สายใยแห่งรัก
ขณะที่ข้าพเจ้ากินข้าพเจ้าไม่รู้สึกอร่อยเลย ทั้งที่พ่อพูดว่าอร่อยเหมือนเนื้อไก่ ข้าพเจ้ามักคอยนึกถึงตัวจริงของมันอยู่เสมอ กระรอกนั้นข้าพเจ้าเห็นมันบ่อย บางทีมีฝนตกหนักพายุพัดจัดพัดเอารังกระรอกหล่น ลงดิน ข้าพเจ้ายังเคยเอาลูกเล็กของมันมาใส่ตะกร้าแขวน เลี้ยงไว้จนโตให้กล้วยมันกิน ถ้ายังเล็กอยู่ก็ไปขอน้ำนมจากน้าข้างบ้านที่มีลูกอ่อนมาให้มันกิน โดยเอาสําลีชุบน้ำนมใส่ปากให้มันดูด คุ้นเคยกับมันแต่เล็กจนโต จึงปล่อยให้มันไต่ต้นไม้จากไป เวลากินจึงคอยนึกว่า
“นี่เป็นเจ้าตัวที่เคยเลี้ยงหรือเปล่า” จึงกินอย่างไม่อร่อยสักครั้ง
ข้าพเจ้าเคยพูดเรื่องนี้กับพ่อคราวหนึ่ง หนนั้นท่านบอกว่า
“เจ้ากระรอก เจ้าค้างคาวนี่นะลูก มันเป็นสัตว์ไม่มีประโยชน์ มันทําให้เราเสียหาย ลูกไม่ได้ยินเสียงมะพร้าวหล่นรึไง มันกัดลงมาวันนึงๆ ไม่รู้กี่สิบลูก ไอ้ค้างคาวนี่ก็กินผลไม้ในสวนเราหมด อย่างมะม่วงนี้มันกินซะคืนนึงนับเป็นสิบๆ ใบ ลูกก็เห็นอยู่”
ข้าพเจ้าไม่มีหนทางโต้ตอบ จนด้วยเหตุผล ค้างคาวแม่ไก่ตัวของมันโตเท่าลูกไก่ตัวรุ่นกระทง กินลูกไม้เก่งจริงๆ อย่างที่พ่อพูด ไม่ว่าเป็น มะม่วง ละมุด ลําไย ฝรั่ง กระทั่งขนุนที่สุกคาต้น มันก็ไม่เว้น ยิ่งชมพู่ยิ่งเสียหายมาก มันใช้วิธีโฉบกิน ปีกของมันบินไปบินมาถูกลูกชมพู่ทั้งแก่ ทั้งอ่อนหล่นเต็มพื้นดิน
ขณะที่ข้าพเจ้าจนหนทางอยู่นั้นเหมือนบุญแต่ปางก่อนช่วยเหลือ ใจของลูกที่คิดปรารถนาดีต่อพ่อแม่ ไม่อยากให้ท่านทําบาป คิดบ่อยเข้าๆ ก็มีพลานุภาพให้มีเหตุบังเอิญมาช่วยเป็นอัศจรรย์ เย็นนั้นพ่อถือค้างคาวที่ตายแล้วมาตัวหนึ่ง เดินเข้าบ้านมาอย่างหงอยเหงา พูดกับข้าพเจ้าว่า
“วันนี้เราจะกินค้างคาวกันเป็นตัวสุดท้ายนะลูกนะ”
ข้าพเจ้ามองหน้าพ่ออย่างสงสัย พ่อจึงพูดต่อให้ข้าพเจ้าฟังว่า
“ค้างคาวตัวนี้พ่อไม่ได้เป็นคนยิง เพราะพ่อจะยิงเฉพาะตัวที่มันมากินผลไม้ที่สวนของเราในเวลาพลบค่ำ ตอนกลางวันค้างคาวพวกนี้มันไปนอนกันอยู่ตามกิ่งโพธิ์ในวัด พ่อไม่เคยไปยิงมัน แต่มีคนจากในตัวเมืองนั่งเรือติดเครื่องมายิงมันที่วัดอยู่เสมอ ท่านสมภารห้ามปรามก็ไม่ใคร่ฟัง ถือว่าเขามีอํานาจ”
“วันนี้ก็เหมือนกันลูก พวกเขามากัน ๓-๔ คน ยิงปืน ๒-๓ เปรี้ยง ค้างคาวก็หล่นลงมาตายเกลื่อนกลาด เค้าเก็บค้างคาวที่ตายใส่เรือกลับกันไปหมดแล้ว สักพักใหญ่มานี่พ่อลงไปอาบน้ำที่ท่า พ่อเห็นค้างคาวตัวนี้มันบาดเจ็บมา แต่ยังไม่ตาย มันมีลูกตัวเล็กๆ ของมันหล่นอยู่ไม่ไกล มันพยายามค่อยเขยิบเข้าไปหาลูกของมันด้วยความยากลําบาก พ่อจึงหยิบลูกมาให้ถึงตัวมัน มันมองพ่ออย่างไม่ใคร่เห็นนัก เพราะสัตว์พวกนี้กลางวันตาของมันฝ้าฟาง แต่ก็คงรู้ว่าพ่อคงเป็นสัตว์อะไรที่ใจดีสักอย่าง มันกอดลูกของมันไว้กับอกแล้วพยายามคลานมาที่เท้าพ่อ วางลูกลงที่เท้าพ่อแล้วมันก็ตาย มันคงฝากลูกของมันให้พ่อดูแล”
พ่อกล้ำกลืนในลําคอเหมือนมีอะไรติดค้างอยู่ในนั้น สักครู่จึงพูดต่อไปว่า
“พ่อนึกถึงว่าถ้าพ่อไปไหนกับลูก เกิดมีคนทําอันตรายตัวพ่อบาดเจ็บ พ่อก็จะต้องห่วงลูกเหมือนแม่ค้างคาวตัวนี้เหมือนกัน พ่อสงสารมันขึ้นมา จึงบอกมันว่าพ่อจะเอาลูกของมันไปไว้ที่ฝูงให้”
“แล้วนี่พ่อเอาลูกของมันไปไว้ที่วัดแล้วหรือจ๊ะ”
ข้าพเจ้าถามพ่อพร้อมกับเอามือป้ายน้ำตา นึกในใจว่าจะขอพ่อเอามันมาเลี้ยงเหมือนที่เคยเลี้ยงกระรอก
“พ่อเอาไปไว้แล้ว มันโตแล้วจ้ะลูก มันพอบินได้แล้ว คงอยู่กับฝูงได้”
พ่ออธิบายให้ข้าพเจ้าคลายใจ แล้วท่านได้บอกต่ออีกว่า
“พ่อไปตกลงกับท่านสมภารและกํานันผู้ใหญ่บ้านว่าจะช่วยกันเขียนป้ายห้ามยิงสัตว์ปิดไว้หลายๆ ป้ายในวัด และจะให้มีเจ้าหน้าที่เปลี่ยนเวรกัน เป็นเด็กวัดบ้าง พระภิกษุบ้าง ไปชี้แจงต่อคนที่จะมายิงสัตว์ในวัด ส่วนพ่อกับครูในโรงเรียนจะช่วยกันห้ามปรามคนใจร้ายเหล่านั้นด้วย ในเวลากลางวันที่เราอยู่กันที่โรงเรียน”
ตั้งแต่นั้นมาค้างคาวฝูงใหญ่นั้นก็อยู่กันอย่างเป็นสุข บางฤดูก็หายไปหมดทั้งฝูง บางฤดูก็พากันกลับมา แต่มีเรื่องที่น่าประหลาดใจอยู่ประการหนึ่งคือ แม้มันจะกลับมา มันก็ไม่เคยรบกวนสวนผลไม้ของหมู่บ้านเราอีกเลย พอเวลาเย็นพระอาทิตย์จวนตกดิน เราจะเห็นมันพากันบินเป็นแถวยาวพาดท้องฟ้าไปหากินกันในที่ไกลแสนไกล ซึ่งเราไม่รู้ว่าที่ใด ตอนเช้าจึงพากันกลับมา มันทําอยู่ดังนี้จนต้นโพธิ์ใหญ่หมดอายุ ผุพังตายไป ค้างคาวไม่มีที่เกาะจึงหายไปไม่กลับมาอีก
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๒ บทที่ ๓
สายใยแห่งรัก
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
02:58
Rating:
ประทับใจถึงน้ำใจเมตตาและจุดเปลี่ยนของพ่อ
ตอบลบประทับใจถึงน้ำใจเมตตาและจุดเปลี่ยนของพ่อ
ตอบลบ