แม่รักลูก





แม่รู้สึกขำปนเอ็นดูทุกครั้งที่ได้ยินบรรดาแม่ ๆ ตอบอย่างภาคภูมิใจเวลามีใครถามว่าลูกที่อยู่ในอ้อมแขน “อายุเท่าไร?

๑ เดือน ๓ วัน”, “๒ เดือน ๑๔ วัน” หรือ  “อีก ๒๒ วันก็จะครบ ๑ ขวบแล้วค่ะ” พวกเราที่เป็นแม่ต่างก็นับอายุลูกกันทุก ๆ วันเลยทีเดียว พร้อม ๆ กับเฝ้าดูและให้กำลังใจในพัฒนาการทุกขั้นตอนของลูก

ย้อนกลับไปวันที่เราได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรก วันนั้นแม่อยากบอกว่าแม่ดีใจมากที่เราได้มาเป็นแม่ลูกกัน แต่กว่าจะได้ลูกมาไม่ง่ายเลย แม่ต้องลำบากทุลักทุเลอุ้มท้องนานตั้งหลายเดือน ต้องระแวดระวัง มิให้อะไรมากระทบกระเทือนลูก เวลาป่วยแม่ก็ต้องเลี่ยงยาบางตัวเพราะกลัวลูกจะฟันเหลือง หรืออาจทำให้ลูกมีความพิการทางสมองได้ แถมยังต้องเจ็บปวดสาหัสกว่าจะคลอดลูกออกมาได้ สำหรับแม่ความเจ็บปวดนี้เป็นตำนานที่เล่าขานไปได้ตลอดชีวิตเลยทีเดียว นึกแล้วยังแปลกใจไม่หายว่าผ่านมาได้อย่างไร

ลูกชายคนโต | คลอดช้ากว่ากำหนด

แม่ปวดท้องอยู่หลายวัน วันแรก ๆ ยังไม่ปวดมาก แต่ไม่คลอดสักที หมอบอกว่าเด็กควรจะคลอดได้แล้ว จึงตัดสินใจฉีดยาเร่งคลอด ช้ามากจะเป็นอันตราย ยานี้เร่งการบีบรัดตัวของมดลูกทำให้แม่ปวดสาหัส แม่ปวดมากขึ้น ๆ ความเจ็บปวดทวีขึ้นเรื่อย ๆ น้ำตาของแม่หลั่งไหลต่อเนื่องเป็นสาย การปวดท้องคลอดเป็นความเจ็บปวดที่สาหัส ยิ่งตอนใกล้คลอดจะปวดมากขึ้น ๆ แค่ปวดชั่วโมงเดียวก็แย่แล้ว แต่แม่ปวดอยู่กี่วัน ลูกรู้ไหม ไม่ใช่ ๕ ชั่วโมง หรือ ๑ วัน แต่แม่ปวด ๗ วัน ทรมานที่สุดกว่าลูกจะคลอดออกมาได้




ลูกชายคนเล็ก | คลอดก่อนกำหนด แค่ ๗ เดือนครึ่ง

เมื่อท้องได้ ๗ เดือน กับอีก ๑ อาทิตย์ เลือดแม่ไหลออกมามากมาย ถ้าใครเห็นปริมาณเลือดที่หยดในบ้านโดยไม่รู้ความเป็นมา คงคิดว่าบ้านนี้มีคนถูกทำร้ายร่างกาย

ไปถึงโรงพยาบาล หมอบอกว่า “เด็กตัวเล็กมาก ยังไม่คลอดหรอก” แม่ต้องนอนเจ็บท้องอยู่ที่โรงพยาบาลอีก ๗ วัน แต่ลูกของแม่ไม่อยากอยู่ในท้องแล้ว ในวันที่ ๗ แม่อยากตามใจลูกจึงรีบคลอดลูกออกมา เย็นวันนั้นแม่ปวดท้องมากจนแทบจะทนไม่ไหว มีเสียงคนพูดกันว่า “เด็กยังไม่กลับหัว เอาไงดี” มีคนฉีดยาระงับปวดให้แม่เข็มหนึ่ง เขากลัวแม่ทนความเจ็บปวดไม่ไหว

ธรรมดาเวลาคลอดเด็กต้องเอาหัวออกมา แต่ลูกไม่ยอมกลับหัว เอาก้นออกมาก่อน เขาเรียกกันว่าคลอด “ท่าก้น”  การคลอดท่านี้อันตรายมาก ๆ และเจ็บปวดกว่าการคลอดปกติแบบที่เอาหัวออกมาก่อนมากมายนัก ยังดีที่ตอนนั้นแม่ท้องแค่ ๗ เดือนกว่า ลูกยังตัวเล็ก พวกเราเลยปลอดภัย เมื่อโตขึ้นแม่เล่าให้ลูกฟังลูกยังมีหน้ามาบอกว่า “นั่งสมาธิออกมา”

วันนั้น แม่จำได้ว่าในห้องคลอดวุ่นวายกันใหญ่ พอแม่ลืมตาขึ้นมาก็เห็นนักเรียนพยาบาลมายืนเข้าแถว ดูแม่คลอดลูกทั้งซ้ายทั้งขวาเป็นแถวยาวเหยียด เพราะนาน ๆ จะมีเคสแบบนี้ให้พวกเขาได้เรียนรู้ วันนั้นแม่ดูคล้ายวีรสตรีอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าอยู่ในสมัยที่การแพทย์ยังไม่ก้าวหน้า วีรสตรีคนนี้รวมทั้งตัวลูกอาจจะจากโลกนี้ไปพร้อม ๆ กันแล้วก็ได้ เพราะในการคลอดท่าผิดปกติ ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ วันนั้นเองที่แม่ได้ประจักษ์ถึงคำพูดที่ว่า “วันเกิดลูกนั้นคล้ายวันตายแม่”

ตอนที่มีลูกคนแรก เมื่อเรากลับมาถึงบ้าน ความโกลาหลก็เปิดฉากขึ้น ลำบากกว่าตอนที่ลูกอยู่ในท้องเสียอีก ทั้งเรื่องการกินนม กินน้ำ ฉี่ อึ อาบน้ำ ทาแป้ง และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายของลูก ซึ่งล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับแม่ แม่ได้รู้จักอะไรแปลก ๆ เพิ่มขึ้น เช่น ไกรป์วอเตอร์ มหาหิงคุ์ การจับลูกพาดบ่าให้เรอ ฯลฯ ตอนนั้นแม่ยังเจ็บแผลมาก แต่พยายามปรับตัวทำทุกอย่างให้ดีเพื่อให้ลูกมีความสุขที่สุด อะไรที่เป็นความสุขของลูกแม่ก็ทำให้ เป็นต้นว่าเอาลูกมานอนบนอกแล้วร้องเพลงให้ฟัง ทั้ง ๆ ที่เสียงแม่ไม่คล้ายนักร้องเลยสักนิด แต่ลูกแม่ก็ยิ้มอย่างมีความสุข ภาพนี้แม่ไม่เคยลืมและแม่ยังคงจำเพลงนั้นได้ เวลาฝนตกแม่ก็อุ้มลูกไปดูฝนแรกของชีวิต แม่ยังสอนอะไรให้ลูกอีกตั้งหลายอย่าง เช่น สอนให้กินน้ำส้ม กินกล้วย กินข้าวบดผสมแกงจืดตำลึง หัดให้ลูกกินผัก สอนให้รู้จักปู่ ย่า ตา ยาย และสอนให้รู้จักสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เช่น ต้นไม้ ดอกไม้ รถ เครื่องบิน หนังสือ นาฬิกา แมว นก จิ้งจก กิ้งกือ ฯลฯ

ไม่เพียงแต่แม่เท่านั้นที่สอนให้ลูกได้เรียนรู้ แต่ลูกก็สอนให้แม่ได้รู้จักกับสิ่งต่าง ๆ มากมาย เมื่อมีลูกแม่เปลี่ยนจากคนที่ไม่เคยรักเด็ก กลายเป็นคนที่มีความรักเผื่อแผ่ไปยังเด็กคนอื่น ๆ จากคนที่มีความอดทนน้อย ก็มีความอดทนมากขึ้น จากคนที่เคยท้อแท้ ก็กลายมาเป็นนักสู้ชีวิต ฯลฯ แม่ดีใจนะที่เราได้มาเป็นเพื่อนแท้ของกันและกัน ได้มาจูงมือกันเดินไปบนโลกใบนี้ และดีใจที่ลูกทำให้แม่เติบโตขึ้นในหลาย ๆ ด้าน มีความเข้าใจชีวิตมากขึ้น แม่สำนึกในสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ






ภายในเวลาไม่กี่ปี ลูกเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และมีพัฒนาการมากมาย จากเด็กตัวน้อยที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ทำได้แค่หายใจ ร้องไห้ ดิ้นไปดิ้นมา เวลาฉี่หรืออึออกมาถ้าไม่มีใครช่วยจัดการ ลูกก็ต้องนอนอยู่อย่างนั้น ลูกแม่ค่อย ๆ โตขึ้นและเก่งขึ้น คลานได้ นั่งได้ เดินได้ เรียกแม่ได้ นับเลข ๑-๓ ได้ ลูกแม่เก่งจริง ๆ ตอนนี้บ้านของเราไม่เงียบเหงาแล้วเข้าขั้นอลหม่านทีเดียว ตอนนั้นแม่เหนื่อยมาก ๆ แต่ ณ วันนี้แม่มักหวนคิดถึงวันเวลาเหล่านั้น

กว่าลูกจะโต แม้ว่าแม่จะพยายามทำให้ลูกมีความสุข แต่ยังมีบางวันที่พวกเราต้องเจอความทุกข์ร่วมกัน เช่น เมื่อความเจ็บป่วยมาเยือน มีอยู่วันหนึ่งลูก ๒ คนป่วยพร้อมกัน แม่ต้องกระโดดไปมาระหว่างเตียง ๒ เตียง ไม่ได้หลับไม่ได้นอน คอยเช็ดตัวให้ลูก คอยห่มผ้าให้ คอยระวังว่าน้ำเกลือจะไม่หยด เวลาพยาบาลมาฉีดยา เห็นลูกร้องไห้แม่ก็ร้องไห้ตาม ลูกป่วยทีไรกว่าจะหาย แม่สะบักสะบอมทั้งใจทั้งกาย

เมื่อลูกโตขึ้น แม่ยังคงพยายามจะให้สิ่งที่ดีที่สุดตามวัยของลูก ทั้งด้านวัตถุและจิตใจ วันที่ลูกโตพอที่จะเข้าโรงเรียน แม่พาลูกไปเข้าโรงเรียนอนุบาลที่เลือกแล้วว่าดีและเหมาะสมที่สุด ต่อด้วยโรงเรียนประถม ลุ้นเข้าเรียนมัธยม จนกระทั่งลูกได้เข้ามหาวิทยาลัย ค่าใช้จ่ายในครอบครัวเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว แต่แม่ก็ให้สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

วันนี้แม้ลูกของแม่เติบใหญ่แล้วและสามารถทำทุกสิ่งได้ด้วยตนเอง และอาจห่างเหินแม่ไปบ้างในบางคราวตามภาระหน้าที่ แต่ความรักความห่วงใยของแม่มิได้ลดลง กลับมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป นั่นคงเป็นเพราะ “ความรักเกิดจากสัญชาตญาณ แต่ความผูกพันเกิดจากกาลเวลา

ในขณะที่ลูกกำลังมีชีวิตที่ดีงามและมีวันเวลาในอนาคตอีกยาวไกล ตะเกียงแห่งชีวิตของแม่ก็ค่อย ๆ ริบหรี่ลง และสักวันหนึ่งจะต้องดับไปเป็นธรรมดา แต่ความรักของแม่ไม่มีวันตาย จะคงอยู่นิรันดร แม่เฝ้าคิดว่าอะไรหนอ? คือ สิ่งที่ดีที่สุดที่แม่จะมอบไว้ให้ลูกได้ ในฐานะชาวพุทธแม่สรุปว่า  บุญ คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะมอบให้คนที่เรารัก เพราะทรัพย์สินเงินทองเป็นสิ่งไม่ยั่งยืน มีแต่บุญเท่านั้นที่จะติดตามตัวลูกไปได้ และบุญใหญ่ที่สุดของลูกผู้ชาย ก็คือ บุญบวช ดังที่แม่เคยได้ยินมาว่า “ถึงแม้จะมีผู้วิเศษเก็บดอกไม้จนหมดป่าหิมพานต์ แล้วนำมาบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้ง ๑,๐๐๐ พระองค์ กระทำดังนี้ทุกวัน ผลบุญจากการบูชานั้นก็ไม่เท่าผลบุญจากการบวชเป็นพุทธบูชาในพระพุทธศาสนา” แม่จึงอยากให้ลูกได้บุญนี้ติดตัวไป






ลูกรู้ไหมว่าแม่คิดอย่างไร? สมมติว่า แม่ไม่ได้บุญอะไรเลยจากการบวชของลูก แม่ก็ยังอยากให้ลูกบวชอยู่ดี เพราะในวัฏสงสารอันยาวไกล แม่ไม่สามารถติดตามไปปกป้องคุ้มครองลูกได้ แม่อยากให้บุญบวชตามคุ้มครองลูกแม่ให้มีความสุขความเจริญตลอดไปทุกภพทุกชาติ เพราะความสุขความเจริญของลูกเป็นสิ่งที่แม่ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าลูกบวชแม่ก็จะได้บุญเช่นกัน นี่เท่ากับว่าการบวชทำให้เราแม่ลูกมีแต่ได้กับได้ คือ ได้บุญที่จะตามไปคุ้มครองพวกเราตลอดไป การบวชพระจึงเป็นสิ่งที่คุ้มค่าจริง ๆ สำหรับการเกิดมาเป็นลูกผู้ชาย เสียดายที่แม่บวชเองไม่ได้ แต่ยังโชคดีที่ลูกบวชได้ แม่เลยพลอยได้บุญไปด้วย

วันนี้...แม่ดีใจที่สุดที่ลูกแม่ทั้งคู่ได้บวชเป็นพระ ได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ตนเอง ขอให้บุญคุ้มครองปกปักรักษาให้ลูกแม่มีความสุขความเจริญตลอดไป...แม่รักลูก

จากใจลูก

โยมแม่ ...โยมแม่ไม่ใช่แค่พลอยได้บุญ แต่โยมแม่ได้บุญมหาศาล อย่างน้อยก็ได้เกาะชายผ้าเหลืองลูกขึ้นสวรรค์เหมือนที่โบราณว่าไว้

ที่พระตั้งใจบวชก็เพราะคิดว่าการบวชเป็นกุศลสูงสุดในชีวิตของลูกผู้ชาย เมื่อได้ชีวิตมาก็ควรจะใช้ให้คุ้มค่าด้วยการสั่งสมบุญที่สูงสุด และเพื่อตอบแทนบุญคุณโยมแม่ด้วย พระรับจากโยมแม่มาทั้งชีวิตแล้ว พระขอเป็นผู้ให้บ้าง แค่บวชไม่ได้เป็นการมากเกินไปสำหรับตอบแทนพระคุณโยมแม่

พระดีใจที่ได้มาเกิดเป็นลูกโยมแม่ สิ่งดี ๆ และความสุขในชีวิตของพระล้วนมีเบื้องหลังมาจากความรักความเอาใจใส่ของโยมแม่ทั้งนั้น

ก่อนหน้านี้ พระเคยฟังเรื่องราวของลูกหลาย ๆ คนที่ได้บวชแทนคุณพ่อแม่ ฟังแล้วก็ประทับใจ รู้สึกชื่นชมยินดีกับเขาเหล่านั้น แต่นั่นเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ปลื้มและมีความสุขเท่ากับที่วันนี้พระได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ด้วยตนเองแล้ว






Cr. พราวน้ำเพชร
วารสารอยู่ในบุญ  ฉบับที่ ๙๓  เดือนกรกฎาคม  พ.ศ. ๒๕๕๓
แม่รักลูก แม่รักลูก Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 00:13 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.