รักที่แตกต่าง
สมัยเมื่อข้าพเจ้าเพิ่งจําความได้
หมู่บ้านของเราไม่มีการใช้เงินทอง ประมาณ ๓-๔ วัน ชาวบ้านจะนัดพบกันที่ชายหาด
ใครมีอะไรๆ ในบ้านของตนก็นําลงไปแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น บางบ้านมีปลาย่าง ปลาเค็ม ไข่ไก่
ไข่เป็ด ผักหญ้า ผลไม้ ข้าวโพด แตงโม แตงไทย ของกินของใช้ กระบุง ตะกร้า ฯลฯ
ของที่มีกันอยู่ในหมู่บ้านก็จะนําไปวางไว้ที่หาดทราย ชาวบ้านก็จะใช้วิธีแลกกันเอง
ใครอยากได้อะไรก็ใช้ของของตนไปแลกเปลี่ยน ถ้าไม่ถูกใจก็ใช้แลกเปลี่ยนด้วยของกลาง
คือข้าวเปลือกเป็นทะนาน เป็นถัง ไม่มีใครใช้เป็นเงิน ข้าพเจ้าชอบตามแม่ไปตลาดนัดแทบทุกคราวที่มี เพราะข้าพเจ้าชอบกินขนม
ที่ตลาดนัดจะมีขนมที่กําลังทํา เช่น ขนมครก ขนมเบื้องญวน ขนมทอดน้ำมัน
และมีทั้งขนมที่คนทํามาจากบ้านเป็นถาดๆ ก็มี ห่อนึ่งด้วยใบตองก็มี
ในระยะหลังๆ จึงเริ่มใช้เงินทอง มีสตางค์แดงอันละ ๑ สตางค์ ครึ่งสตางค์ สตางค์ห้า สตางค์สิบ ในวัยเด็กข้าพเจ้าเห็นอยู่เพียงนั้น สตางค์ทุกอันเจาะรูกลมเล็กๆ ตรงกลาง ผู้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้หญิงชอบเอากลัดตัวใหญ่ๆ มีลําตัวโค้งงอสวมเหรียญเหล่านี้แล้วกลัดติดไว้กับเข็มขัดเงินหรือเข็มขัดนากที่เอว
รัฐบาลสมัยนั้นมีนโยบายให้กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งครูต้องทําตัวเป็นตัวอย่างให้ราษฎรดู ให้ทําสวนครัวเลี้ยงสัตว์ พ่อเลี้ยงหมู เลี้ยงเป็ด ไก่ ห่าน ข้าพเจ้าก็ตื่นเต้นไปตามประสาเด็ก
เมื่อพ่อให้ข้าพเจ้าเริ่มหัดเลี้ยงเป็ด
ฝูงแรกๆ เลี้ยงประมาณ ๗-๑๐ ตัว ไม่เกินนั้น วิธีเลี้ยงก็ไม่ยากอะไร ตอนเล็กๆ
ก็เลี้ยงอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน กินรําบ้าง ข้าวเปลือกบ้าง พอโตหน่อยก็ปล่อยให้ไปหากินเองตามริมตลิ่ง
ไม่มีใครขโมยหรือทําร้ายมัน มันก็จะไปหาหอยบ้าง ปลาเล็กๆ บ้าง กินเองจนอิ่มไม่อดอยาก
ตกเย็นก็จะเดินตามกันเป็นแถว กลับขึ้นบ้านตนเองถูก บ้านใครบ้านมัน
เข้าคอกตนเองถูกด้วย นานๆ จึงจะมีการหลงฝูงสักตัวสองตัว ส่วนใหญ่เป็นพวกตัวผู้ตามตัวเมียมาผิดบ้าน
พอรู้ตัวว่าผิดบ้านมันก็จะร้องก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ ลั่นไปหมด พลอยให้ตัวอื่นร้องตามกันไปทั้งฝูงในเล้านั่นแหละ
ถ้ามีเสียงอย่างนี้เวลาใด เจ้าของเป็ดก็จะรู้ว่ามีเป็ดแปลกปลอมก็จะต้องไล่ออกมานอกคอก
มันก็จะเดินไป ร้องก๊าบ ก๊าบ ไปตลอดทางกลับบ้านของมัน บางทีเจ้าของเป็ดนับจํานวนตัวไม่ครบก็จะเดินมาหา
มันก็จะรีบเดินร้องตามเจ้าของกลับเล้าของมัน
บ้านข้าพเจ้าเลี้ยงเป็ดฝูงหนึ่ง พอโตขึ้นมันจะออกไข่คืนละหลายฟอง เป็ดตัวเมีย ๘ ตัว จะมีไข่ตอนเช้าตรู่ไม่ต่ำกว่า ๕-๗ ฟอง เป็ดทําให้ข้าพเจ้านอนตื่นสายไม่ได้เลยสักวันเดียว พอสว่างเป็ดจะส่งเสียงร้องระเบ็งเซ็งแซ่ มันพร้อมใจกันร้องทุกตัวเลย ข้าพเจ้าทนนอนฟังมันไม่ไหว เหมือนมันจะพูดว่า
“สว่างแล้วเปิดประตูเล้าที จะออกไปหากินแล้ว เร็ว เร็ว เปิดประตูที” อย่างนี้ทุกวัน
ยังง่วงแสนง่วงอย่างใดข้าพเจ้าก็สงสารมัน ขืนชักช้าเป็ดบ้านอื่นก็จะไปหากินก่อน ข้าพเจ้าจะต้องรีบลงมาเปิดประตูเล้าให้มันแต่เช้าตรู่เป็นประจํา เมื่อเป็ดออกจากเล้าไปหมดแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไปเก็บไข่ที่มันออกทิ้งไว้เกลื่อนกลาด ที่โน่นใบ ที่นี่ใบ นํามาให้แม่ เมื่อกินไข่เป็ดบ่อยๆ เบื่อเข้า ก็จะเก็บเอาไว้วันละหลายๆ ฟอง พอถึงวันตลาดนัด ข้าพเจ้าก็จะมีไข่ไปแลกขนมกินบ้าง ให้แม่แลกกับข้าวอื่นๆ บ้าง
ต่อมาเมื่อเป็ดมีอายุมากขึ้น ออกไข่น้อยลง พ่อบอกว่า
“ถึงเวลาต้องขายเป็ดให้เจ๊กเสียแล้ว”
แรกๆ ข้าพเจ้าไม่ได้เฉลียวใจ ต่อมาเกิดมีความคิดว่า
“เจ๊กที่รับซื้อเป็ดไม่ไข่ เขาจะเอาไปเลี้ยงให้เปลืองข้าวเปลือกทำไม”
จึงถามแม่ขึ้นในวันหนึ่ง แม่ตอบว่า
“เค้าเอามันไปฆ่าน่ะลูก แล้วก็เอาเนื้อมันไปขายให้คนซื้อกิน เค้าก็ได้เงิน”
ข้าพเจ้านึกสลดใจ คิดถึงฝูงเป็ดที่เคยเลี้ยง มันก็มีหัวใจ เวลาเช้า เมื่อข้าพเจ้าไปหาพวกมันเพื่อจะเปิดประตูเล้า มันแหงนหน้าตรง ยืดคอขึ้น ร้องตะเบ็งเสียง ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ ๆ ๆ กับ กับ เหมือนจะบอกว่า
“ขอออกหน่อย
ขอออกหน่อย เปิดประตูให้หน่อย”
ตัวไหนยังไม่ได้เดินมา พอเห็นหน้าข้าพเจ้ามันก็จะรีบเดินเตาะแตะๆ มาโดยเร็ว มาส่งเสียงร้องพร้อมกับตัวอื่นๆ
พอข้าพเจ้าเดินมาถึงประตูคอก มันจะหยุดส่งเสียงเอียงหน้ามามอง ดวงตาเล็กๆ ที่มองนั้นใสแจ๋ว แม้จะหยุดส่งเสียงแต่สายตาที่เอียงคอมองเหมือนจะบอกว่า “ดีจัง ขอบใจนะ ขอบใจนะ” เลี้ยงนานเข้าเหมือนฟังภาษากันออก ข้าพเจ้ามักไม่นึกว่า สิ่งที่ตนเลี้ยงเป็นแค่สัตว์ แต่มีความรู้สึกเหมือนพวกเขาเป็นเพื่อน เพื่อนที่พูดกันคนละภาษาก็จริง แต่ก็รู้ความหมายซึ่งกันและกัน
ตั้งแต่วันนั้น ข้าพเจ้าบอกพ่อว่า
“หนูเบื่อเลี้ยงเป็ดแล้ว พ่อไม่ต้องซื้อมาให้หนูอีก”
ความจริงข้าพเจ้ามิได้เบื่อการเลี้ยงเป็ด
แต่ไม่ชอบที่พ่อนําสัตว์ที่ข้าพเจ้าเลี้ยงไปขายให้ผู้อื่นนําไปฆ่า เมื่อข้าพเจ้าไม่บอกให้พ่อเข้าใจตรงๆ
พ่อก็ไปนําแม่ไก่มาให้ข้าพเจ้าอีก ๒-๓ ตัว มันกําลังอยู่ในวัยออกไข่
ไม่ช้าไม่นานมันก็แข่งกันออกไข่ ฟักไข่ และมีลูกเจี๊ยบครอกละกว่า ๑๐ ตัว
ข้าพเจ้าตื่นเต้นเหมือนได้ของเล่นชิ้นใหม่ ลูกเจี๊ยบนี่น่ารักทุกตัวเลย มันออกมาใหม่ๆ
ก็กินปลายข้าวเม็ดเล็กๆ ได้แล้ว แม่สั่งข้าพเจ้าว่าอย่าให้ข้าวสุกมันกิน
เดี๋ยวมันขี้ติดก้นตาย
พ่อซื้อสุ่มมาให้ข้าพเจ้าเลี้ยงลูกไก่ เพราะถ้าไม่มีสุ่ม เหยี่ยวและอีกาจะมาเฉี่ยวเอาลูกไก่ไปกิน
ตัวไหนยังไม่ได้เดินมา พอเห็นหน้าข้าพเจ้ามันก็จะรีบเดินเตาะแตะๆ มาโดยเร็ว มาส่งเสียงร้องพร้อมกับตัวอื่นๆ
พอข้าพเจ้าเดินมาถึงประตูคอก มันจะหยุดส่งเสียงเอียงหน้ามามอง ดวงตาเล็กๆ ที่มองนั้นใสแจ๋ว แม้จะหยุดส่งเสียงแต่สายตาที่เอียงคอมองเหมือนจะบอกว่า “ดีจัง ขอบใจนะ ขอบใจนะ” เลี้ยงนานเข้าเหมือนฟังภาษากันออก ข้าพเจ้ามักไม่นึกว่า สิ่งที่ตนเลี้ยงเป็นแค่สัตว์ แต่มีความรู้สึกเหมือนพวกเขาเป็นเพื่อน เพื่อนที่พูดกันคนละภาษาก็จริง แต่ก็รู้ความหมายซึ่งกันและกัน
ตั้งแต่วันนั้น ข้าพเจ้าบอกพ่อว่า
“หนูเบื่อเลี้ยงเป็ดแล้ว พ่อไม่ต้องซื้อมาให้หนูอีก”
พ่อซื้อสุ่มมาให้ข้าพเจ้าเลี้ยงลูกไก่ เพราะถ้าไม่มีสุ่ม เหยี่ยวและอีกาจะมาเฉี่ยวเอาลูกไก่ไปกิน
ข้าพเจ้าได้เพื่อนเล่นมาใหม่ ก็ตั้งใจเลี้ยงดูพวกเขา
อาหารการกินมีบริบูรณ์ คอยดูที่อยู่อาศัยให้พอเหมาะ ไม่ให้เปียกฝน ไม่ให้ตากแดดเกินไป
คอยหมั่นทําความสะอาด ไก่ทั้งหมดราวๆ ๓๐ ตัว ก็โตวันโตคืน ออกจากสุ่มได้มันเดินตามข้าพเจ้าต้อยๆ
เวลาหิวก็จะพากันมาล้อมหน้า ล้อมหลัง พอกินอิ่มก็นอนเล่นหมอบอยู่ใกล้ๆ
ข้าพเจ้าเดินไปทางใด พวกเขาก็จะเดินไปด้วยทั้งฝูง เวลากลับจากโรงเรียนมาถึงบ้าน
ฝูงไก่ก็จะวิ่งกรูไปต้อนรับ บางตัวก็ส่งเสียงทักทายอ๊อกๆ... แอ๊ก ๆ... ไปตามเรื่อง
จําได้ว่า ข้าพเจ้ามีตัวพิเศษอยู่ตัวหนึ่ง มันเป็นไก่ประหลาด คือตามตัวของมันไม่มีขนเลยจนเส้นเดียว เป็นหนังโล้นๆ มันแผล็บ มีขนสองสามอันอยู่ตรงปลายปีก เป็นขนแข็งสั้นๆ ข้าพเจ้าเอ็นดูมันมากกว่าตัวอื่นเป็นเพราะมันจะถูกรังแกอยู่เสมอ เวลาไปกินอาหารก็จะถูกตัวอื่นแย่ง ถูกเขาจิกแรงๆ และด้วยเหตุที่มันไม่มีขน มันจึงเจ็บ ต้องร้องลั่นบ่อยๆ ตามตัวมีรอยแผลอยู่เป็นประจํา ข้าพเจ้าต้องจับเอามาใส่สุ่มไว้เวลาให้อาหารสมัยนั้นเลี้ยงไก่ด้วยข้าวเปลือก ไก่ของข้าพเจ้าโตเต็มที่เป็นหนุ่ม เป็นสาวเร็วมาก
แต่แล้ว เย็นวันหนึ่งข้าพเจ้ากลับมาจากเล่นกับเพื่อนรู้สึกว่าที่บ้านเงียบเชียบผิดปกติ เพื่อนไก่ของข้าพเจ้าหายไปไหน ปกติแล้วถึงแม้มันจะกินอิ่มเพียงใด เมื่อข้าพเจ้าเดินเข้าบริเวณบ้านมันจะต้องวิ่งออกมาต้อนรับ วันนั้นมันกินอาหารแล้ว ข้าพเจ้าเลี้ยงมันตั้งแต่กลับจากโรงเรียนมาถึงบ้าน ข้าพเจ้านึกเอะใจจึงส่งเสียงร้องเรียก กู๊ก กู๊ก... เงียบไม่มีเสียงตอบ มีเพียงเสียงเดินก๊อกแก๊กมา เมื่อหันไปดูเห็นแต่ไก่ตัวไม่มีขน เดินมาหาเพียงตัวเดียว
“แม่จ๋า ไก่ของหนูหายไปไหนหมดแล้ว!” ข้าพเจ้าส่งเสียงเรียกแม่ลั่นขึ้น แม่เดินลงมาจากบ้านพูดว่า
“มันโตแล้วลูก พ่อขายเจ๊กไปทั้งหมดเมื่อกี้นี้” ข้าพเจ้าสังหรณ์ใจขึ้นมาทันที
“เจ๊กเค้าซื้อไปทําไมแม่ ตั้งมากมาย”
“เค้าก็เอาไปฆ่าขายให้คนกินน่ะซีลูก” ข้าพเจ้าจับไก่ตัวไม่มีขนที่เหลืออยู่ขึ้นมากอด ร้องไห้โฮ โฮ สะอึกสะอื้น ปากก็พูดว่า
“เจ้าโกร๋นเอ๋ย เพื่อนของเราตายหมดแล้ว เพื่อนไปตายแล้ว”
เมื่อนึกถึงเพื่อนซึ่งข้าพเจ้าเลี้ยงพวกเขามาตั้งแต่เกิดต้องมาจากไปถูกเชือดคอตาย ข้าพเจ้าคอหอยตีบตัน ร้องไห้จนไม่มีน้ำตา แม่เฝ้าปลอบโยนเท่าใด ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมหยุด ร้องแต่ว่า
“เพื่อนของหนูไปตายหมดแล้ว ตายหมดแล้วแม่จ๋า เพื่อนหนูตายหมดแล้ว”
แม่พูดว่า “อย่าร้องซีลูก ไก่ใครๆ เค้าก็เลี้ยงไว้ขายทั้งนั้น เราจะเลี้ยงให้เปลืองข้าวเปลือกได้อย่างไรกัน เราก็ต้องขายเอากําไร”
ข้าพเจ้าไม่รู้จักคําว่ากําไร กําไรหมายถึงอะไร ทําไมกําไรต้องทําให้ไก่เพื่อนรักจากไปตายกันหมดทั้งฝูง เพียงคําว่ากําไรเท่านั้น ทําไมเพื่อนเราต้องถูกฆ่า ข้าพเจ้าคร่ำครวญ แต่ไม่แสดงความโกรธเคืองพ่อ เพียงแต่วันนั้นข้าพเจ้าไม่ยอมรับประทานอาหารเย็น เพราะกินไม่ลงจริงๆ นอนร้องไห้จนหลับไป พ่อกับแม่คงจะเข็ดในความรักของข้าพเจ้าที่มีต่อไก่ฝูงนั้น ท่านไม่กล้านําไก่ฝูงใหม่มาให้ข้าพเจ้าเลี้ยงอีก ข้าพเจ้ายังคงเลี้ยงเจ้าโกร๋น ต่อมาตามลำพังตัวเดียว
เมื่อหายโศกเศร้าลง หลายวันต่อมา ข้าพเจ้าถามแม่ว่า
“ทําไมพ่อไม่ขายเจ้าโกร๋นไปด้วยในวันนั้น”
แม่ตอบว่า “ไก่ไม่มีขน เจ๊กเค้าไม่รับซื้อจ๊ะ เพราะหนังของมันเหนียว ไม่มีใครชอบกิน”
ข้าพเจ้ากอดเจ้าโกร๋นไว้ พึมพำพูดกับมันว่า
“ข้านึกว่าพ่อสงสารเจ้า ที่แท้ก็เจ๊กเขาไม่ยอมซื้อ เมื่อก่อนข้าเคยนึกว่าเจ้ามันอาภัพ มีรูปร่างไม่สวยเหมือนไก่ตัวอื่น แต่ความขี้เหร่ของเจ้า ช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้ ต่อจากนี้ไปข้าจะเลี้ยงเจ้าเพียงตัวเดียว เราจะเป็นเพื่อนกันไปจนตายนะ”
เจ้าโกร๋นเป็นเพื่อนข้าพเจ้าตลอดมาจนมันตายจริงๆ เป็นความตายที่ไม่สมควรเอาเสียเลย คอกของเจ้าโกร๋นอยู่ใต้ถุนบ้านมีแคร่ยกจากพื้นขึ้นมาไม่สูงนัก เป็นคอก ๒ ชั้น เจ้าโกร๋นชอบนอนอยู่ชั้นล่าง มันไม่มีขนปีกประคองตัวไต่ขึ้นชั้นบน สําหรับชั้นล่างข้าพเจ้าเอาไม้พาดไว้เป็นขั้นบันไดถี่ๆ ซึ่งมันจะปีนขึ้นปีนลงได้คล่องแคล่ว
แต่แล้ววันหนึ่ง กลางคืนตอนดึกสงัด ฝนตกหนักน้ำในแม่น้ำหลากท่วมขึ้นมากะทันหัน (สมัยโน้นยังไม่มีเขื่อนกั้นน้ำเลยแม้แต่เขื่อนเดียว) กว่าจะรู้ว่าเมื่อคืนมีน้ำหลาก ก็เป็นเวลารุ่งสว่าง ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมา เมื่อ ได้ยินเสียงพ่อพูดกับแม่ว่า มีน้ำหลากขึ้นมาท่วมใต้ถุนบ้านเต็มไปหมด
สิ่งแรกที่นึกถึงคือเจ้าโกร๋น ข้าพเจ้าลุยน้ำท่วมสูงถึงระดับเอวของข้าพเจ้าไปดูที่คอกเจ้าโกร๋น แล้วก็ต้องร้องไห้อีกครั้งเมื่อพบว่ามันจมน้ำตายอยู่ภายในคอก ความจริงถ้ามันมีปีกมันคงจะบินขึ้นไปบนคอกชั้น บนได้ หรือแม้แต่ชั้นที่มันนอนอยู่น้ำก็ยังไม่ท่วมมาก ท่วมเลยพื้นขึ้นมานิดเดียว แต่มันคงตะเกียกตะกายหนีจนพลัดตกลงจมน้ำตาย ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจ พร้อมกับนึกในใจขึ้นมาว่า
“ต่อไปนี้เราจะไม่เลี้ยงอะไรอีก เลี้ยงแล้วก็ต้องรัก เมื่อรักแล้วก็ต้องเสียใจ เมื่อมีอันต้องพลัดพรากจากกัน ถ้าจะต้องเป็นอย่างนี้แล้ว เลี้ยงอะไรๆ ก็ต้องเสียใจทั้งนั้น เพราะสัตว์มันอายุสั้นกว่า มันต้องตายจาก เราไม่วันใดก็วันหนึ่ง”
ถึงจะตั้งใจไว้มั่นคงขนาดนั้น
ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งตามมาจนได้ พ่อของข้าพเจ้าซื้อแม่หมูมาตัวหนึ่ง แต่ท่านมิให้ข้าพเจ้าเลี้ยง
ท่านเลี้ยงของท่านเอง ข้าพเจ้าชอบวิ่งไปดูมันบ้างเป็นบางคราว ไม่นึกรักมันเพราะเป็นสัตว์ตัวใหญ่
กินแล้วก็นอน แต่เมื่อมันออกลูกมาหลายตัวเป็นครอกก็ชอบไปดู
ไปทุกวันทุกครั้งที่พ่อให้อาหาร ลูกหมูแต่ละตัวอ้วนขึ้นๆ อย่างรวดเร็ว
เห็นผิดตาทุกวัน แต่มีอยู่ตัวหนึ่งเล็กกว่าเพื่อน มันแย่งกินนมกับตัวอื่นไม่ใคร่ทัน
พ่อจึงแยกมันออกมาเลี้ยงต่างหาก ชงนมให้มันกิน ตอนนี้ข้าพเจ้าเริ่มลืมความเสียใจที่เจ้าโกร๋นตายไปอีกแล้ว
ช่วยพ่อเลี้ยงหมูตัวเล็กนี่ใหม่ พอมันโตขึ้นจึงเห็นชัดว่า เวลามันกินอาหารอิ่มมากๆ
ท้องของมันจะยานแทบติดพื้นดิน หลังแอ่นลงจนเห็นได้ชัดเพราะตัวเตี้ยมาก
แม้ข้าพเจ้าจะเลี้ยงดูมันต่างหากนอกเล้า ให้วิ่งอยู่ใต้ถุนบ้านเหมือนสุนัขในบ้านตัวหนึ่ง มันก็ยังโตไม่ทันพวกพี่ๆ ของมันที่อยู่ในคอก ถึงจะตัวเล็กแต่ก็อ้วนท้วนขาของมันทั้ง ๔ ข้าง สั้นกว่าหมูธรรมดาทั่วไป ที่ข้าพเจ้าเริ่มเอ็นดูมันเป็นพิเศษคือมันทําตัวเหมือนสุนัขที่เลี้ยงไว้ ๒ ตัว ไม่มีผิด วิ่งเล่นไปมาด้วยกัน หยอกล้อกันด้วยการเอาปากงับกันไปมา แล้วก็วิ่งไล่กวดกันไปรอบๆ บ้าน เวลาข้าพเจ้าคลุกอาหารให้สุนัข ลูกหมูน้อยตัวนี้ก็กินด้วย เวลาสุนัขเห่า มันก็พยายามเห่าตาม แต่เป็นคนละสําเนียง ใครเห็นและได้ยินก็จะต้องขบขันถึงหัวร่อเอิ๊ก อ๊าก ไปตามๆ กัน มันจะยอมให้ข้าพเจ้าจับอาบน้ำ ให้อุ้มได้เหมือนสุนัขทั้งสองตัวที่มันถือว่าเป็นเพื่อนของมัน เวลาสุนัขวิ่งมาต้อนรับหรือวิ่งมาส่งข้าพเจ้าตอนออกจากบ้าน หรือกลับจากโรงเรียน หมูก็จะทําตาม วิ่งตัวกลมตามรับตามส่งเหมือนสุนัขทั้งคู่
วันหนึ่งถึงเวลาที่พ่อขายลูกหมูในเล้าเพื่อให้คนที่รับซื้อเอาไปเลี้ยงต่อเพื่อขุนให้เป็นหมูตัวโตๆ ด้วยมีวิธีให้อาหารกันเป็นพิเศษ พ่อมิได้ขาย “เจ้าเตี้ย” ของข้าพเจ้า ทําให้ข้าพเจ้าดีอกดีใจพูดกับมันว่า
“เตี้ยเอ๊ย เจ้าเป็นหมูพิการนะ ขาก็สั้น หลังก็แอ่น คนเค้าเห็นเจ้าเตี้ยผิดรูปผิดทรงกระมั้ง เลยไม่มีใครเค้ายอมซื้อ โชคดีแล้วอยู่กับข้านี่แหละ จะหุงข้าวเลี้ยงทั้งหมาทั้งหมู เอาให้อ้วนตัวกลมไปด้วยกันเล้ย”
ข้าพเจ้าหุงข้าวเป็นตั้งแต่เด็ก เป็นการหุงแบบเช็ดน้ำ ข้าพเจ้าจะพยายามทําข้าวพลวก คือแกล้งให้เมล็ดข้าวไหลออกจากหม้อให้มากๆ แล้วก็จะเอาน้ำข้าวรวมทั้งเมล็ดข้าวที่หกจากหม้อครั้งละมากๆ นั้นไปต้มต่อให้สุก ก็จะกลายเป็นข้าวต้มชนิดข้น มีกับข้าวเศษแกง เศษผักก็จะต้มรวมไปด้วยกัน บ่อยครั้งที่แอบเอาน้ำปลาอย่างดีที่เรียกว่าหัวน้ำปลาใส่ลงไปให้มีรสเค็มนิดๆ หอมฟุ้งไปทีเดียว
เจ้าสุนัขเลี้ยง ๒ ตัวกับเจ้าเตี้ยก็จะกินกันท้องกางทั้งเช้าเย็น ยิ่งนานวันเจ้าเตี้ยก็ยิ่งกินจุเกินเพื่อนของมันเข้าทุกที ตัวของมันอ้วนใหญ่มากขึ้นๆ และมันก็รู้ภาษามากตามไปด้วย ข้าพเจ้าพูดสิ่งใด มันก็แสดงว่า เข้าใจรู้เรื่อง เช่นเรียกชื่อมันว่า “เตี้ย” มันก็จะหันหน้ามาหาทันที บอกว่า “มานี่” ก็จะเดินย้ายพุงมาหา ชี้มือบอกให้ไปเรียกเจ้าด่าง (สุนัข) มันก็จะวิ่งไปหาสุนัข มันแสดงอาการกันอย่างไรข้าพเจ้าไม่ทันดูให้ถี่ถ้วน แต่ เจ้าด่างก็วิ่งมาหาข้าพเจ้าได้
ตลอดเวลาในวัยเด็กที่ข้าพเจ้าได้เลี้ยงสัตว์ต่างๆ มาหลายชนิด ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่ามันเป็นเพียงสัตว์รู้สึกเหมือนเขาเป็นคนเป็นเพื่อนของตนเอง และเราก็สื่อความหมายกันรู้เรื่อง
ด้วยเหตุนี้ วันหนึ่งเมื่อกลับจากโรงเรียนมาและเจ้าเตี้ยหายไป เหมือนที่เพื่อนเป็ดกับเพื่อนไก่หายไปข้าพเจ้าก็รู้ด้วยสัญชาตญาณเช่นเคย “เตี้ยไปตายอีกแล้ว เตี้ยจากไปตายอีก”
คราวนี้ข้าพเจ้าไม่ได้ร้องโฮ โฮ เหมือนแต่ก่อน ความโศกเศร้ามีมากจนร้องไห้ไม่ออก ใจคอแห้งผาก ลําคอตีบตัน กินข้าวไม่ลงอยู่หลายมื้อ แต่มิได้แสดงให้พ่อรู้ว่าข้าพเจ้าเสียใจมาก สอนตนเองตามประสาเด็กว่า
“หมูก็ไปตายแล้ว ต่อว่าพ่อ พ่อก็ต้องเสียใจ เหมือนเราทําร้ายใจพ่ออีก เราก็ต้องเสียใจเพิ่มอีกเรื่องหนึ่ง ยังไงก็ให้เสียใจเรื่องเดียวเถอะ อย่าสองเรื่องสามเรื่องเลย”
แม้จะตัดใจคิดขนาดนี้ บ่อยครั้งยังต้องสะอื้นฮักๆ เมื่อเอาข้าวให้สุนัขกิน ต่อนี้ไปไม่เห็นหน้าเจ้าตัวที่สามอีกแล้ว
“เจ้าดำ เจ้าด่าง เอ็งคิดถึงเจ้าเตี้ยมันมั้ย” ข้าพเจ้ามักถามเจ้าสุนัขสองตัวด้วยน้ำตาไหลซึม มันไม่ตอบเป็นภาษาคนก็จริง แต่อาการของมันเหมือนจะรู้เรื่อง กินอาหารอย่างเหงาๆ บางทีก็กินไปนิดหน่อยแล้วหยุดกิน หันหน้ามองไปทางโน้นทางนี้ เหมือนมองหาเพื่อนที่เคยแย่งมันกินอย่างตะกละ เมื่อขาดหายไปไม่มีใครแย่งอาหารก็พลอยหมดรสลงไปด้วย
จําได้ว่า ข้าพเจ้ามีตัวพิเศษอยู่ตัวหนึ่ง มันเป็นไก่ประหลาด คือตามตัวของมันไม่มีขนเลยจนเส้นเดียว เป็นหนังโล้นๆ มันแผล็บ มีขนสองสามอันอยู่ตรงปลายปีก เป็นขนแข็งสั้นๆ ข้าพเจ้าเอ็นดูมันมากกว่าตัวอื่นเป็นเพราะมันจะถูกรังแกอยู่เสมอ เวลาไปกินอาหารก็จะถูกตัวอื่นแย่ง ถูกเขาจิกแรงๆ และด้วยเหตุที่มันไม่มีขน มันจึงเจ็บ ต้องร้องลั่นบ่อยๆ ตามตัวมีรอยแผลอยู่เป็นประจํา ข้าพเจ้าต้องจับเอามาใส่สุ่มไว้เวลาให้อาหารสมัยนั้นเลี้ยงไก่ด้วยข้าวเปลือก ไก่ของข้าพเจ้าโตเต็มที่เป็นหนุ่ม เป็นสาวเร็วมาก
แต่แล้ว เย็นวันหนึ่งข้าพเจ้ากลับมาจากเล่นกับเพื่อนรู้สึกว่าที่บ้านเงียบเชียบผิดปกติ เพื่อนไก่ของข้าพเจ้าหายไปไหน ปกติแล้วถึงแม้มันจะกินอิ่มเพียงใด เมื่อข้าพเจ้าเดินเข้าบริเวณบ้านมันจะต้องวิ่งออกมาต้อนรับ วันนั้นมันกินอาหารแล้ว ข้าพเจ้าเลี้ยงมันตั้งแต่กลับจากโรงเรียนมาถึงบ้าน ข้าพเจ้านึกเอะใจจึงส่งเสียงร้องเรียก กู๊ก กู๊ก... เงียบไม่มีเสียงตอบ มีเพียงเสียงเดินก๊อกแก๊กมา เมื่อหันไปดูเห็นแต่ไก่ตัวไม่มีขน เดินมาหาเพียงตัวเดียว
“แม่จ๋า ไก่ของหนูหายไปไหนหมดแล้ว!” ข้าพเจ้าส่งเสียงเรียกแม่ลั่นขึ้น แม่เดินลงมาจากบ้านพูดว่า
“มันโตแล้วลูก พ่อขายเจ๊กไปทั้งหมดเมื่อกี้นี้” ข้าพเจ้าสังหรณ์ใจขึ้นมาทันที
“เจ๊กเค้าซื้อไปทําไมแม่ ตั้งมากมาย”
“เค้าก็เอาไปฆ่าขายให้คนกินน่ะซีลูก” ข้าพเจ้าจับไก่ตัวไม่มีขนที่เหลืออยู่ขึ้นมากอด ร้องไห้โฮ โฮ สะอึกสะอื้น ปากก็พูดว่า
“เจ้าโกร๋นเอ๋ย เพื่อนของเราตายหมดแล้ว เพื่อนไปตายแล้ว”
เมื่อนึกถึงเพื่อนซึ่งข้าพเจ้าเลี้ยงพวกเขามาตั้งแต่เกิดต้องมาจากไปถูกเชือดคอตาย ข้าพเจ้าคอหอยตีบตัน ร้องไห้จนไม่มีน้ำตา แม่เฝ้าปลอบโยนเท่าใด ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมหยุด ร้องแต่ว่า
“เพื่อนของหนูไปตายหมดแล้ว ตายหมดแล้วแม่จ๋า เพื่อนหนูตายหมดแล้ว”
แม่พูดว่า “อย่าร้องซีลูก ไก่ใครๆ เค้าก็เลี้ยงไว้ขายทั้งนั้น เราจะเลี้ยงให้เปลืองข้าวเปลือกได้อย่างไรกัน เราก็ต้องขายเอากําไร”
ข้าพเจ้าไม่รู้จักคําว่ากําไร กําไรหมายถึงอะไร ทําไมกําไรต้องทําให้ไก่เพื่อนรักจากไปตายกันหมดทั้งฝูง เพียงคําว่ากําไรเท่านั้น ทําไมเพื่อนเราต้องถูกฆ่า ข้าพเจ้าคร่ำครวญ แต่ไม่แสดงความโกรธเคืองพ่อ เพียงแต่วันนั้นข้าพเจ้าไม่ยอมรับประทานอาหารเย็น เพราะกินไม่ลงจริงๆ นอนร้องไห้จนหลับไป พ่อกับแม่คงจะเข็ดในความรักของข้าพเจ้าที่มีต่อไก่ฝูงนั้น ท่านไม่กล้านําไก่ฝูงใหม่มาให้ข้าพเจ้าเลี้ยงอีก ข้าพเจ้ายังคงเลี้ยงเจ้าโกร๋น ต่อมาตามลำพังตัวเดียว
เมื่อหายโศกเศร้าลง หลายวันต่อมา ข้าพเจ้าถามแม่ว่า
“ทําไมพ่อไม่ขายเจ้าโกร๋นไปด้วยในวันนั้น”
แม่ตอบว่า “ไก่ไม่มีขน เจ๊กเค้าไม่รับซื้อจ๊ะ เพราะหนังของมันเหนียว ไม่มีใครชอบกิน”
ข้าพเจ้ากอดเจ้าโกร๋นไว้ พึมพำพูดกับมันว่า
“ข้านึกว่าพ่อสงสารเจ้า ที่แท้ก็เจ๊กเขาไม่ยอมซื้อ เมื่อก่อนข้าเคยนึกว่าเจ้ามันอาภัพ มีรูปร่างไม่สวยเหมือนไก่ตัวอื่น แต่ความขี้เหร่ของเจ้า ช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้ ต่อจากนี้ไปข้าจะเลี้ยงเจ้าเพียงตัวเดียว เราจะเป็นเพื่อนกันไปจนตายนะ”
เจ้าโกร๋นเป็นเพื่อนข้าพเจ้าตลอดมาจนมันตายจริงๆ เป็นความตายที่ไม่สมควรเอาเสียเลย คอกของเจ้าโกร๋นอยู่ใต้ถุนบ้านมีแคร่ยกจากพื้นขึ้นมาไม่สูงนัก เป็นคอก ๒ ชั้น เจ้าโกร๋นชอบนอนอยู่ชั้นล่าง มันไม่มีขนปีกประคองตัวไต่ขึ้นชั้นบน สําหรับชั้นล่างข้าพเจ้าเอาไม้พาดไว้เป็นขั้นบันไดถี่ๆ ซึ่งมันจะปีนขึ้นปีนลงได้คล่องแคล่ว
แต่แล้ววันหนึ่ง กลางคืนตอนดึกสงัด ฝนตกหนักน้ำในแม่น้ำหลากท่วมขึ้นมากะทันหัน (สมัยโน้นยังไม่มีเขื่อนกั้นน้ำเลยแม้แต่เขื่อนเดียว) กว่าจะรู้ว่าเมื่อคืนมีน้ำหลาก ก็เป็นเวลารุ่งสว่าง ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมา เมื่อ ได้ยินเสียงพ่อพูดกับแม่ว่า มีน้ำหลากขึ้นมาท่วมใต้ถุนบ้านเต็มไปหมด
สิ่งแรกที่นึกถึงคือเจ้าโกร๋น ข้าพเจ้าลุยน้ำท่วมสูงถึงระดับเอวของข้าพเจ้าไปดูที่คอกเจ้าโกร๋น แล้วก็ต้องร้องไห้อีกครั้งเมื่อพบว่ามันจมน้ำตายอยู่ภายในคอก ความจริงถ้ามันมีปีกมันคงจะบินขึ้นไปบนคอกชั้น บนได้ หรือแม้แต่ชั้นที่มันนอนอยู่น้ำก็ยังไม่ท่วมมาก ท่วมเลยพื้นขึ้นมานิดเดียว แต่มันคงตะเกียกตะกายหนีจนพลัดตกลงจมน้ำตาย ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจ พร้อมกับนึกในใจขึ้นมาว่า
“ต่อไปนี้เราจะไม่เลี้ยงอะไรอีก เลี้ยงแล้วก็ต้องรัก เมื่อรักแล้วก็ต้องเสียใจ เมื่อมีอันต้องพลัดพรากจากกัน ถ้าจะต้องเป็นอย่างนี้แล้ว เลี้ยงอะไรๆ ก็ต้องเสียใจทั้งนั้น เพราะสัตว์มันอายุสั้นกว่า มันต้องตายจาก เราไม่วันใดก็วันหนึ่ง”
แม้ข้าพเจ้าจะเลี้ยงดูมันต่างหากนอกเล้า ให้วิ่งอยู่ใต้ถุนบ้านเหมือนสุนัขในบ้านตัวหนึ่ง มันก็ยังโตไม่ทันพวกพี่ๆ ของมันที่อยู่ในคอก ถึงจะตัวเล็กแต่ก็อ้วนท้วนขาของมันทั้ง ๔ ข้าง สั้นกว่าหมูธรรมดาทั่วไป ที่ข้าพเจ้าเริ่มเอ็นดูมันเป็นพิเศษคือมันทําตัวเหมือนสุนัขที่เลี้ยงไว้ ๒ ตัว ไม่มีผิด วิ่งเล่นไปมาด้วยกัน หยอกล้อกันด้วยการเอาปากงับกันไปมา แล้วก็วิ่งไล่กวดกันไปรอบๆ บ้าน เวลาข้าพเจ้าคลุกอาหารให้สุนัข ลูกหมูน้อยตัวนี้ก็กินด้วย เวลาสุนัขเห่า มันก็พยายามเห่าตาม แต่เป็นคนละสําเนียง ใครเห็นและได้ยินก็จะต้องขบขันถึงหัวร่อเอิ๊ก อ๊าก ไปตามๆ กัน มันจะยอมให้ข้าพเจ้าจับอาบน้ำ ให้อุ้มได้เหมือนสุนัขทั้งสองตัวที่มันถือว่าเป็นเพื่อนของมัน เวลาสุนัขวิ่งมาต้อนรับหรือวิ่งมาส่งข้าพเจ้าตอนออกจากบ้าน หรือกลับจากโรงเรียน หมูก็จะทําตาม วิ่งตัวกลมตามรับตามส่งเหมือนสุนัขทั้งคู่
วันหนึ่งถึงเวลาที่พ่อขายลูกหมูในเล้าเพื่อให้คนที่รับซื้อเอาไปเลี้ยงต่อเพื่อขุนให้เป็นหมูตัวโตๆ ด้วยมีวิธีให้อาหารกันเป็นพิเศษ พ่อมิได้ขาย “เจ้าเตี้ย” ของข้าพเจ้า ทําให้ข้าพเจ้าดีอกดีใจพูดกับมันว่า
“เตี้ยเอ๊ย เจ้าเป็นหมูพิการนะ ขาก็สั้น หลังก็แอ่น คนเค้าเห็นเจ้าเตี้ยผิดรูปผิดทรงกระมั้ง เลยไม่มีใครเค้ายอมซื้อ โชคดีแล้วอยู่กับข้านี่แหละ จะหุงข้าวเลี้ยงทั้งหมาทั้งหมู เอาให้อ้วนตัวกลมไปด้วยกันเล้ย”
ข้าพเจ้าหุงข้าวเป็นตั้งแต่เด็ก เป็นการหุงแบบเช็ดน้ำ ข้าพเจ้าจะพยายามทําข้าวพลวก คือแกล้งให้เมล็ดข้าวไหลออกจากหม้อให้มากๆ แล้วก็จะเอาน้ำข้าวรวมทั้งเมล็ดข้าวที่หกจากหม้อครั้งละมากๆ นั้นไปต้มต่อให้สุก ก็จะกลายเป็นข้าวต้มชนิดข้น มีกับข้าวเศษแกง เศษผักก็จะต้มรวมไปด้วยกัน บ่อยครั้งที่แอบเอาน้ำปลาอย่างดีที่เรียกว่าหัวน้ำปลาใส่ลงไปให้มีรสเค็มนิดๆ หอมฟุ้งไปทีเดียว
เจ้าสุนัขเลี้ยง ๒ ตัวกับเจ้าเตี้ยก็จะกินกันท้องกางทั้งเช้าเย็น ยิ่งนานวันเจ้าเตี้ยก็ยิ่งกินจุเกินเพื่อนของมันเข้าทุกที ตัวของมันอ้วนใหญ่มากขึ้นๆ และมันก็รู้ภาษามากตามไปด้วย ข้าพเจ้าพูดสิ่งใด มันก็แสดงว่า เข้าใจรู้เรื่อง เช่นเรียกชื่อมันว่า “เตี้ย” มันก็จะหันหน้ามาหาทันที บอกว่า “มานี่” ก็จะเดินย้ายพุงมาหา ชี้มือบอกให้ไปเรียกเจ้าด่าง (สุนัข) มันก็จะวิ่งไปหาสุนัข มันแสดงอาการกันอย่างไรข้าพเจ้าไม่ทันดูให้ถี่ถ้วน แต่ เจ้าด่างก็วิ่งมาหาข้าพเจ้าได้
ตลอดเวลาในวัยเด็กที่ข้าพเจ้าได้เลี้ยงสัตว์ต่างๆ มาหลายชนิด ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่ามันเป็นเพียงสัตว์รู้สึกเหมือนเขาเป็นคนเป็นเพื่อนของตนเอง และเราก็สื่อความหมายกันรู้เรื่อง
ด้วยเหตุนี้ วันหนึ่งเมื่อกลับจากโรงเรียนมาและเจ้าเตี้ยหายไป เหมือนที่เพื่อนเป็ดกับเพื่อนไก่หายไปข้าพเจ้าก็รู้ด้วยสัญชาตญาณเช่นเคย “เตี้ยไปตายอีกแล้ว เตี้ยจากไปตายอีก”
คราวนี้ข้าพเจ้าไม่ได้ร้องโฮ โฮ เหมือนแต่ก่อน ความโศกเศร้ามีมากจนร้องไห้ไม่ออก ใจคอแห้งผาก ลําคอตีบตัน กินข้าวไม่ลงอยู่หลายมื้อ แต่มิได้แสดงให้พ่อรู้ว่าข้าพเจ้าเสียใจมาก สอนตนเองตามประสาเด็กว่า
“หมูก็ไปตายแล้ว ต่อว่าพ่อ พ่อก็ต้องเสียใจ เหมือนเราทําร้ายใจพ่ออีก เราก็ต้องเสียใจเพิ่มอีกเรื่องหนึ่ง ยังไงก็ให้เสียใจเรื่องเดียวเถอะ อย่าสองเรื่องสามเรื่องเลย”
แม้จะตัดใจคิดขนาดนี้ บ่อยครั้งยังต้องสะอื้นฮักๆ เมื่อเอาข้าวให้สุนัขกิน ต่อนี้ไปไม่เห็นหน้าเจ้าตัวที่สามอีกแล้ว
“เจ้าดำ เจ้าด่าง เอ็งคิดถึงเจ้าเตี้ยมันมั้ย” ข้าพเจ้ามักถามเจ้าสุนัขสองตัวด้วยน้ำตาไหลซึม มันไม่ตอบเป็นภาษาคนก็จริง แต่อาการของมันเหมือนจะรู้เรื่อง กินอาหารอย่างเหงาๆ บางทีก็กินไปนิดหน่อยแล้วหยุดกิน หันหน้ามองไปทางโน้นทางนี้ เหมือนมองหาเพื่อนที่เคยแย่งมันกินอย่างตะกละ เมื่อขาดหายไปไม่มีใครแย่งอาหารก็พลอยหมดรสลงไปด้วย
พ่อแม่คงจะดูอาการของข้าพเจ้าออก
นับตั้งแต่นั้นท่านก็ไม่ซื้ออะไรๆ มาให้ข้าพเจ้าเลี้ยงอีก ประกอบกับข้าพเจ้าเรียนจบชั้นประถมปีที่
๔ อันเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนประชาบาลในสมัยนั้น ต้องไปอาศัยบ้านญาติอยู่ในตัวเมืองเพื่อเรียนต่อในชั้นมัธยม
จึงเป็นอันเลิกเลี้ยงสัตว์ต่างๆ ไปโดยปริยาย แม้เรียนจบชั้นอุดมศึกษาออกประกอบอาชีพมีรายได้แล้ว
ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมเลี้ยงสัตว์อะไรๆ กระทั่งสุนัขหรือแมวก็ไม่ ยอมเลี้ยง
มีความรู้สึกเข็ดในความรัก จําได้ไม่เคยลืม เลี้ยงสิ่งใดก็ต้องรักสิ่งนั้น เมื่อรักแล้วก็ไม่อยากให้พลัดพรากจากกันไป
ซึ่งเป็นเรื่องห้ามไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องมีวันจากกันไม่จากตอนเป็นๆ ก็จากเพราะความตายมาแยก
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๒ บทที่ ๔
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๒ บทที่ ๔
รักที่แตกต่าง
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
01:27
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: