ครั้งหนึ่งในชีวิต.. เราต้องเป็นประธานกองกฐินให้ได้
บางคนบอกว่า..
‘ขอให้มีเงินเถิด
จะทอดกฐินเมื่อไรก็ทอดได้’
อีกทั้งยังบอกต่อว่า..
‘เรารวยและมีศรัทธาจะกลัวอะไร
ถ้าเราเตรียมปัจจัยและผ้าไตรไว้ให้มาก
ๆ
อย่างไรที่วัดเขาก็ต้องรับเราเป็นประธานกองกฐินอยู่ดี’
แต่เชื่อไหม?...ความคิดเช่นนี้ถือเป็นความเข้าใจที่ผิดมาก!!!
เนื่องจากการทำบุญทอดกฐินมี ข้อจำกัดหลายประการ
ไม่ได้ทำกันได้ง่าย ๆ อีกทั้งยังเป็นบุญที่ไม่สามารถทำได้ทุกวัน หรือไม่ใช่นึกอยากจะทอดกฐินวันไหนก็ทำได้
เนื่องจากวัดหนึ่งสามารถรับกฐินได้แค่ปีละครั้งเท่านั้น
นอกเหนือจากนี้..
ถ้าวัดนั้นมีพระอยู่น้อยกว่า ๕ รูป หรือมีครบ ๕ รูป แต่รูปใดรูปหนึ่งจำพรรษาไม่ครบไตรมาส
วัดนั้นก็หมดสิทธิ์รับกฐิน ดังนั้นจะเห็นว่า
ทุกวัด ไม่สามารถจะรับกฐินได้ง่าย ๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจ
แค่ข้อจำกัดเบื้องต้นเพียงเท่านี้ก็พบว่า การทำบุญทอดกฐินเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นยาก
เพราะต่อให้เรามีปัจจัยหรือมีศรัทธามากขนาดไหนก็ตาม
ถ้าการทำบุญไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่มีอยู่ถึง ๗ ประการ ของการทอดกฐิน ก็จะไม่ถือเป็นการทอดกฐิน
เพราะหากทำ ผู้ทำก็จะไม่ได้อานิสงส์กฐินเลย อีกทั้งพระภิกษุสงฆ์ในวัดนั้นก็จะไม่ได้อานิสงส์กฐินเช่นกัน
เพราะการทำบุญที่ไม่เป็นไปตามข้อจำกัดของการทอดกฐิน จะถือเป็นการทำบุญอย่างอื่น
เช่น บุญถวายสังฆทาน บุญทอดผ้าป่า ซึ่งจะได้อานิสงส์ตามประเภทของบุญนั้น ๆ แทน
เนื่องจากการทอดกฐินเกิดได้ยากอย่างนี้
ในโบราณกาลจึงนิยมทอดกฐิน เพราะความยากจึงทำให้การทอดกฐินกลายเป็นบุญพิเศษ เมื่อทำแล้วได้อานิสงส์พิเศษมากอย่างแตกต่าง แต่จะได้มากขนาดไหน
ถ้าไม่มีการขยายความเพิ่ม ก็จะนึกภาพกันไม่ออก เพราะเวลาใครมาชวนเราทำบุญ
ก็มักจะบอกว่าได้บุญมากด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นในบรรทัดถัด
ๆ ไป จะขอยกตัวอย่างอานิสงส์ที่โดดเด่นของการถวายผ้ากฐิน
เพื่อให้เห็นภาพของผลบุญชัดเจนขึ้น
เมื่อบารมีเต็มเปี่ยม หากเกิดเป็นชาย
ในชาติที่เกิดมาเจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้รับการบวชแบบ เอหิภิกขุอุปสัมปทา
คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานการบวชให้ด้วยพระองค์เอง
แต่ใครจะบวชแบบนี้ได้ต้องสั่งสมบุญบารมีมาในภพอดีตอย่างมหาศาลเลยทีเดียว
อีกทั้งก่อนบวชก็ต้องบรรลุธรรมเป็น
พระอริยบุคคลตั้งแต่ พระโสดาบัน ขึ้นไป และเมื่อบรรลุแล้ว
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องทรงตรวจตราด้วยญาณทัสนะของพระองค์ก่อนว่า..ผู้ที่จะบวชมีบุญจากการถวายบาตรและจีวรมามากพอหรือไม่
เพราะการบวชแบบนี้ บาตรและจีวรจะเกิดขึ้นด้วยฤทธิ์ ซึ่งเทวดาจะเป็นผู้มาเนรมิตให้
โดยอาศัยกำลังบุญของผู้บวช ถ้ากำลังบุญน้อย
ผู้ที่เนรมิตก็จะเป็นเทวดาระดับหัวหน้าเขต ถ้ามีกำลังบุญปานกลาง ผู้เนรมิตก็จะเป็นเทวดาระดับท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์
แต่ถ้ามีกำลังบุญมาก
ผู้เนรมิตก็จะเป็นพรหมในชั้นพรหมโลกเลยทีเดียว
ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจตราดูด้วยญาณทัสนะแล้วพบว่า
ผู้บวชมีบุญจากการถวายบาตรและจีวรมามากพอ (ในกรณีที่ผู้บวชบรรลุธรรมตั้งแต่ขั้นพระโสดาบันขึ้นไป
แต่ยังไม่บรรลุอรหัตผล) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะประทานการบวชให้
โดยการเหยียดพระหัตถ์ขวาออกไป แล้วเปล่งพระสุรเสียงว่า “จงเป็นภิกษุมาเถิด
เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อกระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด” และด้วยอานุภาพบุญก็จะบังเกิดองค์พระขนาดใหญ่
เปล่งรัศมีเจิดจ้าสว่างไสวครอบคลุมร่างของผู้บวช ในขณะเดียวกัน ผ้าไตรจีวรก็จะลอยลงมาจากอากาศ
มาปรากฏอยู่ระหว่างมือที่พนมขึ้นกับอก แล้วบาตรก็จะถูกวางไว้ข้าง ๆ
ซึ่งในบาตรจะมีบริขารต่าง ๆ เช่น เข็ม ด้าย มีดโกน ที่กรองน้ำ เป็นต้น
และจากนั้นผู้บวชก็ต้องไปปลงผม ห่มจีวร
เป็นพระภิกษุที่ครองผ้าเรียบร้อยในลำดับต่อไป
แต่ในกรณีที่ผู้บวชฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วบรรลุอรหัตผล
เมื่อได้รับประทานการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาออกไป แล้วเปล่งพระสุรเสียงแค่ว่า “จงเป็นภิกษุมาเถิด” และด้วยอานุภาพบุญจะบังเกิดองค์พระขนาดใหญ่หน้าตัก
๒๐ วา เปล่งรัศมีเจิดจ้าสว่างไสวครอบคลุมร่างของผู้บวช ซึ่งตามนุษย์จะมองไม่เห็น
เพราะเป็นของละเอียด จะเห็นก็เพียงแค่ความสว่างที่พรึบขึ้นมาเท่านั้น จากนั้นเส้นผมบนศีรษะก็จะสั้นลง
จากคฤหัสถ์กลายเป็นเพศสมณะ
ครองจีวรและสะพายบาตรอันเป็นทิพย์ที่สำเร็จด้วยบุญฤทธิ์ทันที
แต่ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจตราดูด้วยญาณทัสนะแล้วพบว่า
ผู้นั้น ไม่ได้เคยถวายผ้าไตรจีวรบริขารมาเลย แม้บรรลุอรหัตผลแล้ว
ก็ต้องให้ไปแสวงหาผ้ามาทำจีวรก่อน พระองค์ถึงจะประทานการบวชให้ เหมือนในกรณีของ พระพาหิยะ
ซึ่งไม่เคยมีบุญจากการถวายผ้าไตรจีวรมาเลย ทำให้ระหว่างไปหา เศษผ้าจากกองขยะมาทำจีวร
ได้เจอกับยักษินีที่เคยผูกเวรกันมาจากอดีตชาติเข้าสิงโค แม่ลูกอ่อน
แล้ววิ่งมาขวิดท่านจนตายในทันที
ฉะนั้น
การทอดกฐินและถวายผ้าไตรจีวรจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่ถวายไม่ได้ เพราะสักวันหนึ่งในอนาคตหรือชาติใดชาติหนึ่ง เราก็ต้องเป็นนักบวช
ดังนั้น จงอย่าไปเสี่ยงเลย
เราอาจมีสิทธิ์เป็นแบบพระพาหิยะก็ได้ ที่แม้เป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังต้องลำบากถึงขนาดต้องไปหาเศษผ้าที่เขาทิ้งแล้วจากกองขยะมาทำจีวร
อีกทั้งยังอดบวชอีกด้วย !!!
ส่วนอานิสงส์ของฝ่ายหญิง เมื่อบารมีเต็มเปี่ยมก็จะได้ครอบครองเครื่องประดับอันสูงค่าที่สุดในยุคนั้น
คือ เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์
ซึ่งทำจากรัตนชาติมีมูลค่าสูงถึง ๙ โกฏิ อันประกอบด้วยเพชร ๔ ทะนาน แก้วมุกดา ๑๑
ทะนาน แก้วประพาฬ ๒๐ ทะนาน แก้วมณี ๓๓ ทะนาน แม้เส้นด้ายก็ทำจากเงิน
และยังมีแหวนรูปนกยูงที่มือทั้งสองข้าง มีต่างหู สร้อยคอ ปลอกรัดต้นแขน เข็มขัด
และรองเท้า อีกทั้งเครื่องประดับที่ศีรษะยังออกแบบเป็นตัวนกยูงรำแพนคล้ายนกยูงยืนอยู่บนเนินเขา
โดยขนปีกทำด้วยทองข้างละ ๕๐๐ ขน รวมเป็น ๑,๐๐๐ ขน จะงอยปากทำด้วยแก้วประพาฬ นัยน์ตา คอ และแววหาง ทำด้วยแก้วมณี
ก้านขนและขาทำด้วยเงิน ทำให้เวลาเดินเกิดเสียงกระทบกันของก้านปีก
จนเกิดความไพเราะประดุจเสียงทิพยดนตรี
แต่กว่านางวิสาขาจะได้เครื่องประดับที่เลิศที่สุดในปฐพีขนาดนี้
ก็ไม่ได้เกิดจากการเป็นประธานถวายผ้าจีวรแค่ผืนสองผืนเท่านั้น แต่เกิดจากนางเคยถวายจีวรพร้อมด้วยเข็มและเครื่องย้อมแด่พระภิกษุมามากถึง
๒๐,๐๐๐ รูป
ในสมัยของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า และสั่งสมบุญบารมีประเภทนี้มานับชาติไม่ถ้วน
ดังนั้น
การที่เราจะถวายผ้ากฐินหรือจีวรเพียงแค่ปีละ ๑ ผืน ซึ่งต่อให้ถวายตลอดชีวิตจนหมดอายุขัย
อย่างมากก็ได้ไม่เกิน ๑๐๐ ผืน ฉะนั้นการเป็นประธานกองกฐินปีละ
๑ ครั้ง จึงไม่ถือเป็นการสั่งสมบุญที่มากเกินไป
จากข้อมูลตรงนี้เอง
จะเห็นว่า..ถ้านางวิสาขาไม่มีบุญจากการถวายผ้าจีวรมามากพอ
ก็จะไม่ไปดลจิตดลใจให้ใครคิดจะทำเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ให้นาง
เพราะเป็นเครื่องประดับที่ทำยากมาก ต้องใช้คนทำจำนวนมาก
จนบิดาของนางวิสาขาต้องจ้างช่างทองมาช่วยกันทำมากถึง ๕๐๐ คน
อีกทั้งยังต้องใช้เวลาทำนานถึง ๔ เดือน แถมค่าจ้างช่างยังแพงถึง ๑แสนกหาปณะ
แต่ด้วยบุญบารมีที่เต็มเปี่ยมของนางวิสาขา
จึงบันดาลให้มีเครื่องประดับคู่บุญเกิดขึ้น
เมื่อกล่าวถึงอานิสงส์กฐินกันพอสังเขปแล้ว
ก็จะขอเล่าถึงเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้น ก่อนจะถึงวันทอดกฐินของวัดพระธรรมกายกันบ้าง
คือ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
เวลา ๐๙.๐๐ น.
คุณครูไม่ใหญ่ท่านเมตตาให้นำผ้าไตรจักรพรรดิที่จะมอบให้ประธานกองกฐินเข้าไปในอาคารภาวนา
ซึ่งเป็นสถานที่ทำวิชชา เพื่อท่านจะได้นั่งสมาธิอธิษฐานจิตเติมความศักดิ์สิทธิ์ทุกวัน
โดยมีคณะสงฆ์ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมเป็นตัวแทนในการอัญเชิญเข้าไป
และผ้าไตรทั้งหมดนี้จะนำออกมามอบให้เจ้าภาพผู้เป็นประธานกองกฐิน
ในวันที่สว่างที่สุด ดีที่สุด คือ วันครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน
๑๐ ซึ่งเป็นวันที่หลวงปู่ค้นพบวิชชาธรรมกาย ณ วัดโบสถ์บน ต.บางคูเวียง
อ.บางคูเวียง จ.นนทบุรี โดยปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๘ กันยายน
และเมื่อรับผ้าไตรจักรพรรดิไปแล้ว ก็ขอให้ทำตามหลักวิชชาที่คุณครูไม่ใหญ่ให้ไว้
ดังโอวาทในลำดับต่อไป...
โอวาทจากคุณครูไม่ใหญ่
“เมื่อได้ผ้าไตรไปแล้ว สิ่งที่เราจะต้องทำในขั้นตอนต่อไปก็คือ
ไปเช็ดโต๊ะหมู่ หิ้งบูชา หรือบนหัวนอน ที่เราจะเอาไว้วางผ้าไตร ให้เช็ดทุกด้าน
ทุกทิศ ทุกทาง ให้สะอาดปราศจากสิ่งสกปรกหรือฝุ่นผง
เช็ดอย่าให้เหลือแม้แต่นิดเดียว เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อสมบัติและสิริที่จะเข้ามา
“พอทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เราไปอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่น
จนจิตใจสบาย ร่างกายสดชื่นดีแล้ว ก็นำผ้าไตรจักรพรรดิมหาสมบัติไปวาง โดยหาพานหรือภาชนะอะไรก็ได้ที่วางแล้วดูสวยงาม
ดูแล้วเหมาะสมที่จะเป็นที่ตั้งแห่งผ้าไตรจักรพรรดิมหาสมบัติ
จากนั้น ก็อัญเชิญผ้าไตรไปตั้งด้วยความเคารพ เพราะว่าทุกเส้นด้าย
ทุกอณูเนื้อของเส้นด้าย เต็มไปด้วยผู้มีฤทธิ์ มีอานุภาพ และมหาสมบัติทั้งหลาย
เมื่อนำไปตั้งแล้ว ก็ให้กราบที่ผ้าไตรซึ่งเป็นธงชัยของพระอรหันต์
แล้วก็นั่งสมาธิให้จิตใจเราสะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส หลังออกจากสมาธิแล้วก็กราบไปที่ผ้าไตรอีกครั้ง
และตั้งใจมั่นอธิษฐานจิตให้ดีว่า
ข้าพเจ้าได้นำผ้าไตรจีวรนี้มาตั้งไว้เพื่ออธิษฐานเป็นประธานกองกฐินสามัคคี
ขอให้ความปรารถนานี้สำเร็จเป็นอัศจรรย์
และให้มีสมบัติอัศจรรย์ทันใช้สร้างบารมีในชาตินี้
มีสมบัติไหลมาเทมาตั้งแต่วินาทีที่ได้อัญเชิญผ้าไตรจักรพรรดิมหาสมบัติขึ้นประดิษฐานไว้บนพาน
“ให้ทำอย่างนี้ทุกวัน
อย่าให้ขาดเลยแม้แต่วันเดียวจนกระทั่งถึงวันทอดกฐิน...”
และเมื่อวันที่
๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ คุณครูไม่ใหญ่ก็ฝากโอวาทในช่วงปลีกวิเวกมาว่า...
“ผ้าไตรกฐินปีนี้ซ้อนความศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษในอาคารภาวนา
ซ้อนให้ใสทุกผืน ใสข้างในกลาง และตั้งผังให้ได้ทรัพย์ทั้งภายใน ภายนอก
ครูไม่ใหญ่อยากให้ทุกคนเป็นประธานกองกฐิน อยากให้เขามีบุญเยอะ ๆ
ดังนั้นต้องตั้งเป้า ตั้งผังไว้ว่า ครั้งหนึ่งในชีวิต เราต้องเป็นประธานกองกฐินให้ได้”
Cr. เรื่อง : ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์
ภาพ
: อมรรัตน์ สมาธิทรัพย์ดี
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๔๓
เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๗
คลิกอ่านเรื่องจากปกของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
ทอดกฐินอย่างไร ให้รวยอย่างในสมัยพุทธกาล
ไม่มีบทความ |
ทอดกฐินอย่างไร ให้รวยอย่างในสมัยพุทธกาล |
คลิกอ่านเรื่องจากปกของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามลิงก์ด้านล่างนี้
ทอดกฐินอย่างไร ให้รวยอย่างในสมัยพุทธกาล
ครั้งหนึ่งในชีวิต.. เราต้องเป็นประธานกองกฐินให้ได้
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
22:23
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: