กิเลสท่วมใจ อุทกภัยท่วมโลก



"ผู้มีปัญญา พึงทำเกาะที่ห้วงน้ำท่วมไม่ได้ ด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยความไม่ประมาท ด้วยความระวัง และด้วยการฝึกตน"
(พุทธพจน์)

ในปัจจุบัน อุทกภัยนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น กระแสน้ำทะลักเข้าใส่บ้านเรือนพังพินาศ ได้รับ ความเสียหายกันไปทั่ว ผู้คนไร้ที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังเกิดโศกนาฏกรรมแผ่นดินถล่มกลบมนุษย์ทั้งเป็น ภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนมีสาเหตุจากการที่ชาวโลกประพฤติผิดศีลธรรม ทั้งหลงใหลในอบายมุข ทำให้กระแสบาปทวีความรุนแรงมากขึ้น จึงส่งผลให้ธรรมชาติแปรปรวนไป จนมีนักโหราศาสตร์พยากรณ์เอาไว้ว่า ถ้าไม่รีบแก้ไข โลกอาจจะถึงกาลอวสานได้

เรื่องของโลกาพินาศ ได้มีบันทึกไว้ใน พระไตรปิฎกว่า โลกนี้จะถูกทำลายด้วยภัย ๓ อย่าง คือ ถ้ายุคสมัยใดคนมีกิเลส คือโทสะมาก จะเกิดอัคคีภัยทุกหย่อมหญ้า หากผู้คนมีราคะมาก จะเกิดอุทกภัย และถ้าคนมีโมหะมาก โลกจะเกิดวาตภัย ถูกลมพายุทำลายล้าง

ไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก

สมัยที่กัปพินาศเพราะไฟนั้น จะมีเทวดาชั้นกามาวจรที่เรียกว่า โลกพยูหะ มาให้สติมนุษย์ โดยแปลงร่างเป็นคนนุ่งผ้าแดง ปล่อยผมเผ้ารกรุงรัง ร้องไห้เช็ดน้ำตา เที่ยวเดินประกาศไปว่า "ผู้นิรทุกข์ ทั้งหลาย ล่วงไปแสนปีจากนี้จะสิ้นกัป โลกจะพินาศ แม่น้ำและมหาสมุทรจะเหือดแห้ง  มหาปฐพี ภูเขาสิเนรุจะถล่มทลายพังพินาศตลอดถึงพรหมโลก ท่านทั้งหลายจงเจริญเมตตาพรหมวิหารธรรมต่อกันเถิด จงบำรุงมารดาบิดา และเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้มีคุณธรรมเถิด"

เมื่อพวกมนุษย์และเทวดาได้ฟังข่าวที่น่าสะพรึงกลัวอย่างนี้แล้ว ก็เกิดความสลดสังเวชใจ กลับมีจิตเมตตา อ่อนน้อมต่อกัน ตั้งใจสั่งสมบุญกุศล แล้วไปบังเกิดในเทวโลก ส่วนทวยเทพในเทวโลกต่างไม่ประมาท บำเพ็ญภาวนาจนได้ฌาน แล้วก็ไปบังเกิดในพรหมโลก

เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง พระอาทิตย์ดวงที่ ๒ ก็ปรากฏขึ้น ทำให้กำหนดกลางวันกลางคืนไม่ได้ เพราะโลกสว่างตลอดทั้งวัน สัตว์โลกเริ่มล้มตายกัน น้ำในลำธารเริ่มแห้งขอด ต่อจากนั้น พระอาทิตย์ดวงที่ ๓ ปรากฏขึ้น ทำให้มหานทีแห้งไปหมด และเมื่อดวงที่ ๔ ปรากฏขึ้น สระใหญ่ ทั้ง ๗ ในป่าหิมพานต์ ซึ่งเป็นต้นแหล่งของมหานที เหือดแห้งลงไปอีก ไม่ว่าจะเป็นสระอโนดาตก็แห้งหมด

วันเวลาผ่านไปอีก พระอาทิตย์ดวงที่ ๕ ได้ปรากฏขึ้นมาอีก โลกเริ่มร้อนระอุมากขึ้น จนน้ำในมหาสมุทรไม่มีเหลืออยู่เลย ทันทีที่พระอาทิตย์ดวงที่ ๖ เกิดขึ้น ทั่วทั้งจักรวาลมีควันพวยพุ่งขึ้นมา บรรยากาศอัดแน่นไปด้วยควันมืดสนิท ครั้นดวงที่ ๗ ซึ่งเป็นดวงสุดท้ายบังเกิดขึ้น ทั่วทั้งแสนโกฏิจักรวาลมีเปลวไฟลุกโชติช่วง ภูเขาสิเนรุถูกไฟเผาไหม้ เปลวไฟลุกลามไปถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาไล่เรื่อยไปถึงสวรรค์ชั้นที่ ๖ ไหม้ต่อไปอีกจนถึงพรหมโลก ไปหยุดอยู่ที่พรหมโลกชั้นอาภัสสรา กันเลยทีเดียว



น้ำบรรลัยกัลป์

สมัยใดที่น้ำทำลายกัปให้พินาศ ฝนจะตกไม่หยุดจนน้ำท่วมโลก แล้วฝนน้ำกรดจะตกไปทั่วตลอดแสนโกฏิจักรวาล เมื่อแผ่นดินหรือภูเขาถูกน้ำกรด จะถูกกัดกินจนละลาย น้ำท่วมมีอานุภาพมากกว่าไฟไหม้ จะท่วมเรื่อยไปจนถึงพรหมโลก ชั้นปริตตาภา อัปปมาณาภา อาภัสสรา ปริตตสุภา อัปปมาณสุภา ถูกทำลายย่อยยับหมด

ลมบรรลัยกัลป์

ถ้าโลกพินาศเพราะลม จะมีอานุภาพร้ายแรงที่สุด สามารถพลิกแผ่นดินแล้วพัดให้กระจายไปในอากาศได้ ผืนแผ่นดินกว้างถึง ๑๐๐ โยชน์พังพินาศหมด แหลกละเอียดในอากาศ ลมจะหอบเอาภูเขาจักรวาล ภูเขาสิเนรุขึ้นไป แล้วซัดให้กระทบกันจนแหลกละเอียดเป็นผงธุลี แล้วยังพัดวิมานในสวรรค์ ทั้งแสนโกฏิจักรวาลให้พินาศหมด มหาวาตภัยนี้จะพัดตั้งแต่ในโลกมนุษย์ ไปจนถึงพรหมชั้นสุภกิณหา ไปหยุดอยู่ที่ชั้นเวหัปผลา เมื่อโลกถูกทำลาย และได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์แล้ว ทุกสิ่งในจักรวาลจะสลายไปสู่ธาตุเดิม ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นกัป ๆ ถึงจะเริ่มก่อตัวกันใหม่ คือเริ่มมีโลก มีพรหมลงมาเกิด มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว มีสิ่งมีชีวิต มีสัตว์ และสิ่งต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย มีต้นไม้ ภูเขาบังเกิดขึ้น



โลกยังไม่แตก

อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่าโลกเราจะถึงกาลอวสานในยุคนี้ เพราะตามหลักพุทธศาสนาแล้ว ยังเหลือช่วงเวลาอีกยาวนานเหลือเกิน เพราะโลกยังอยู่ในอันตรกัปที่ ๑๒ ซึ่งจะต้องมีการไขขึ้น-ไขลงตามกำลังการประพฤติกุศลและอกุศลของมนุษย์ อีกทั้งโลกจะถูกทำลายล้างก็ต่อเมื่อเลย ๖๔ อันตรกัปไปแล้ว ซึ่งเป็นเวลานานมาก จนไม่ต้องพูดถึงเรื่องโลกแตกกันเลย เพียงแต่ว่า ขณะนี้เราอยู่ในช่วงกัปไขลง กิเลสมนุษย์หนาขึ้นเรื่อย ๆ ทุก ๑๐๐ ปี อายุมนุษย์จะลดลง ๑ ปี อายุขัยของมนุษย์จะลดลงเรื่อยจนไปถึง ๑๐ ปี สตรีอายุ ๕ ขวบก็ตั้งครรภ์แล้ว มนุษย์เข่นฆ่ากันเอง ถึงขั้นเกิด “สัตถันตรกัป” คือมีอาวุธเกิดขึ้นในมือและทำลายล้างกันจนแทบหมดเผ่าพันธุ์กันเลยทีเดียว ส่วนผู้ที่เห็นภัยก็หลบหลีกไปอยู่ตามป่าตามเขา

เมื่อหมดสงครามจึงกลับมาเริ่มต้นประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการเหมือนเดิม ทำให้อายุเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ใหม่ จนกระทั่งอายุมนุษย์มีกำหนด ๘ หมื่นปี สตรีมีอายุ ๕๐๐ ปี จึงมีครอบครัว เวลานั้นมีความทุกข์อยู่เพียง ๓ อย่าง คือ ความหิว ความง่วง และความแก่ ผู้คนยิ่งทำความดีเพิ่มขึ้น อายุยิ่งทวีตาม จนกระทั่งมีอายุอสงไขยปี ในสมัยมนุษย์มีอายุอสงไขยปี มองเห็นความแก่ความตายได้ยาก ความเจ็บไม่มี เลยทำให้เกิดความประมาท เวียนเป็นวัฏจักรของมนุษย์ในยุคต้นกัปใหม่ เมื่อมีกิเลสเกิด อายุมนุษย์ก็เริ่มลดลงกระทั่งเหลือ ๘ หมื่นปี เมื่อนั้นพระศรีอริยเมตไตรย์จะเสด็จมาอุบัติขึ้นในโลก เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ องค์สุดท้ายในภัทรกัปนี้



วิธีป้องกันน้ำท่วม

เราจะเห็นว่า โลกจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับใจของมนุษย์นี่แหละ ถ้ามนุษย์รักษ์โลก ด้วยการประหยัดทรัพยากรโลก ไม่ตัดไม้ทำลายป่า ปลูกป่า ไม่ทำให้คลองน้ำตื้นเขิน เป็นต้น โดยเฉพาะมนุษย์ไม่ดื่มสุรา ไม่ประพฤติผิดในลูก ภรรยา หรือสามีของคนอื่น ไม่หลงใหลในอบายมุข โลกนี้ก็ยังคงสดสวย แต่ถ้ามนุษย์จิตใจขุ่นมัว ทำบาปอกุศล เห็นแก่ตัวมากเข้า ภัยพิบัติก็ย่อมลงโทษเป็นธรรมดา ตราบใดที่มนุษย์ยังประพฤติธรรม โลกก็ยังคงเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปเรื่อย ๆ ขอให้ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์โลกให้สดใส ด้วยการประพฤติธรรมในทุกรูปแบบ ทั้งทาน ศีล ภาวนา และช่วยกันทำหน้าที่กัลยาณมิตร แนะนำคนรอบข้างให้อยู่ในศีลอยู่ในธรรม นอกจากทำตัวให้รอดพ้นจากอุทกภัยแล้ว ต้องคิดต่อไปว่า ทำอย่างไรจะไม่ให้น้ำคือกิเลสท่วมทับใจของเรา ทำอย่างไรจึงจะสร้างเกราะแก้วป้องกันน้ำคือกิเลสท่วมใจเราได้  ใจคือแหล่งที่มั่นสุดท้าย ที่ควรรักษาไว้อย่าให้น้ำคือกิเลสถาโถมเข้าโจมตี ควรทำเขื่อนหรือทำนบป้องกันตัวเต็มที่ ด้วยการหมั่นทำใจให้ผ่องใส จะได้มีสุขในปัจจุบัน แม้ละโลกก็มีสุคติสวรรค์เป็นที่ไป

Cr. เรื่อง : พระมหาเสถียร  สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ.๙  
ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์
วารสารอยู่ในบุญ  ฉบับที่ ๑๐๙  เดือนพฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๕๕๔
กิเลสท่วมใจ อุทกภัยท่วมโลก กิเลสท่วมใจ  อุทกภัยท่วมโลก Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 00:22 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.