เคลียร์คัต ! คุณยายอาจารย์ฯ ปัดระเบิดจริงหรือไม่ ?
🔴เคลียร์คัต ! คุณยายอาจารย์ฯ ปัดระเบิดจริงหรือไม่ ?
🔴แล้วใช่หรือ ? ที่ท่านปัดระเบิดปรมาณูไปลงญี่ปุ่น
!
ผู้เขียนคิดอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเขียนบทความนี้ขึ้น เพราะคิดว่าต้องโดนกระแสการต่อต้านอีกไม่น้อย แต่เอาเถอะ! บทความนี้..ไม่ได้เขียนขึ้นเพราะอยากจะแก้ตัวหรือเถียงแทนพวกวัดพระธรรมกาย เพราะผู้เขียนไม่ได้คาดหวังว่าจะไปเปลี่ยนความคิดใครได้ ซึ่งอ่านแล้วจะไม่เชื่อก็ได้ จุดนี้ก็ต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านเอาเอง
แต่เหตุหลักที่ผู้เขียนเขียนบทความนี้ขึ้น ก็เพราะข้อมูลต่อไปนี้ยังไม่เคยมีใครอธิบายแยกประเด็นเป็นข้อๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ ผ่านโลกโซเชียลมาก่อน อีกทั้งข้อมูลที่มาจากศิษย์วัดพระธรรมกายเอง บางแหล่งก็ยังไม่ถูกต้องนัก จึงทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ไปต่างๆ นานา และที่สำคัญการเรียบเรียงเรื่องนี้ขึ้น ก็อยากให้เป็นชุดข้อมูลทางเลือกที่เก็บไว้เป็นประวัติศาสตร์แก่ผู้มาสืบค้นในภายหลัง
บทความนี้จะขอเขียนขึ้นจากความเห็นส่วนตัวและจากข้อมูลที่สั่งสมมาจากครูบาอาจารย์ ตลอดจนข้อมูลที่สอบถามมาจากผู้ที่เคยเห็นแม่ชีลอยขึ้นไปปัดระเบิดจริงๆ ในสมัยนั้น ซึ่งผู้ให้ข้อมูลท่านนี้..ก็ได้เรียนถามเรื่องนี้จากปากคุณยายอาจารย์ฯ โดยตรง !
ปัจจุบันมีข้อมูลด้านลบมากมายในโลกออนไลน์ที่สงสัยเรื่องการปัดระเบิดของ คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกลายเป็นประเด็นล้อเลียน ดูถูก ดูแคลนในวิชชาธรรมกาย แม้ปัจจุบันก็ยังมีคนมาเหน็บแนมอย่างไม่จบสิ้นว่า...
“ใช้แรงกี่นิวตันในการปัดวะ !”
“ถ้าปัดได้จริง ทำไมไม่ปัดออกนอกจักรวาลไปเลย ทำไมปัดไปญี่ปุ่น ทำให้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก !!!”
“แม่ชีเหาะขึ้นไปปัดได้หรือ ? หลอกลวงชัดๆ”
“ไม่สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ เพราะอเมริกาไม่ได้มีเจตนาเอาระเบิดปรมาณูมาทิ้งที่ไทยตั้งแต่แรก”
ก่อนจะตอบประเด็นการวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้ จะขอเท้าความถึงเรื่องราวในสมัยนั้นก่อน...
🔴สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หรือหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่านทำอะไร ?
ในช่วงที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด กองกำลังทหารญี่ปุ่นได้เข้ามายังประเทศไทย ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการใช้ไทยเป็นฐานทัพในการสู้รบ เพื่อบุกยึดพม่าและอินเดีย และใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางคมนาคมในการลำเลียงอาวุธ ไพร่พลและเสบียง
ดังนั้น กองกำลังทหารสหรัฐฯ
จึงนำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดเพื่อบุกโจมตีและตัดเส้นทางคมนาคมของญี่ปุ่น
ตามจุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ เช่น
สะพานข้ามกรุงเทพฯ-ธนบุรี ประตูน้ำอ่างทอง ประตูน้ำบางยาง ประตูน้ำบางนกแขวก รวมทั้งคลองภาษีเจริญซึ่งอยู่ใกล้กับวัดปากน้ำ ซึ่งในช่วงที่บ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟนี้เอง
หลวงปู่ท่านก็ได้ใช้วิชชาสมาธิขั้นสูง (วิชชาธรรมกาย) แก้ไขเหตุการณ์บ้านเมือง เพื่อให้สงครามยุติโดยเร็ว
ท่านคุมทีมงานนั่งสมาธิตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีทั้งพระและแม่ชีจำนวนมากนั่งผลัดกันเป็นกะ
การทำแบบนี้เรียกว่า “การทำวิชชา” ซึ่งหลวงปู่ท่านถึงกับพูดว่า “จะไม่ยอมหนีไปไหน และถ้าวัดปากน้ำหรือประตูน้ำภาษีเจริญถูกระเบิดลง
ก็จะยอมตาย...”
หลังจากที่หลวงปู่ท่านลั่นวาจาอย่างนี้
ไม่ว่ากองกำลังทหารสหรัฐฯ จะบุกเอาเครื่องบินมาทิ้งระเบิดมากสักเท่าไหร่
ก็มักจะพลาดเป้าหมายแทบทุกครั้ง อีกทั้งชาวบ้านยังพูดกันหนาหูว่า “วัดปากน้ำเป็นที่ที่ปลอดภัยจากระเบิดมากที่สุด”
เพราะหลวงปู่ท่านไม่ยอมให้ระเบิดลงที่วัดหรอก
ด้วยเหตุนี้...จึงทำให้ชาวบ้านและทหารกรมแผนที่แห่กันมาหลบภัยที่ตึกขาวในวัดปากน้ำ (ปัจจุบันคือหอเจริญวิปัสสนา)
🔴หลวงปู่สั่งให้ทีมงานทำวิชชาปัดระเบิดจริงหรือ การจัดการกับระเบิดมีทั้งหมดกี่วิธีกันแน่?
การใช้วิชชาธรรมกายของทีมงานหลวงปู่วัดปากน้ำเพื่อช่วยเหลือทุกข์ภัยมนุษย์ในสงครามโลกในสมัยนั้น
ท่านใช้หลายวิธีมากๆ เช่น
ถ้าเป็นระเบิดธรรมดา ๆ ที่ไม่ใช่ระเบิดปรมาณู ท่านจะใช้วิธีที่ทำให้ทหารผู้บินมาทิ้งระเบิดเห็นเมืองเป็นป่าบ้าง..เป็นน้ำบ้าง และเห็นแม่น้ำเป็นบ้านเป็นเมืองแทน จนทำให้ทหารที่มาทิ้งระเบิดเข้าใจผิด ทิ้งไม่โดนเป้าหมายสักที
นอกจากการเนรมิตเมืองให้เห็นเป็นป่าและเป็นน้ำแล้ว ก็ยังมีอีกหลายวิธี เช่น วิธีเนรมิตกายขึ้นไปจัดการกับระเบิดธรรมดา ๆ (ที่ไม่ใช่ระเบิดปรมาณู) ซึ่งการเนรมิตกาย ก็ทำให้มีคนจำนวนหนึ่งเห็นไปต่าง ๆ นานา เห็นไม่เหมือนกัน เช่น เห็นเป็นร่างแม่ชีลอยขึ้นไปปัดระเบิดบนฟ้าบ้าง เห็นลอยอยู่เฉย ๆ บ้าง
จนวันรุ่งขึ้นเรื่องนี้ถึงกับถูกเอามาลงหนังสือพิมพ์ และนับจากนั้นคำพูดที่ว่า “แม่ชีปัดระเบิด” ก็แพร่สะพัดออกไปโดยเร็ว โดยมีน้อยคนนักที่จะรู้ว่า แท้จริงแล้ว..ทีมนั่งสมาธิทำวิชชาใช้วิธีการใดในการจัดการกับระเบิดบ้าง !
แต่หลักฐานที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ผู้เขียนได้คุยกับพยานบุคคลตัวเป็นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ในสมัยนั้น ซึ่งตอนนั้นท่านมีอายุราว 5-6 ขวบ ซึ่งก็คือ คุณยงยุทธ ดิลกเจริญ ปัจจุบันท่านอายุ 83 ปี และบวชเป็นพระ (พระยงยุทธ อภิวฒฺโฑ) ซึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า...
ในสมัยนั้น
ตอนเครื่องบินจะมาทิ้งระเบิด จะมีเสียงหวอเตือนภัยดังมาก
จากเดิมที่ผู้คนเคยวิ่งหนีหลบลูกระเบิดกันอลหม่าน แต่ตอนหลังมันทิ้งไม่ค่อยโดน จึงกลายเป็นความชาชินจนผู้คนไม่ค่อยจะใส่ใจกับการหลบภัยสักเท่าไหร่
ท่านเล่าว่า บ้านของท่านเป็นห้องแถว
มีดาดฟ้าที่เรียงรายติด ๆ กัน ท่านจึงปีนขึ้นไปดูเขาทิ้งระเบิด และระหว่างที่ชาวบ้านแถวนั้นเงยหน้ามองท้องฟ้า
ก็มีเสียงตะโกนดัง ๆ ออกมาจากกลุ่มผู้ใหญ่ว่า..เฮ้ย ๆ นั่นอะไรน่ะ
ดูสิคนใส่ชุดขาว ๆ ลอยอยู่บนฟ้าน่ะ อย่างกับแม่ชีน่ะ!!!
ท่านจึงเงยหน้ามองตามทันที แล้วก็เห็นเป็นแม่ชีลอยอยู่บนฟ้าจริง ๆ มีลักษณะโปร่งแสง แสงผ่านได้บางส่วน ลอยนิ่ง ๆ ใกล้ ๆ กับเครื่องบินรบที่กำลังเคลื่อนเข้ามา 2-3 ลำ
อีกทั้ง..ยายผิน แม่ครัวที่อาศัยอยู่ในบ้านของท่าน ผู้ชอบไปทำบุญที่วัดปากน้ำอยู่เป็นประจำ ก็ชอบพูดว่า “หลวงพ่อวัดปากน้ำกับพวกที่นั่งสมาธิเขาปัดลูกระเบิดกัน ต่อให้ทิ้งกันยังไงก็ไม่มีวันโดนหรอก.. ไม่มีวันโดน..”
ต่อมาภายหลัง เมื่อท่านโตขึ้น
และได้เข้าวัดพระธรรมกาย จึงได้ไปเรียนถามคุณยายอาจารย์ฯ ด้วยตัวท่านเองว่า “คุณยายครับ..ทำไมเครื่องบินที่ทิ้งระเบิดลงมาถึงไม่โดนที่สำคัญ
กลับลงทุ่งลงน้ำล่ะครับ ?”
คุณยายอาจารย์ฯ
ตอบว่า “อ้าวคุณ..เวลาที่เครื่องบินมันทิ้งระเบิด
ยายเข้าที่อยู่กับหลวงพ่อวัดปากน้ำ หลวงพ่อท่านสั่งให้ยายจัดการ ยายก็เนรมิตเมืองให้เป็นป่า..
เป็นแม่น้ำ เนรมิตแม่น้ำให้เป็นบ้านเมือง เท่านี้ทิ้งเท่าไหร่ ก็ทิ้งไม่ถูก”
ทีมงานทำวิชชาทุกท่านและคุณยายอาจารย์ฯ ท่านไม่มีวัตถุประสงค์จะให้ใครเห็นหรือคิดอยากทำปาฏิหาริย์ให้ใครเห็นเลย
เพราะถ้าตั้งใจทำให้เห็นจริงๆ ก็ต้องเห็นกันหมดทุกคนแล้ว แต่การที่มีแค่คนจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่เห็น
ก็ถือเป็นบุญบันดาลหรือเป็นบุญตาของพวกเขาเหล่านั้นเอง
ซึ่งเขาอาจเคยทำบุญแล้วอธิษฐานให้เห็นในสิ่งเหนือธรรมชาติและเป็นอจินไตยก็ได้ใครจะไปรู้
ที่สำคัญ...ทีมงานทำวิชชาของหลวงปู่ทุกท่านก็มีวัตถุประสงค์เดียวเท่านั้น
คือ ทำให้ทุกชีวิตปลอดภัยมากที่สุด
🔴เป็นไปได้หรือ..ที่แม่ชีจะเนรมิตกายขึ้นไปบนท้องฟ้าได้จริงๆ ?
จากที่เคยอ่านพระไตรปิฎกมา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัยที่ผู้ทรงอภิญญาจะทำได้ ซึ่งกรณีนี้ก็คล้ายๆ กับ เรื่องของพระจูฬปันถก ที่หลังจากบรรลุธรรมแล้ว ท่านสามารถใช้ฤทธิ์เนรมิตกายได้ 1,000 กายและแต่ละกายนั้น อยู่ในอิริยาบถที่แตกต่างกัน ซึ่งท่านเป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านผู้เนรมิตกายอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ทางใจ (มโนมยิทธิ)
ลองศึกษาเพิ่มเติมในพระไตรปิฎก เล่มที่ 26
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 18 ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา
จูฬปันถกเถรคาถา และในอรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทสกนิบาต จูฬปันถกเถรคาถา
ฉะนั้น การเนรมิตกายได้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ฝึกสมาธิมาดีอย่างหลวงปู่วัดปากน้ำและทีมงานทำวิชชาของท่าน อีกทั้งในสมัยนั้นก็มีพยานยืนยันมากมายในอานุภาพต่าง ๆ ของวิชชาธรรมกาย
ที่สำคัญ...ก็มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชัดเจนว่าคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์
ขนนกยูง ท่านมีชื่อเสียงทางด้านวิชชาสมาธิมาก ซึ่งมีบันทึกไว้ใน นิตยสารวิปัสสนาบันเทิงสาร และยังมีหลักฐานยืนยันใน หนังสือเรื่องธรรมะกับสงคราม
เล่ม 1 โดยคุณแฉล้ม อุศุภรัตน์ ซึ่งมีชื่อคุณยายอาจารย์ฯ
ในฐานะเป็นครูสอนวิชชาธรรมกาย อีกทั้งยังมีหนังสือสุทธิแม่ชี ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
ท่านบวชชีและทำวิชชาอยู่กับหลวงปู่วัดปากน้ำจริง
เรื่องของคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง (แม่อาจารย์ลูกจันทร์) ที่ลงในวิปัสสนาบันเทิงสาร |
หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า คุณยายอาจารย์เป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชชาธรรมกาย ตั้งแต่สมัยหลวงปู่วัดปากน้ำ จนได้ลงในหนังสือเรื่องธรรมะกับสงคราม |
หนังสือสุทธิแม่ชี ของคุณยายอาจารย์ ที่เป็นหลักฐานชัดเจนว่า ท่านบวชและได้ศึกษาธรรมะกับหลวงปู่วัดปากน้ำจริง |
🔴ใช้วิธีการใด..จัดการกับระเบิดปรมาณู?
เหาะขึ้นไปปัดหรือ ?
ก่อนตอบจะขอเล่าถึงบรรยากาศการทำวิชชาของหลวงปู่ ช่วงก่อนที่สหรัฐฯ
จะคิดค้นระเบิดปรมาณูสำเร็จ จนถึงช่วงที่ทิ้งระเบิดเสร็จแล้วแบบเป็นลำดับขั้น
ตรงนี้จึงอยากให้ค่อยๆ อ่านอย่างตั้งใจ และค่อย ๆ คิดตาม
เพื่อจะได้ลำดับเหตุการณ์ได้ถูกต้อง และจะได้ไม่หลงเข้าใจอะไรผิดไป!!!
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลวงปู่วัดปากน้ำท่านเลือกให้คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์
ขนนกยูง เป็นหัวหน้าเวรการทำวิชชากะดึก ซึ่งมีวันหนึ่ง
หลวงปู่ท่านได้ถามพวกทำวิชชาว่า “เครื่องบินข้าศึกจะมากี่โมง..?” คุณยายอาจารย์ฯ ท่านตอบว่า “ตี 1 เจ้าค่ะ...” และพอถึงตี 1 สัญญาณเตือนภัยระเบิดก็ดังจริง ๆ
ตรงนี้..เป็นความอัศจรรย์ของวิชชาธรรมกายมาก
ๆ เพราะพวกทหารอเมริกันก็ไม่ได้มาบอกอะไรคุณยายอาจารย์ฯ
ถึงกำหนดการในการทิ้งระเบิดเลย แต่คุณยายอาจารย์ฯ กลับรู้เวลาในการทิ้งระเบิดที่แน่นอน
!!!
ขณะที่สงครามกำลังดุเดือดอยู่นั้น
หลวงปู่ท่านก็ถามคุณยายอาจารย์ฯว่า “เยอรมันแพ้หรือชนะวะ..?” ซึ่งคุณยายอาจารย์ท่านก็ดูในสมาธิแล้วตอบว่า “แพ้เจ้าค่ะ” และสุดท้าย..เยอรมันก็แพ้สงครามจริง
ๆ ในวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2488
ตรงนี้ก็แปลกอีก..เพราะขณะที่เกิดการสู้รบห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด
ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่า ฝ่ายใดจะชนะ แต่คุณยายอาจารย์ฯ
ก็สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่า เยอรมันจะต้องแพ้แน่ ๆ!!!
ก่อนที่หลวงปู่ท่านจะถามคำถามทีมงานที่ทำวิชชานั้น หลวงปู่ท่านจะเห็นและรู้คำตอบอย่างแจ่มแจ้งในสิ่งนั้นอยู่ก่อนแล้ว
แต่เนื่องจากท่านต้องการตรวจสอบญาณทัสนะลูกศิษย์ อีกทั้งยังเป็นการปรับญาณทัสนะของทุกคนให้ตรงกัน...
จากนั้น หลวงปู่ท่านก็ค้นต่อจนเห็นในสมาธิว่า มีระเบิดประหลาดที่ไม่เคยมีมาก่อน
อีกทั้งยังแตกต่างกับระเบิดลูกอื่นที่ใช้ในสงคราม (ซึ่งก็คือ ระเบิดปรมาณู)
จึงทำให้หลวงปู่ถามคุณยายอาจารย์ว่า “ถ้าลูกนี้มาลงจะเป็นยังไงวะ..??”
ซึ่งคุณยายอาจารย์ฯ ท่านก็เข้าที่แล้วตอบว่า “ถ้าลงที่เมืองไทย ก็จะราบเป็นหน้ากลอง
ไม่เหลืออะไรเลยเจ้าค่ะ..!!!”
พอถึงตรงนี้ก็ทำให้รู้สึกประหลาดใจหนักเข้าไปอีกว่า หลวงปู่กับคุณยายอาจารย์ฯ และทีมทำวิชชารู้เรื่องระเบิดลูกนี้ได้อย่างไร ในเมื่อสหรัฐอเมริกาเร่งทำโครงการพัฒนาระเบิดปรมาณูอย่างลับ ๆ เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ อีกทั้งระเบิดปรมาณูลูกแรกก็ยังไม่เคยทดลองทิ้งที่ใดเลย แต่ด้วยอานุภาพของวิชชาธรรมกาย กลับทำให้สามารถเห็นถึงอำนาจการทำลายล้างอันมหาศาลของระเบิดปรมาณูได้อย่างเหลือเชื่อ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เกิดการระเบิดขึ้น..!!!
ในช่วงนั้น หลวงปู่ก็ได้คุมทีมงานทำวิชชา ป้องกันประเทศไทยไว้ก่อน
โดยให้ไปดับที่ความคิด คือ ถ้าสหรัฐฯ ทำระเบิดปรมาณูสำเร็จแล้ว ก็อย่าให้มีความคิดว่าจะมาลองทิ้งที่เมืองไทยเลยแม้แต่นิดเดียว!!!
จากข้อมูลตรงนี้ จะเห็นคำตอบชัดเจนว่า ระเบิดปรมาณูนี้ คุณยายท่านไม่ได้เหาะขึ้นไปปัด
ไม่ได้ใช้แรงกี่นิวตันอะไรทั้งนั้น แต่ไปดับที่ความคิด (กรุณาอ่านซ้ำ)
ภายหลังจากที่เยอรมันประกาศแพ้สงครามแล้ว สหรัฐฯ
ก็คิดค้นระเบิดปรมาณูได้สำเร็จในเวลาต่อมา
ซึ่งช่วงนั้น..เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก ๆ
และกำลังจะแพ้สงครามอยู่แล้ว ถ้าสหรัฐฯ ไม่เอาระเบิดปรมาณูไปทิ้งที่ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นก็ต้องแพ้สงครามอยู่ดี แต่สหรัฐฯ ก็ตัดสินใจเลือกเป้าหมายในการทิ้งระเบิดไว้เกือบ 20
แห่ง และสุดท้ายก็ตัดตัวเลือกออกจนเหลืออยู่ 2 แห่ง คือ เมืองฮิโรชิมากับนางาซากิ จนเป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตที่ฮิโรชิมา
140,000 คน และที่นางาซากิ 80,000 คน ซึ่งตายในเวลาต่อมามากถึง
2 ล้านคน (ฉะนั้น..การที่ระเบิดปรมาณูลงญี่ปุ่น
ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณยายอาจารย์ฯ)
🔴การไปดับที่ความคิด คืออะไร มีด้วยหรือ?
ถ้าใช้คำว่า ไปดับที่ความคิดหรือไปดับที่เหตุ ซึ่งเป็นภาษาของทีมทำวิชชาเขาใช้กัน ก็อาจจะเข้าใจยากสักนิด แต่ถ้าเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คล้าย ๆ กับการทำให้ลืม หรือไม่ให้คิดถึงเรื่องนั้นเลย ซึ่งผู้ทรงอภิญญาสามารถใช้ฤทธิ์ในการทำแบบนี้ได้ อย่างเช่น กรณีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้พุทธานุภาพทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลลืมเรื่องที่จะไปถามพระพุทธองค์ว่า พระนางมัลลิกาสิ้นพระชนม์แล้วไปเกิดที่ไหนตลอด 7 วัน ทั้งๆ ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลมีความตั้งใจอย่างมากที่จะไปทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่องนี้ให้จงได้ ศึกษาเพิ่มเติมได้ในอรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ชราวรรคที่ 11 เรื่องพระนางมัลลิกาเทวี
🔴ถ้าแน่จริง..ทำไมไม่ปัดระเบิดปรมาณูออกนอกจักรวาลไปเลย
?
การจัดการกับระเบิดปรมาณู ไม่ได้ใช้วิธีการปัดนะ
ขอย้ำอีกที
..ไม่ว่าจะกรณีสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือกรณีไหน
ๆ ที่เป็นภัยต่อมนุษย์ ถ้าสมมุติว่าเรากลายเป็นผู้มีฤทธิ์สักคน ถ้าคิดจะช่วย
ก็คงอยากจะช่วยให้ดีที่สุด ไม่ให้สงครามเกิดกับโลกมนุษย์เลย อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราก็เช่นกัน
ใจจริง..พระองค์ก็คงอยากจะโปรดสัตว์โลกทุกคน ทุกชีวิต ให้หมดกิเลสบรรลุธรรมหมดทั้งจักรวาล
ทั้งอนันตจักรวาลนั่นแหละ แต่พระองค์ก็ทำได้ระดับหนึ่งตามบารมีที่สั่งสมมา
หลวงปู่วัดปากน้ำก็เช่นกัน ท่านและทีมงานทำวิชชาก็อยากจะทำได้มากกว่านั้น
แต่ตอนนั้น..อยู่ในช่วงที่หลวงปู่กำลังรวบรวมทีมทำวิชชาอยู่ คือ ทีมงานทำวิชชายังมีอยู่น้อย
มีปริมาณไม่มากพอที่จะทำวิชชาให้ชนะเขา ก็เลยทำให้การทำวิชชาแก้ไขเรื่องภัยสงครามทำไปได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น
จุดนี้..ไม่น่าใช่เรื่องยากต่อการทำความเข้าใจนะ...
1. คุณยายไม่ได้ปัดระเบิดปรมาณูไปลงญี่ปุ่น
แต่ท่านเป็นหนึ่งในทีมงานทำวิชชาที่ช่วยหลวงปู่ไปดับที่ความคิด
เพื่อป้องกันประเทศไทยไว้ตั้งแต่แรกที่เห็นอานุภาพการทำลายล้างอันน่ากลัวของระเบิดปรมาณูในสมาธิ
2. การช่วยทุกข์ภัยเรื่องสงคราม
ทีมงานหลวงปู่ใช้หลายวิธีในการจัดการกับระเบิดธรรมดา ๆ ที่มาทิ้งที่เมืองไทย เช่น
การเนรมิตป่าเป็นเมือง เนรมิตเมืองเป็นป่า เป็นน้ำ และใช้วิธีเนรมิตกายขึ้นไปจัดการ
และใช้อีกหลายวิธีการ...
3.จะมากล่าวหาว่า คนวัดพระธรรมกายหลอกลวง อวดอุตริฯ ไม่ได้ เพราะที่มาของคำพูดที่ว่า “แม่ชีปัดระเบิด” จุดเริ่มต้นไม่ได้เกิดจากการที่คนวัดพระธรรมกายนำมาพูดคนแรกนะ แต่เกิดจากหลายเหตุการณ์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วคนวัดพระธรรมกายค่อยเอาข้อมูลนี้มาเล่าอีกที ซึ่งแท้จริงแล้ว คำพูดที่ว่า “แม่ชีปัดระเบิด” เกิดจาก...
3.1 การที่หนังสือพิมพ์ในสมัยนั้นเอามาลง
3.2 เกิดจากข้อมูลในนิตยสารวิปัสสนาบันเทิงสาร
3.3 เกิดจากชาวบ้านบางคนในสมัยนั้น เห็นภาพแม่ชีลอยอยู่บนท้องฟ้า แล้วพูดต่อ ๆ กันว่า “แม่ชีปัดระเบิด” ซึ่งบางคนก็เห็นเป็นแม่ชีลอยอยู่ในลักษณะอื่น ๆ ด้วย โดยภาพที่เห็นจะแตกต่างกันออกไป คล้ายเรื่องพระจูฬปันถก ที่ได้อธิบายไว้ข้างต้นแล้ว
ด้วยเหตุนี้ คำพูดที่ว่า “แม่ชีปัดระเบิด” จึงกลายเป็นคำที่พูดติดปากมาเรื่อย ๆ จนถึงสมัยนี้ ทั้งที่แท้จริงแล้ว คุณยายอาจารย์ฯ ไม่ได้ปัดระเบิดปรมาณูไปลงญี่ปุ่น ส่วนระเบิดธรรมดา ก็ใช้วิธีการเนรมิตป่าเป็นเมือง เนรมิตเมืองเป็นป่า เป็นน้ำ ไม่ได้เหาะเอามือขึ้นไปปัดเหมือนตีแบดมินตันอย่างที่หลายคนเข้าใจ
จากข้อมูลทั้งหมด อ่านแล้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ต้องเป็นวิจารณญาณของผู้อ่านเอง
แต่สำหรับความเห็นของผู้เขียนแล้ว
รู้สึกว่า..ถ้าเรามัวมานั่งเถียงหรือทะเลาะกันเรื่องประเด็นแบบนี้ ถือเป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์น้อยมากๆ
อีกทั้งเมื่อเถียงกันแล้ว ก็ไม่มีใครเปลี่ยนความคิดของอีกฝั่งหนึ่งได้
เพราะขนาดเรื่องพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์จนกลายเป็นคัมภีร์อภิธรรมในทุกวันนี้
หรือหลวงปู่แหวนเหาะได้และมีนักบินเห็น
ปัจจุบันก็ยังมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อซึ่งก็ยังถกเถียงกันอยู่เลย
ฉะนั้น การจะเชื่อหรือปฏิเสธเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อได้ไปรู้ไปเห็นด้วยตัวเองเท่านั้น ซึ่งก็ต้องอาศัยการปฏิบัติสมาธิเพื่อให้รู้แจ้งด้วยตนเองถึงจะดีที่สุด...
Cr : ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ
หนังสือพิมพ์ต่างชาติลงเรื่องหลวงปู่แหวนเหาะได้ จนมีนักบินเห็น |
#ปัดระเบิดปรมาณู #แม่ชีปัดระเบิด #ธรรมกาย #ปัดระเบิด #ปัดระเบิดไปลงญี่ปุ่น #เคลียร์ข่าววัด #สำนักสื่อธรรมะ #ปรมาณู #คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ #คุณยายจันทร์ #แม่ชีจันทร์ #ญี่ปุ่น #ลงญี่ปุ่น
ไม่มีความคิดเห็น: