ให้อย่างไร ให้ได้เกินควรเกินคาด
“ภิกษุทั้งหลาย
การให้ของสัตบุรุษมี ๔ ประการ คือ สัตบุรุษย่อมให้โดยเคารพ ให้โดยอ่อนน้อม ให้ด้วยมือตนเอง
ให้ของไม่เป็นเดน เห็นผลที่จะมาถึง จึงให้ทาน” (พุทธพจน์)
ความบังเอิญไม่มีในหลักของกฎแห่งกรรม เพราะมนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้
มีกรรมปรุงแต่งให้แตกต่างกัน บางคนเกิดมาหล่อ รวย สวย ฉลาด
ทำกิจการใดก็ประสบความสำเร็จเกินควรเกินคาด แต่บางคนเกิดมาจน
มีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ เป็นคนอับจนปัญญา ทำสิ่งใดก็ไม่สำเร็จ คาดการณ์สิ่งใดไว้ก็ผิดคาดทุกคราไป
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นความบังเอิญ แต่มีบุญและบาปอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น บุญ
คือ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสุขและความสำเร็จทุกอย่าง
เมื่อกล่าวถึงการให้ทาน
แต่ละคนมีจุดหมายในการให้ที่แตกต่างกันไป กิริยาอาการในขณะที่ให้ก็แตกต่างกันไป
ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเข้าใจหลักในการให้ทานมากน้อยเพียงไร
ในการให้ทานแต่ละครั้งนั้นความคิดที่เป็นเจตนาของผู้ให้
ซึ่งส่งผลไปสู่การกระทำทางกาย ทางวาจา ที่แสดงออกมาในเวลาทำทานมีความสำคัญมาก
เพราะนอกจากจะบ่งบอกถึงคุณภาพใจของผู้ให้แล้ว
ยังมีผลกระทบต่ออานิสงส์ที่จะได้รับอีกด้วย ดังนั้น เพื่อให้ได้ผลเกินควรเกินคาด
เวลาให้ก็ต้องทำให้ถูกหลักวิชชาอย่างง่าย ๆ ดังนี้
ควรให้ทานด้วยความเคารพ
นักให้ทานพันธุ์แท้นั้น
จะให้ด้วยความเคารพในทาน เคารพผู้ที่เรากำลังให้
แม้ว่าบุคคลนั้นจะเป็นคนยากจนอนาถา ก็ไม่แสดงอาการเหยียดหยาม ผู้มารับทานมีแต่ปลื้มปีติใจ
นึกว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้อนุเคราะห์คนยากไร้ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ด้วยกันทั้งนั้น การที่เขาลำบากยากจนเพราะไม่ได้ให้ทานมาก่อน
อานิสงส์ที่เราให้ทานกับคนยากจนจะได้เป็นคนจนยากตลอดไป การให้อย่างนี้ท่านเรียกว่า
สามีทานหรือทานบดี หมายถึง
ผู้เป็นใหญ่ในทานอย่างแท้จริง เพราะให้ด้วยความเคารพ ให้ด้วยความอ่อนน้อม
มีจิตใจสูงส่งดีงาม
ให้ทานด้วยความนอบน้อม
เมื่อให้ทานกับพระสงฆ์ผู้ทรงศีล
ก็ให้ด้วยความอ่อนน้อม โดยคิดว่าเป็นบุญลาภของเราที่ได้ทำทานถูกเนื้อนาบุญ
ขอให้บุญนี้หนุนส่งให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วจึงน้อมถวายท่านด้วยความนอบน้อม
สภาพใจของผู้ให้เป็นอย่างไรจะได้อานิสงส์อย่างนั้น
เราให้ทานด้วยความเคารพและอ่อนน้อม อานิสงส์นี้จะทำให้เกิดในตระกูลสูง
จะไม่ถูกดูหมิ่นดูแคลน ผู้คนให้ความเคารพ ยกย่อง เกรงใจ ใครเห็นก็เลื่อมใส
และจะเป็นผู้ที่พรั่งพร้อมไปด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
แม้ลูกน้องพวกพ้องบริวารก็อยู่ในโอวาท มีความซื่อสัตย์ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ให้ทานด้วยมือตัวเอง
นักบุญพันธุ์แท้จะให้ทานด้วยมือของตัวเอง
บางคนมีศรัทธา แต่ใช้ให้คนอื่นไปทำแทน เช่น ให้คนรับใช้ตักบาตรแทน เราเกิดมามีมือ
มีอวัยวะครบถ้วน สมบูรณ์ เมื่อมีโอกาสก็ควรให้ด้วยมือของเราเอง
บุญจะได้เกิดขึ้นในใจเราอย่างเต็มที่
ภาพของการทำบุญจะติดตาติดใจของเรามากกว่าให้คนอื่นทำแทน
บุญที่ได้จะมีพลังมากกว่าและส่งผลแรงกว่า การให้ผู้อื่นทำทานแทนทำให้กาย วาจา
ใจของเรา มีโอกาสสัมผัสบุญได้ไม่เต็มที่ เวลาจะนึกถึงบุญ ก็นึกไม่ค่อยออก
ดังนั้นเมื่อปรารภจะทำทาน ให้ทำด้วยมือของตัวเราเอง ไม่ต้องไปยืมมือคนอื่นทำบุญ
บุญจะได้ส่งผลเกินควรเกินคาด
เราจะพบกับมหัศจรรย์แห่งบุญที่เราได้ทำเอาไว้อย่างดีแล้ว
ในสมัยพุทธกาล
พระมหาโมคคัลลานะได้เหาะขึ้นไปในเทวโลก เห็นวิมานของเทพบุตรองค์หนึ่ง สว่างไสวเป็นพิเศษ
ท่านจึงสอบถามว่า “ดวงจันทร์
โคจรอยู่ในอากาศ ส่องแสงกระจ่างในท้องฟ้าที่ปราศจากเมฆฝน ฉันใด
วิมานของท่านก็เปรียบฉันนั้น ตั้งอยู่ในอากาศ ส่องรัศมีสว่างไสว ท่านบรรลุเทวฤทธิ์แล้ว
มีอานุภาพมาก ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไร จึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้
และทำไม วรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ”
เทพบุตรมีความปลื้มปีติที่พระเถระกล่าวชื่นชม
จึงตอบท่านไปว่า “สมัยที่ยังเป็นมนุษย์อยู่นั้น
มีภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดใกล้หมู่บ้าน ครั้นออกพรรษาปวารณาแล้วก็ได้เดินทางไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ระหว่างทางได้พบกับข้าพเจ้าซึ่งเป็นคนยากจน ท่านจึงถามว่าอุบาสก หมู่บ้านนี้
มีที่พอจะให้บรรพชิตพักค้างแรมบ้างไหม ข้าพเจ้า มีจิตเลื่อมใส แม้จะยากจน
แต่ไม่เข็ญใจ จึงกราบนิมนต์ให้ท่านไปพักที่กระท่อม ที่ปัดกวาดเช็ดถูอย่างดี
จากนั้นปูลาดอาสนะ จัดหาน้ำฉัน น้ำใช้ น้ำสำหรับสรงสนาน
แล้วนิมนต์ให้เข้าไปพักผ่อนด้วยความปีติใจ
“เมื่อพระเถระเข้าไปพักแล้ว
ข้าพเจ้ากับภรรยาจึงช่วยกันหาประทีปมาจุด รุ่งเช้าได้ถวายภัตตาหาร
เมื่อท่านออกเดินทาง ข้าพเจ้าถวายก้อนน้ำอ้อยเพื่อนำไปฉันระหว่างทาง
ข้าพเจ้ากับภรรยาปลื้มปีติมาก ที่ได้ต้อนรับพระผู้ประพฤติธรรมด้วยความเคารพ
ทั้งได้ถวายทานด้วยมือของตนเอง ตั้งแต่นั้นมาทุกครั้งเมื่อเห็นพระเดินทางมาแถวหมู่บ้าน
ข้าพเจ้าจะนิมนต์ท่านมาค้างแรมที่กระท่อมน้อยเป็นประจำ เมื่อละโลกแล้ว บุญจึงส่งผลให้ได้ไปบังเกิดในวิมานทองสูง
๑๒ โยชน์ ของภพดาวดึงส์ มีวิมานสว่างไสว
ได้บรรลุเทวฤทธิ์ดังที่พระคุณเจ้าได้ทอดทัศนา”
จะเห็นได้ว่า ความจนไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการไปสวรรค์ เพราะผู้ทำบุญถูกหลักวิชชานั้น
แม้ทานวัตถุที่นำมาถวายอาจจะไม่ได้มากด้วยมูลค่า แต่เมื่อต่อเติมความตั้งใจเข้าไป
น้อมถวายด้วยความเคารพ ถวายของที่สะอาด ประณีต ถวายของที่เหมาะสม
ถวายถูกเนื้อนาบุญ และทำบุญบ่อย ๆ บุญนั้นก็สามารถนำพาให้ได้ไปเสวยทิพยสมบัติอันโอฬารได้
ใคร ๆ ในโลกก็สามารถไปสวรรค์ได้ถ้ารู้หลักในการสร้างบุญ
ไม่ควรให้ของที่ใช้แล้ว
สิ่งน่ารู้ในการให้ทาน คือ
ไม่ควรให้ของที่เป็นเดนหรือให้แบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เหมือนโยนของเสียทิ้ง
ทั้งที่บางทีของที่ให้ก็เป็นของดีมีประโยชน์ แต่ถ้าให้ไปแบบทิ้งขว้าง
คุณภาพใจของผู้ให้ก็เสีย คนรับก็ใจเสีย เมื่อทั้งผู้ให้และผู้รับใจไม่ใสเสียแล้ว
ผลบุญที่ได้ก็พลอยเสียคุณภาพไปด้วย เวลาที่บุญส่งผล จะทำให้ได้รับแต่ของที่ไม่สมบูรณ์
มีตำหนิบ้าง แตกร้าวบ้าง หรือได้มาไม่นานก็มีอันจะต้องแตกทำลายไปบ้าง
เหมือนของที่ถูกทิ้งขว้าง อีกนัยหนึ่ง คือ ให้ของที่ไม่ประณีต
เวลาสมบัติเกิดก็จะได้ของที่เจือวิบัติ บางทีก็เป็นทุกขลาภที่ทำให้ร้อนใจในภายหลัง
ควรทราบอานิสงส์ของทานแล้วจึงให้
ประการสุดท้าย
ผู้ให้ต้องทราบถึงอานิสงส์ของการให้ทานแต่ละอย่าง เพื่อจะได้ยังความปลื้มปีติใจในทานบารมีเบื้องต้นต้องให้โดยเชื่อผลที่จะมีในอนาคต
บางคนให้โดยไม่แน่ใจว่าจะมีผลในอนาคต การให้แบบนี้ใจจะไม่ทุ่มเทในบุญ
กุศลก็เกิดกับใจได้ไม่เต็มที่ เหมือนเวลาที่เราทำงานอย่างมีความเชื่อมั่นในผลสำเร็จ
เราจะทุ่มเทความพอใจและความเพียรลงไปอย่างเต็มที่ ผลงานที่ออกมาก็จะดี
การทำบุญทุกอย่างล้วนมีอานิสงส์ เราหว่านพืชเช่นใด ก็จะได้ผลเช่นนั้น
เวลาจะทำบุญอะไร จึงควรให้ความสำคัญของอานิสงส์ เราจะได้ทำบุญอย่างมีชีวิตชีวาเพราะรู้ว่าผลบุญอันยิ่งใหญ่กำลังรอคอยเราอยู่
จะเห็นได้ว่า
มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้ไปบังเกิดในสวรรค์ทั้งนั้น
เพราะสวรรค์เป็นของกลางของทุกคนไม่ได้เป็นของใคร เหมือนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
ดวงดาว อากาศ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ทุกคนมีสิทธิ์ใช้ได้เหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าจะใช้สิทธิ์หรือไม่
ถ้าอยากไปสวรรค์ก็ปลูกฉันทะ ให้ละเว้นบาปอกุศลทุกชนิด หมั่นประกอบการกุศลทุกอย่าง
อันจะทำให้ใจผ่องใส เมื่อจิตผ่องใสชีวิตหลังความตายก็จะได้ไปเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์
เมื่อบุญเต็มเปี่ยมก็จะสามารถเจริญสมาธิภาวนาได้เข้าถึงธรรม หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์
แล้วได้ไปเสวยเอกันตบรมสุข ในอายตนนิพพานอันเป็นเป้าหมายสูงสุดของสรรพสัตว์ทั้งปวง
“ผู้ใดมีศีล
ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใส เชื่อกรรมและผลของกรรม ให้ทานในท่านผู้มีศีล เรากล่าวทานของผู้นั้นว่ามีผลไพบูลย์”
(พุทธพจน์)
Cr. เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต
ป.ธ.๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ. ๙
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๙๖
เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
ให้อย่างไร ให้ได้เกินควรเกินคาด
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
23:27
Rating:
Did you hear there is a 12 word sentence you can communicate to your man... that will induce deep emotions of love and instinctual attractiveness for you deep within his chest?
ตอบลบBecause hidden in these 12 words is a "secret signal" that triggers a man's instinct to love, cherish and look after you with his entire heart...
12 Words Who Fuel A Man's Love Impulse
This instinct is so hardwired into a man's brain that it will make him try better than before to love and admire you.
Matter-of-fact, fueling this influential instinct is absolutely essential to having the best ever relationship with your man that the moment you send your man one of these "Secret Signals"...
...You will instantly notice him open his mind and heart to you in a way he's never experienced before and he'll perceive you as the only woman in the universe who has ever truly fascinated him.