โรคซึมเศร้า เศษกรรมจากน้ำเมา



วันนี้ได้รับอาราธนาให้พูดถึงเรื่องโรคซึมเศร้า เศษกรรมจากน้ำเมา การดื่มเหล้านั้น ถ้าหากดื่มจนเมามายครองสติไม่อยู่ ทุกคนก็คงจะเห็นตรงกันว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีแน่ ๆ แต่ปัญหามีอยู่ว่า ถ้าดื่มนิดหน่อย ยังไม่เมา บางคนเห็นว่าไม่น่าจะเป็นอะไร เช่น ดื่มเพื่อเข้าสังคม เพื่อความเพลิดเพลิน และเพื่อให้นอนหลับสบาย เป็นต้น และอีกประเด็นหนึ่ง คือ เรื่องของผลที่เกิดขึ้นหลังจากสร่างเมา

คนเราจะทำอะไรก็ตาม จะต้องมีสติเป็นตัวคุม แม้มีปัญญาก็ต้องมีสติด้วย ถ้าปัญญาเกินสติ คือ สติตามไม่ทันก็จะเตลิดเปิดเปิงไป ถ้าจะเปรียบก็เหมือนเวลาเราขับรถ ถ้าหากคนขับหลับในก็มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงทีเดียว เพราะรถมีโอกาสออกข้างทาง ต้องอาศัยสติในการขับ คอยตะล่อมเข้ามา เจออะไรวิ่งตัดหน้ารถก็ต้องรีบเบรก จะไปชนคันข้าง ๆ ก็ต้องชะลอ หรือจะแซงก็ต้องเร่งไปให้พ้นรถที่สวนมา เป็นต้น คือต้องอาศัยคนขับที่มีสติเป็นคนประคองรถให้ถึงเป้าหมายปลายทางด้วยความปลอดภัย

นาวาชีวิตของเราลำนี้ก็เหมือนกัน จะเคลื่อน ไปในทิศทางใดก็แล้วแต่ จะต้องมีสติเป็นตัวคุม ถ้าเมื่อใดขาดสติ เราก็มีสิทธิ์ที่จะทำสิ่งที่ผิดพลาดได้มาก เพราะโดยธรรมชาติของคนแล้ว เรายังไม่หมดกิเลส กิเลสที่อยู่ในใจอาจจะทำให้เราทำสิ่งที่ไม่น่าทำ ที่น่าละอาย ที่จะเป็นตราบาปตลอดชีวิตหรือสิ่งที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน ทั้งของตนเองและของผู้อื่นได้อย่างมหาศาล ทั้ง ๆ ที่ในภาวะปกติเราจะไม่ทำสิ่งเหล่านั้น เพราะสติจะเป็นตัวบอกเราว่าทำไม่ได้ ขืนทำไปตัวเองจะเสียด้วย เช่น อาจจะโดนตำรวจจับ หรืออาจจะโดนคนอื่นว่า ทำให้เสียภาพลักษณ์ เสียชื่อเสียง จะเป็นบาป เป็นกรรม หรืออาจจะทำให้คนอื่นเสียหาย เป็นการขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ถ้าเรามีสติคิดได้อย่างนี้ก็จะไม่ยอมทำ

แต่ถ้าเมื่อใดเหล้าเข้าปากจนกระทั่งสติขาด เราก็จะทำในสิ่งที่ไม่ควรทำเหล่านั้น เช่น พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด หรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับคนต่างเพศ เพราะฉะนั้น เหล้า คือ ตัวทำลายสติโดยตรง เป็นเครื่องบั่นทอนการดำเนินชีวิตของเราในการไปสู่เป้าหมายปลายทางที่ถูกต้อง

แล้วถ้าหากดื่มนิดหน่อย ยังไม่เมา จะผิดด้วยหรือ? บางคนบอกว่าดื่มนิดหน่อยจะรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าเลือดลมเดินดี แต่จริง ๆ แล้วในทางการแพทย์กล่าวว่า ทันทีที่เหล้าเข้าปาก วิ่งไปตามกระแสเลือด จะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจทันที การตัดสินใจของบุคคลนั้นเริ่มช้าลง เพราะสติของเขาหย่อนลงทันที เหล้าเข้าปากเมื่อไร สติก็เริ่มพร่องเมื่อนั้น แม้เจ้าตัวจะรู้สึกว่า ตัวเองยังมีสติดีอยู่ก็ตาม เช่น ในขณะที่ขับรถยนต์อยู่ เห็นภาพว่ามีอะไรตัดหน้ารถ ในคนปกติสมองจะสั่งการจนกระทั่งเท้าเหยียบเบรกใช้เวลาไม่เกิน ๐.๗ วินาที ถ้าใครช้ากว่านี้ถือว่าเริ่มผิดปกติแล้ว ดังนั้นคนที่ดื่มเหล้า แม้ยังไม่เมา แค่มีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดถึงระดับหนึ่ง ตำรวจก็จะจับแล้ว เพราะเขารู้ว่าทันทีที่แอลกอฮอล์เข้าไปในกระแสเลือด การตัดสินใจของคนนั้นจะช้าลง แม้เจ้าตัวจะบอกว่ายังรู้ตัวดีอยู่ ยังไม่เมา แต่ถ้ามีอะไรวิ่งตัดหน้ารถ เขาจะเหยียบเบรกไม่ทัน

สมมติว่า เรามีบ่อน้ำบ่อหนึ่งอยู่หลังบ้าน เป็นบ่อน้ำแห่งสติ ถ้ามีใครเอาก้อนหินโยนลงไปในบ่อ แล้วบอกว่าหินก้อนเล็กนิดเดียวไม่เป็นไรหรอก บ่อไม่ได้ตื้นเขินขึ้นมา แต่ความจริงตื้นขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว แม้ดูเผิน ๆ เหมือนยังไม่ตื้น ยังมีน้ำอยู่มากมาย ถ้าโยนอย่างนี้บ่อย ๆ สักวันหนึ่งทั้งบ่อก็จะมีแต่หินท่วมขึ้นมา แล้วตรงนี้ก็จะไม่มีบ่อน้ำไว้ใช้อีกต่อไป

พวกเราทุกคนก็เช่นเดียวกัน ถ้าเหล้าเข้าปาก แม้ยังไม่ทันเมา สติก็เริ่มพร่องแล้ว ดังนั้นอย่าได้เข้าใจผิดเป็นอันขาดว่า ดื่มแล้วไม่เมา ไม่เป็นไร แม้หยดเดียวเข้าปากก็มีผล แต่มากน้อยไปตามส่วน แล้วยังส่งผลต่อเนื่อง เพราะว่าเราแต่ละคนมีประสบการณ์ชีวิตมากมาย ทั้งข้ามภพข้ามชาติมานับชาติไม่ถ้วน สะสมอยู่ในใจของเรา หรือแม้แต่แค่ในชาตินี้ ตั้งแต่เราเกิดมา ตอนเด็ก ๆ บางเรื่องก็เหมือนกับว่าลืมไปแล้ว แต่ความจริงแล้วเรื่องเหล่านั้นยังสั่งสมอยู่ในใจของเราเสมอ ในภาวะปกติ เราสามารถควบคุมมันอยู่ เพราะมีสติ แต่เมื่อเหล้าเข้าปากสิ่งเหล่านั้นก็จะพรั่งพรูออกมา เมื่อเป็นอย่างนี้บ่อย ๆ เข้า บางทีแม้จะสร่างเมาแล้ว สติก็หย่อนเต็มที เริ่มจะคุมไม่ค่อยอยู่ มีอาการเพ้อบ้าง บางคนบอกว่าเป็นโรคแอลกอฮอลิซึม ชักป้ำ ๆ เป๋อ ๆ จำอะไรไม่ค่อยได้ เพราะสมองสั่งการได้ไม่ดี บางคนก็มีอาการซึมเศร้า ใจไปหมกมุ่นคิดถึงเรื่องที่ทำให้เกิดความเศร้าสร้อยซึมเศร้าอยู่ทั้งวันอย่างนี้ก็มี บางคนก็ส่งผลให้เป็นอัลไซเมอร์ ขี้หลงขี้ลืม ลองไปดูคนเมา จะเห็นว่าจำอะไรไม่ค่อยได้ พูดจาอ้อแอ้ ๆ




ใครที่เกิดมาไม่ว่าจะเป็นคนปัญญาอ่อนก็ตาม เป็นเด็กออทิสติกก็ตาม หรือว่าเป็นใบ้ เป็นบ้า ส่วนใหญ่แล้วจะมีเศษกรรมมาจากเรื่องของสุรา พวกเราทุกคนอย่าไปเป็นอย่างนั้นเลย ถ้าเกิดมาแล้ว เป็นใบ้ เป็นบ้า ปัญญาอ่อน มันลำบากตัวเองขนาดไหน แล้วยังลำบากคนอื่นต้องมาดูแลอีก จะทำความดีอย่างไร ก็จำกัดไปหมด

ดังนั้น ตั้งใจรักษาศีลข้อ ๕ ให้ดี สุรายาเมา อย่าไปยุ่ง รักษาสติของเราให้แจ่มใสอยู่เสมอ แล้วเราจะใช้สังขารของเราในการทำความดีได้อย่างเต็มที่ หากยังมีเศษกรรมเก่าก็ให้ค่อย ๆ คลี่คลายให้ลดน้อยลงด้วยการตั้งใจฝึกสมาธิ ซึ่งเป็นยาแก้เศษกรรมน้ำเมาโดยเฉพาะ แล้วขณะเดียวกันกรรมใหม่อย่าไปสร้าง

บางคนบอกว่า เราไม่ได้ดื่มเหล้า แต่สามีดื่ม เพื่อนดื่ม เราแค่ไปนั่งเป็นเพื่อน หรือส่งกับแกล้มไปให้จะมีผลไหม มีเหมือนกัน บางคนเกิดมาตัวเองไม่ได้ปัญญาอ่อน แต่มีญาติพี่น้องปัญญาอ่อน ในฐานะกองเชียร์ชาตินี้เลยต้องเกิดมาเป็นพี่น้องกัน ต้องมาคอยดูแลเขา

รู้อย่างนี้แล้ว เว้นทั้งตนเอง เว้นทั้งการเชียร์คนอื่น แล้วถ้าจะให้ดีก็ช่วยหาทางยับยั้ง ห้ามคนที่เรารู้จักทุก ๆ คนให้ห่างจากน้ำเมา ห่างจากอบายมุข ให้หมั่นรักษาศีล เจริญสมาธิภาวนากันทั่วหน้า ก็จะมีความสุขทั้งภพนี้และภพหน้า จะไม่รู้จักโรคซึมเศร้ากันเลย ใบ้ บ้า ปัญญาอ่อน จะไม่มีกันแล้ว ถ้าจะมี ก็จะมีเพียงแต่อาการสดชื่นแจ่มใส และเปี่ยมด้วยความสุขตลอดไป

Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ  ฉบับที่ ๙๒  เดือนมิถุนายน  พ.ศ. ๒๕๕๓
โรคซึมเศร้า เศษกรรมจากน้ำเมา โรคซึมเศร้า เศษกรรมจากน้ำเมา Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 22:45 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.