผ้าสาฎกที่มีสีเหลืองเหมือนดอกอังกาบแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วตั้งความปรารถนาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอสรีระของหม่อมฉันจงมีสีดุจดอกอังกาบนี้ และขอให้หม่อมฉันจงมีนามว่าอโนชาด้วยเถิด” พระบรมศาสดาทรงอนุโมทนาว่า “จงสำเร็จอย่างนั้นเถิด”

นับจากนั้น หัวหน้าช่างหูกและเพื่อน ๆ ก็หาโอกาสสั่งสมบุญเรื่อยมา เมื่อละโลกไปแล้ว ด้วยอานิสงส์ที่ถวายวิหารในครั้งนั้น ทำให้พวกเขาได้ไปเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์เป็นเวลานานถึงหนึ่งพุทธันดร เมื่อจุติจากอัตภาพนั้น ด้วยอานุภาพบุญเขาได้มาบังเกิดในตระกูลกษัตริย์ในกุกกุฏวดีนคร เมื่อเจริญวัยแล้วได้เป็นพระราชา มีพระนามว่า “พระเจ้ามหากัปปินะ” มีมเหสีคู่บุญที่มีผิวพรรณเหมือนดอกอังกาบ มีพระนามว่า “อโนชา” ส่วนผู้ที่เคยร่วมบุญสร้างวิหารด้วยกันก็มาเกิดเป็นข้าราชบริพาร

วันหนึ่ง พระราชามหากัปปินะได้ยินถ้อยคำอันเป็นสิริมงคลจากพ่อค้าที่เดินทางมาจากนครสาวัตถีว่า “พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว พระธรรมอุบัติขึ้นแล้ว พระสงฆ์อุบัติขึ้นแล้ว” ก็เกิดมหาปีติซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย พระราชารวมทั้งอำมาตย์อีกหนึ่งพันต่างพร้อมใจกันเดินทางไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทันที เพื่อบวชอุทิศแด่พระศาสดา

เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว พระราชาและข้าราชบริพารได้บรรลุโสดาปัตติผล แล้วทูลขอบรรพชา พระบรมศาสดาทรงเห็นว่า “บุคคลเหล่านี้ เคยถวายจีวรพันผืนแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าพันองค์ และในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป ได้ถวายจีวร ๒๐,๐๐๐ ผืน แด่พระภิกษุ ๒๐,๐๐๐ รูป จึงประทานการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา ด้วยการเหยียดพระหัตถ์ขวาแล้วตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นภิกษุมาเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด” และต่อมาเมื่อได้ฟังธรรมครั้งที่ ๒ พระมหากัปปินะและพระภิกษุที่เคยเป็นข้าราชบริพารได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา

ส่วนพระนางอโนชา เมื่อทรงทราบว่า พระราชาเสด็จออกบวช ก็ทรงปรารถนาที่จะบวชเช่นกัน จึงเดินทางไปเฝ้าพระบรมศาสดาแล้วทูลขอบวชเป็นภิกษุณี และต่อมาได้บรรลุอรหัตผล หลุดพ้นจากการร้อยรัดของกิเลสอาสวะที่ก่อให้เกิดทุกข์ทั้งปวง


อานิสงส์ของการถวายวิหารทานทำให้ผู้ถวายสมบูรณ์พร้อมในทุกสิ่งได้จริง ๆ ตามเรื่องราวในพระไตรปิฎกข้างต้น คือถึงพร้อมด้วยมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ และเป็นบุญใหญ่ที่สามารถส่งผลข้ามภพข้ามชาติตราบกระทั่งหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ เหมือนอย่างหัวหน้าช่างหูกและบริวาร  ผู้พลิกผันชีวิตจากสามัญชนกลายมาเป็นพระราชา  จากปุถุชนคนธรรมดากลายมาเป็นพระอริยเจ้า

ท่านพุทธศาสนิกชนผู้มีบุญทั้งหลาย ชีวิตมนุษย์เมื่อเทียบกับอายุของโลกใบนี้นับว่าสั้นยิ่งนัก  ไม่ต่างจากฟองคลื่นที่เกิดขึ้นแล้วสลายไปในพริบตา  แต่พวกเรามิได้กำเนิดมาเพื่อสลายตัวไปอย่างไร้ค่าดุจฟองคลื่น  เราเป็นหนึ่งในจำนวนมนุษย์อันน้อยนิดที่มีโอกาสฝากผลงานอันยิ่งใหญ่ไว้บนโลกใบนี้ ด้วยการสร้างทุกสิ่งมอบไว้เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย  อันจะก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่มวลมนุษยชาติสืบไป และจะได้ถวายวิหารทาน รองรับการสร้างบารมีของผู้มีบุญ ด้วยการสร้างกุฏิพระอันมีมงคลนามว่า อาคารพระผู้ปราบมาร พระมงคลเทพมุนี (สด  จนฺทสโร) เพื่อเป็นที่พักอาศัยของพระภิกษุหมู่ใหญ่ในพระพุทธศาสนา รวมทั้งจะได้สร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้มีบุญที่อุทิศชีวิตมาทำงานรับใช้พระศาสนา คือ อาคารคุณยาย หนึ่งไม่มีสอง (คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์  ขนนกยูง)






ผู้ให้ทุกสิ่งย่อมได้รับทุกสิ่งที่จะทำให้ชีวิตสมบูรณ์ทุกสิ่งตลอดไปทุกภพทุกชาติเป็นการตอบแทน  ผลบุญอันไม่มีประมาณนี้จะทำให้ทุกท่านมีความสุขในทุกสถาน สมบูรณ์ด้วยมนุษยสมบัติ ทิพยสมบัติ และนิพพานสมบัติ  อย่างไรก็ตาม อานิสงส์ผลบุญอันไม่มีประมาณจากการถวายวิหารทานและสร้างทุกสิ่งฝากไว้ในพระพุทธศาสนา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่พระพุทธศาสนากำลังมีภัย  ย่อมมากมายมหาศาลเกินกว่าที่ปุถุชนคนธรรมดาจะคำนวณได้  จึงขอยกบางส่วนของคำอนุโมทนาวิหารทาน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสอนุโมทนาไว้  เมื่อครั้งทรงรับอุทยานเวฬุวันเพื่อเป็นวัดแห่งแรกในครั้งพระพุทธกาลจากพระเจ้าพิมพิสารมาให้ทราบ เพื่อเป็นกำลังใจในการสร้างบารมี

“ผู้ใดละความตระหนี่ พร้อมทั้งความโลภ ถวายวิหารทานแก่เหล่าผู้มีคุณธรรม  เขาก็จะมีความสุขเหมือนถูกผู้อื่นโยนขึ้นไปอยู่บนสวรรค์”

อนุโมทนาในบุญอันยิ่งใหญ่ของทุกท่านที่มีโอกาสได้สร้างมหาทานบารมี “ให้ทุกสิ่ง” ในครั้งนี้



Cr. มาตา
วารสารอยู่ในบุญ  ฉบับที่ ๑๐๗  เดือนกันยายน  พ.ศ. ๒๕๕๔
ผู้ให้ที่พักอาศัยชื่อว่าให้ทุกสิ่ง ผู้ให้ที่พักอาศัยชื่อว่าให้ทุกสิ่ง Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 00:25 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.