ยิ่งให้ ยิ่งได้
"ขุมทรัพย์คือบุญนั้น
อำนวยผลที่น่าปรารถนาทุกอย่างแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์ปรารถนานักซึ่งผลที่น่าพอใจใด
ๆ อิฐผลทั้งหมดนั้น อันบุคคลย่อมได้ด้วยบุญนิธินี้"
ทุกชีวิตต้องการความสุข ไม่ว่าจะเป็นความสุขระดับใดก็ตาม
ตลอดจนถึงความสุขที่แท้จริงอันสูงสุด ปราศจากกิเลสเข้าสู่พระนิพพาน สิ่งที่สามารถบันดาลความสุขทั้งหลายมาได้สิ่งนั้นคือบุญ
บุญเป็นเหมือนขุมทรัพย์ใหญ่ที่คอยติดตามและบันดาลให้เกิดสิ่งที่ดีงามแก่ผู้เป็นเจ้าของประดุจเงาตามตัว
ผู้มีบุญมาก ชีวิตย่อมมีอุปสรรคน้อย ตรงข้ามกับผู้ที่มีบุญน้อย ชีวิตย่อมมีอุปสรรคมาก
และยิ่งเรามีบุญมากเท่าไร หนทางที่จะบรรลุเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต คือ พระนิพพาน
ก็จะยิ่งสะดวกสบายง่ายดายยิ่งขึ้นไปเท่านั้น การสั่งสมบุญให้ได้มาก ๆ จึงเป็นความจำเป็นพื้นฐานของทุก
ๆ ชีวิต
แต่น่าเสียดาย ที่คนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้
ความเข้าใจในเรื่องโลกและชีวิตที่ถูกต้อง คนเหล่านั้นจึงประมาทมัวเมา
หวงแหนทรัพย์ไว้ ไม่ขวนขวายในการทำทานกุศล ไม่เห็นผลดีที่เกิดจากการให้
ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในทานสูตร ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้ผลแห่งการจำแนกทานเหมือนอย่างเรารู้ไซร้
สัตว์ทั้งหลาย ยังไม่ให้แล้วก็จะไม่พึงบริโภค"
การทำทานเป็นเส้นทางแห่งความสุข
เราทราบกันดีแล้วว่า "ทาน"
เป็นทางมาของบุญที่จะเกิดขึ้นในใจของผู้ให้ และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว นอกจากจะช่วยพัฒนาคุณภาพของจิตใจให้สูงขึ้น
ยังจะนำสิ่งที่ดีงาม คือ ความสุขและความสำเร็จในทุก ๆ ด้านมาสู่ชีวิตด้วย บุญนี้เองที่คอยสนับสนุน อยู่เบื้องหลัง
ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "ความมีวรรณะงาม ความมีเสียงไพเราะ
ความมีทรวดทรงดี ความมีรูปสวย ความเป็นใหญ่ ความมีบริวาร อิฐผลทั้งหมดนั้น
อันบุคคลย่อมได้ด้วยบุญนิธินี้"
สำหรับผู้มีปัญญาที่แม้จะเข้าใจถึงคุณค่าของการทำทาน
ไม่ประมาท ไม่หวงแหนทรัพย์ไว้ คือ มีปกติเป็นผู้ให้อยู่แล้ว
ก็ยังควรศึกษาถึงวิธีทำทานที่ถูกต้องตรงตามพุทธวิธีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
เพราะยิ่งเราทำได้ถูกต้องมากเท่าไร บุญที่เกิดขึ้นก็จะมากขึ้นไปด้วย
ผลของทานแต่ละประเภท
ผลของการทำทานโดยทั่วไปแล้ว
ย่อมทำให้ผู้ให้เกิดความอิ่มใจ มีความสุขสบายใจ แม้จะทำเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ก็ให้อานิสงส์แก่ผู้ทำทานนั้นได้ ที่จะไม่ให้ผลนั้นเป็นไม่มี ดังนั้น
เมื่อเราทำทานจึงมักตั้งจิตอธิษฐานขอให้ผลบุญนั้นส่งผลให้เราได้ในสิ่งที่ปรารถนา
ซึ่งนอกจากการอธิษฐานจิตกำกับแล้ว ทานบางอย่างก็ให้อานิสงส์โดยตัวของทานเอง
ครั้งหนึ่งเทวดาทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
"บุคคลให้อะไรชื่อว่าให้กำลัง ให้อะไรชื่อว่า ให้วรรณะ
ให้อะไรชื่อว่าให้ความสุข ให้อะไรชื่อว่า ให้จักษุ
และบุคคลเช่นไรชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าพระองค์ทูลถาม
ขอพระองค์ตรัสบอกด้วยเถิด" พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า "ผู้ให้อาหาร
ชื่อว่า ให้กำลัง ผู้ให้ผ้า ชื่อว่าให้วรรณะ ผู้ให้ยานพาหนะ ชื่อว่าให้ความสุข ผู้ให้ประทีปโคมไฟ
ชื่อว่าให้จักษุ ผู้ให้ที่พักอาศัย ชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนผู้ให้ ธรรมทาน
ชื่อว่าให้อมตธรรม"
ผู้ให้อาหาร
ชื่อว่าให้กำลัง
อัตภาพของคนเรานั้น
จะดำรงอยู่ได้ก็ต้องอาศัยอาหาร ขาดอาหารแล้วชีวิตไม่อาจดำรงอยู่ได้ แม้บุคคลจะมีรูปร่างใหญ่โตแข็งแรง
มีกำลังมากปานใด หากไม่ได้รับประทานอาหาร ร่างกายก็ขาดกำลัง ส่วนบุคคลผู้มีกำลังน้อย ถ้าได้รับประทานอาหารบริบูรณ์แล้ว
ย่อมมีกำลังขึ้นมาได้ ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ผู้ให้อาหาร ชื่อว่าให้กำลัง"
ผู้ให้ผ้า
ชื่อว่าให้วรรณะ
บุคคลแม้จะมีผิวพรรณดี มีรูปงามเพียงไร
หากแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สกปรก ขาดรุ่งริ่ง ย่อมไม่น่าดู ทั้งยังน่าเกลียดและถูกเหยียดหยามได้ ส่วนผู้ที่นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าที่สะอาด
เรียบร้อย ย่อมดูงาม เป็นที่ชื่นชมแก่ผู้พบเห็น ดังนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ผู้ให้ผ้า ชื่อว่าให้วรรณะ"
ผู้ให้ยานพาหนะ
ชื่อว่าให้ความสุข
บุคคลที่เดินทางไกล
บางครั้งอาจพบกับความยากลำบากจากถนนหนทางที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อบ้าง ต้องเผชิญกับแสงแดดหรือลมแรงบ้าง
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ย่อมทำให้เกิดความทุกข์ หากมีผู้ให้ยานพาหนะไว้ใช้สอย
ให้อุปกรณ์ในการเดินทาง เช่น ร่ม รองเท้า
หรือคอยถากถางหนทางให้เดินได้สะดวกยิ่งขึ้น สร้างบันไดหรือสะพานไว้ให้ ผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่าให้สิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบาย
คือ ให้ความสุข พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ผู้ให้ยานพาหนะ
ชื่อว่าให้ความสุข"
ผู้ให้ประทีปโคมไฟ
ชื่อว่าให้จักษุ
บุคคลทั้งหลาย
แม้มีดวงตาก็ไม่สามารถมองเห็นในที่มืดได้ ต่อเมื่อมีประทีปโคมไฟให้แสงสว่าง จึงสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามความปรารถนาได้
ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ผู้ให้ประทีปโคมไฟ
ชื่อว่าให้จักษุ"
ผู้ให้ที่พักอาศัย
ชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง
คนเดินทางไกลย่อมเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเสียกำลังไป
และย่อมปรารถนาที่จะเข้าสู่ที่พักอาศัย เมื่อพักผ่อนสักครู่ก็จะได้กำลังคืนมา
หรือผู้ที่ออกสู่กลางแจ้ง ต้องตากแดด ตากลม ทำให้ผิวพรรณหมองคล้ำ
เมื่อได้เข้ามาพัก ผิวพรรณจึงกลับงดงามดังเดิม ผู้ที่เดินทางผ่านแดดร้อน
ผ่านอันตรายต่าง ๆ ในระหว่างทาง เมื่อได้พักอาศัยก็จะมีความปลอดภัยสุขสบายขึ้น
หรือเดินอยู่ท่ามกลางแสงแดดร้อนจ้า นัยน์ตาย่อมพร่ามัวไม่แจ่มใส เมื่อได้พักสักครู่ ดวงตาก็ใช้การได้ดีดุจเดิม
ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ผู้ให้ที่อยู่อาศัย
ชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง"
ผู้ให้ธรรมทาน
ชื่อว่าให้อมฤตธรรม
ผู้ให้ธรรมะเป็นทาน
ได้ชื่อว่าชนะการให้ทั้งปวง เหตุเพราะว่า เมื่อบุคคลได้ฟังธรรม ย่อมเกิดความศรัทธาเลื่อมใสรู้จักว่าสิ่งใดเป็นบาป
สิ่งใดเป็นบุญ บุคคลจะละบาปได้ก็เพราะได้ฟังธรรม
จะทำบุญถวายทานได้ก็เพราะได้ฟังธรรม ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ก็จะไม่มีศรัทธา
เมื่อไม่มีศรัทธา ก็กลายเป็นมิจฉาทิฐิ แม้สิ่งของสักเล็กน้อยเพียงข้าวทัพพีหนึ่ง
ก็มิอาจจะให้ได้ จะรักษาศีลหรือจะเจริญภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ ล้วนทำไม่ได้ทั้งสิ้น
แต่จะทำได้ก็เพราะว่าได้ฟังธรรม ฟังแล้วรู้จักบุญ บาป ว่าทำอย่างนี้จะได้บุญมาก
ทำอย่างนี้จะได้มนุษย์สมบัติ ได้ทิพย์สมบัติ ได้นิพพานสมบัติ ฉะนั้น การให้ธรรมทาน
จึงชื่อว่าชนะการให้ทั้งปวง
ส่วนผู้ใดมีสติปัญญา
นำธรรมะไปสั่งสอนให้แก่ชนทั้งหลาย ผู้นั้นชื่อว่าให้น้ำอมฤตธรรม
เพราะว่าชนทั้งหลายจะสำเร็จมรรคผลนิพพานได้ ก็เพราะอาศัยการฟังพระสัทธรรม
ผู้ที่ได้ฟังธรรม ย่อมมีจิตที่ผ่องใส ยกใจของตนเองให้สูงขึ้นจากบาปกรรมทั้งหลาย มีกำลังใจทำความดีต่อไป
ส่วนผู้แสดงธรรมก็ได้ชื่อว่าให้สิ่งที่ประเสริฐ ให้เส้นทางของการสร้างความดี
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ผู้ให้ธรรมทาน
ชื่อว่าให้อมฤตธรรม"
ท่านสาธุชนทั้งหลาย...
เมื่อเราได้ให้ทานแล้ว แม้ไม่หวังสิ่งของต่าง ๆ เป็นเครื่องตอบแทนก็ตาม
แต่ทุกครั้งที่ให้ไป ย่อมจะบังเกิดเป็นบุญสะสมอยู่ในใจ
ซึ่งบุญนี้จะมีอานุภาพไปดึงดูดสิ่งดี ๆ มาให้แก่ชีวิตเรา เปรียบเหมือนดอกไม้ที่มีสีสวย
เกสรมีน้ำหวานหอม ย่อมดึงดูดหมู่ภมรผีเสื้อให้มาดูดกินน้ำหวานนั้น เราให้สิ่งใดไป สิ่งดี ๆ เหล่านั้นก็จะหวนกลับมาสู่ตัวเราไม่ช้าก็เร็ว
เพราะการทำบุญย่อมมีผลเป็นความสุขเสมอ..
ทุกครั้งที่เราทำความดี
ผลของความดีจะเกิดขึ้นที่ใจเราก่อน ทำให้ใจเราสบาย
ถ้าเราหมั่นทำความดีอย่างต่อเนื่อง ความดีจะแผ่ขยาย
มีพลังที่จะดึงดูดสิ่งที่ดีเข้ามาสู่ชีวิตของเราต่อไป ทุกครั้งที่ให้ใจเราย่อมสบายเป็นสุข
เพราะชนะความตระหนี่ เกิดความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ส่งกระแสความปรารถนาดีไปยังผู้อื่น
เมื่อผู้ให้สั่งสมการให้ ก็จะมีจิตใจดีงาม เกิดความผ่องใสภายในใจ
ผู้ที่มีจิตใจผ่องใสไม่ขุ่นมัว เศร้าหมอง เมื่อละโลกย่อมมีสุคติเป็นที่หวังได้
ดังพระพุทธพจน์ว่า
"จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่หวังได้"
Cr. เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ.
๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ. ๙
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๙๕
เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓
ยิ่งให้ ยิ่งได้
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
23:13
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: