เมาทรัพย์
รายที่หนึ่ง
ข้าพเจ้ารู้จักคุณ ช. เนื่องจากเป็นกรรมการร่วมกันในมูลนิธิแห่งหนึ่ง เมื่อทํางานคุ้นเคยกันเป็นปีเข้า วันหนึ่งท่านก็ชวนกรรมการในมูลนิธินั้นรวมทั้งข้าพเจ้าด้วย ไปประชุมที่บ้านของท่าน ท่านพูดว่า
“ความจริงผมไม่อยากให้ใครเห็นบ้านของผมเลย เพราะเป็นอันตรายต่อตัวและครอบครัวของผมเองมาก ใครไม่เข้าใจจะกล่าวหาว่าผมทำเทียมเจ้า แต่คุณๆ ทุกคนเป็นคนดี ผมคุ้นเคยเป็นปีแล้วรู้สึกไว้วางใจ ผมขอเชิญไปที่บ้าน ถือว่าย้ายที่ประชุมสักครั้ง คงไม่เป็นไรนะครับ”
สมัยนั้นเป็นเวลาราวๆ ปี ๒๕๑๕ นักศึกษาสถาบันต่างๆ กําลังร่วมกันรังเกียจคนร่ำรวย ถือเป็นเศรษฐีนายทุนขูดรีด ทางฝ่ายปกครองบ้านเมืองก็เพ่งเล็งผู้มีฐานะดีมากๆ ว่าจะมีอาชีพไม่สุจริตอยู่เบื้องหลัง เช่น ค้าของหนีภาษี ค้ายาเสพติด ค้าอาวุธเถื่อน
ท่านเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่เกี่ยวกับการขายรถยนต์ของประเทศทางยุโรป และเป็นตัวแทนขายเครื่องจักรสําคัญๆ ของต่างประเทศ มีคนงานในบริษัททั้งหมดไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ คน สถานที่ทํางานเป็นตึกใหญ่มาก กินเนื้อที่ประมาณไม่น้อยกว่า ๒ ไร่ครึ่ง ตึกสูง ๖ ชั้น ชั้น ๑ - ๕ เป็นที่ทํางาน ท่านและครอบครัวอาศัยอยู่บนตึกชั้นที่ ๖
การเข้าบ้านท่านไม่ใช่ทําได้ง่ายๆ มียามตั้งแต่หน้าประตู และทุกชั้นของลิฟต์ ไม่มีบัตรอนุญาตไม่มีสิทธิ์เข้าไป
เมื่อขึ้นไปถึงชั้นสุดท้ายที่เรียกว่า บ้าน ข้าพเจ้าก็ถึงกับยืนงง เป็นอย่างที่เจ้าของบ้านพูดจริงๆ ว่า ใครไม่เข้าใจจะต้องหาว่าท่าน ทําเทียมเจ้า เพราะที่นั้นดูจะงามไม่แพ้ วัง หลายแห่งที่ข้าพเจ้าเคยพบมา
ในเนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่นั้น ซีกตะวันออกเป็นตัวบ้าน ส่วนซีกตะวันตกเป็นสระว่ายน้ำ โรงยิมเนเซียม (เล่นกีฬาชนิดต่างๆ ในร่ม) สนามแบดมินตัน สนามบาสเกตบอลเล็กๆ มีสวนดอกไม้ปลูกไว้อย่างงดงามมากจริงๆ จัดไว้พอเหมาะพอเจาะ
ด้านที่เป็นตัวบ้าน เมื่อย่างเข้าพ้นบริเวณประตู เหมือนเข้าไปในสวนสวรรค์ มีทั้งน้ำพุจริงและน้ำตกปลอม ที่เรียกว่าน้ำตกปลอมเพราะเป็นภาพน้ำตกขนาดใหญ่ แต่เมื่อเจ้าของกดสวิตซ์เปิดให้ไฟฟ้าทํางาน น้ำตกในภาพกลับเคลื่อนไหวได้ เหมือนเป็นน้ำตกธรรมชาติกําลังไหลอยู่ เพียงแต่ไม่ใช่กระแสน้ำจริงเท่านั้น
ข้าพเจ้ากับเพื่อนคนหนึ่งที่ไปด้วยกันจับมือกันอุทานด้วยความตื่นเต้น ขณะที่เดินชมห้องต่างๆ เพราะการตกแต่งและทรัพย์สิ่งของที่นำมาตกแต่งห้องหับต่างๆ ประมาณค่าไม่ได้ มีห้องที่เราเรียกกันว่าเป็นดังห้องพระเจ้าแผ่นดินจีน เพราะมีทรัพย์สมบัติของชนชั้นสูงชาวจีนจัดไว้เต็มไปหมด ทั้งห้องมีชุดรับแขกที่ทําด้วยมุก หยก และทอง แต่ละชิ้นล้ำค่าทั้งสิ้น ที่ข้าพเจ้ายืนมองค่อนข้างนานคงจะเป็นนกตัวใหญ่แกะสลักด้วยหยก รวมทั้งเทพธิดาจีนองค์หนึ่งสูงเกือบเท่าตัวคนจริงๆ เจ้าของบอกว่า ซื้อของชิ้นนั้นมาในราคา ๒๕ ล้านบาท สมัยเมื่อสิบปีก่อนเวลานั้น
ห้องที่ทําให้ต้องตกตะลึงอีกครั้ง คือห้องพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศส จัดด้วยเครื่องแต่งห้องของประเทศนั้น สวยงามวิจิตรพิสดาร มีหน้ามุขยื่นออกมาราวกับเรายืนอยู่ในพระราชวังจริงๆ
ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ล้วนมีอย่างละหลายแบบ ขนาดต้อนรับคน ๒-๔ คน ต้อนรับ ๑๐-๒๐ คน และที่เป็นห้องโถงใหญ่จุคนได้เป็นร้อย แต่ละห้องโอ่อ่า สวยงามไม่มีที่ติ บริษัทตกแต่งที่มีชื่อเสียงที่สุดจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นผู้ดําเนินการ ค่าตกแต่งหลายสิบล้านในสมัยนั้น
ห้องสําคัญอื่นๆ มีห้องพระมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่น้อยจัดไว้เป็นระเบียบสวยงาม มีจํานวนมากกว่าพระพุทธรูปในโบสถ์ของวัดหลายวัด ต่อไปเป็นห้องบูชาบรรพบุรุษ มีเครื่องบูชาอันประณีต มีภาพถ่ายขนาดใหญ่ของบิดามารดาเจ้าของบ้าน
ห้องอื่นๆ ที่เหลือก็งดงามไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมด ห้องสมุด ห้องดนตรี ห้องอาหาร ห้องครัว สําหรับห้องของบรรดาลูกชายหญิง ซึ่งดูเหมือนจะมีเพียง ๓ คน ก็จัดอย่างหรูหรายิ่งนัก
มีห้องที่สะดุดใจอีกห้องหนึ่ง ว่าที่จริงแล้วก็คือร้านเสริมสวยนี่เอง ครั้งแรกข้าพเจ้าสงสัย เพราะไปนึกเอาว่าเป็นร้านจริงๆ ลูกค้าที่ไหนจะขึ้นไปทําผมแต่งหน้าที่นั่น เมื่อสอบถามดูปรากฏว่าเป็นสถานที่ทําให้เฉพาะภรรยาและลูกสาวเจ้าของบ้านเท่านั้น จ้างช่างเสริมสวยทํางานประจำตัวไว้เฉพาะทีเดียว
ท่านอาจจะไม่เชื่อ เมื่อข้าพเจ้าไปดูที่พักของบรรดาลูกจ้างทั้ง ๑๗ คน ซึ่งมีหน้าที่ทํางานเฉพาะบริเวณบ้านชั้น ๖ แห่งนั้น ที่อยู่ของพวกเขาดีกว่าบ้านชาวบ้านทั่วๆ ไป อย่างเทียบกันไม่ได้
การได้พบเห็นบ้านเศรษฐีดังกล่าวแล้วนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่านั่นเป็นดั่งแดนสวรรค์ในเมืองมนุษย์ เจ้าของบ้านหน้าตามีสง่าภูมิฐาน เป็นดังเทพบุตรในวิมานนั้น ยิ่งเมื่อเขาแนะนําให้พวกข้าพเจ้ารู้จักภรรยา เราก็ต้อง อุทานในใจพร้อมกันว่า เธอเป็นเทพธิดาประจําวิมานจริงๆ ถึงจะเป็นสาวใหญ่ แต่ก็สวยสมวัย จนทําให้เราเข้าใจผิดว่า ท่านเจ้าของบ้านได้เธอมาเป็นภรรยาเพราะความร่ำรวยกระมัง แต่เมื่อฟังท่านเล่าประวัติชีวิตแล้ว จึงทราบว่า ทั้งคู่พบกันตั้งแต่วัยรุ่น ฝ่ายชายอายุ ๒๐ ปี ฝ่ายหญิง ๑๗ ปี ในงานสมรสของญาติผู้หนึ่ง เวลานั้นยังมีฐานะยากจนเป็นเพียงเสมียนของบริษัทแห่งหนึ่งเท่านั้น
อย่างไรก็ดีการได้เห็นความเป็นอยู่ของเศรษฐีผู้นี้ ทําให้ข้าพเจ้าได้ความคิดหลายประการ สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าคิดได้คือรู้สึกกลัวทรัพย์สมบัติที่เห็นเหล่านั้นเป็นกําลัง
“ถ้าเรามีทรัพย์อย่างนี้ เราจะดูแลอย่างไร ต้องป้องกันรักษา ต้องหวงแหนมีไว้เพียงเพื่อใช้มองตามลําพัง จะอวดใครๆ ก็เกรงคนไม่หวังดี เกรงคนร้ายในรูปแบบต่างๆ
ชีวิตของเรานึกอยากจะไปที่ไหน เมื่อมีกําลังกายกําลังทรัพย์ก็สามารถไปที่นั้นได้ ถ้าเป็นเศรษฐีอย่างนี้ น่ากลัวถูกจี้ปล้น ถูกจับเรียกค่าไถ่ ต้องกลัวคนร้ายกันทั้งบ้านตลอดเวลา ไม่สามารถไปดูทิวทัศน์จริงๆ ที่ไหนได้สะดวก ใช้เพียงภาพถ่ายบ้าง รูปวาดบ้าง มาดูแทนไปเท่านั้น จะได้ความสดชื่น ความอิ่มใจเหมือนได้สัมผัสของจริงอย่างไรกัน”
เห็นความเป็นอยู่ของเศรษฐีผู้นี้แล้ว ทําให้นึกถึงการสร้างบารมีของคนเรา หลักสําคัญข้อต้นอย่างน้อยต้องทําให้ครบคือ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
ให้ทาน มีอานิสงส์ให้เกิดภพใดชาติใด เป็นผู้มีทรัพย์สมบัติมั่งคั่งล้นเหลือ
รักษาศีล ทําให้เป็นคนบริบูรณ์ด้วยรูปสมบัติ รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณสวยงาม
เจริญภาวนา ทําให้เกิดแล้วเป็นผู้มีปัญญา รู้สิ่งใดตามความเป็นจริง อะไรควรทํา อะไรควรเว้นเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์มากที่สุด
เศรษฐีและภรรยารายที่ข้าพเจ้าเล่าถึงอยู่ คงจะทําทานและรักษาศีลมาเป็นอย่างดี จึงได้ร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัตินับพันๆ ล้าน แต่ถ้าจะให้ดียิ่งกว่านี้ควรเจริญปัญญาด้วย ไม่ว่าจะเป็นสุตตมยปัญญา จินตมยปัญญา หรือภาวนามยปัญญา จะได้ระลึกถึงความเป็นจริงได้ว่า สมบัตินับด้วยพันๆ ล้านนั้น ใช้บํารุงบําเรอตนเองและผู้คนในครอบครัวให้บริบรูณ์เต็มที่เพียงใด ร่างกายตนและคนเหล่านั้นก็ไม่หลุดพ้นจากความแก่ ความเจ็บไข้ และความตายในที่สุด เหมือนตั้งหน้าหาทรัพย์เลี้ยงสิ่งเนรคุณทรยศคดโกง ได้ประโยชน์บ้างก็เล็กน้อยเต็มที ใช้ได้เพียงแค่เลี้ยงดูผู้คนให้อยู่สบายในชาติปัจจุบัน ไม่ได้สิ่งใดติดตัวไปในปรภพด้วยเลย
แต่ถ้าเราใช้ทรัพย์เหล่านี้ไปทําประโยชน์ให้พระพุทธศาสนา สาธารณชน ให้ผู้มีโอกาสสร้างสมปัญญาเพื่อละกิเลสให้สิ้นไป ย่อมจะเป็นประโยชน์ติดต่อไปข้ามภพข้ามชาติ ได้บุญกุศลมหาศาลประมาณจำนวนไม่ได้เลย
รายที่สอง
รายนี้สามีเป็นทนายความที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของเมืองไทย ภรรยาเป็นแม่บ้าน ครอบครัวสมบูรณ์พูนสุขมาก ที่ข้าพเจ้าจําได้ไม่เคยลืมเลย เป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกชายวัย ๗-๘ ขวบ เพียงคนเดียวของเธอ
ครั้งหนึ่ง สตรีท่านนี้ได้เป็นกรรมการร่วมกันจัดงานช่วยเหลือนักเรียนขาดแคลนในโรงเรียนที่ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าสถานศึกษา ในการประชุมครั้งแรก เราประชุมกันที่โรงแรมใหญ่แห่งหนึ่ง เธอพาลูกชายของเธอมาด้วย เพราะเป็นเวลาปิดภาคเรียน
ครั้งนั้น ที่ประชุมให้ข้าพเจ้าชี้แจงความขาดแคลนของนักเรียนในด้านต่างๆ เมื่อข้าพเจ้าบรรยายโดยละเอียดว่า ขาดแคลนเครื่องเขียน แบบเรียน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย รองเท้า กระเป๋าหนังสือ ฯลฯ เด็กชายคนนั้นนั่งฟังเงียบๆ อย่างเข้าใจ
แต่เมื่อข้าพเจ้าชี้แจงความขาดแคลนเรื่องอาหาร โดยบอกที่ประชุมว่า นักเรียนยากจนเหล่านั้นไม่เคยมีอาหารกินในตอนเช้า ต้องหิวกันมาทุกคน ต้องเรียนหนังสือกันทั้งหิวๆ จนถึงเวลากลางวันจึงจะได้กินอาหารที่ได้รับทุนจากโรงเรียน ลูกชายของเธอก็ถามมารดาว่า
“แม่ครับ หิวนี่เป็นยังไงครับ ทําไมนักเรียนของอาจารย์คนนี้ ต้องหิวด้วยครับ”
ทุกคนในที่ประชุมเวลานั้น มองหน้าซึ่งกันและกันอย่างนึกไม่ถึง แต่ไม่มีใครตอบคําถามลูกเศรษฐีผู้นั้น ในที่สุดมารดาของเด็กจึงบอกกับทุกคนว่า
“ดิฉันเลี้ยงลูกมาตั้งแต่เกิด ไม่เคยปล่อยให้แกหิวเลย มีแต่ขอให้กินโน่นกินนี่อยู่เรื่อย แกเลยไม่รู้จักความหิวน่ะค่ะ” อธิบายเสร็จแล้วก็หันไปพูดกับลูกชาย
“วันนี้ลูกจะรู้จักความหิวแล้ว แม่ไม่ตอบนะคะว่าหิวมันเป็นยังไง แต่แม่จะให้หนูรู้จักความหิวด้วยตนเองเลยค่ะ”
ต่อจากนั้น เมื่อพนักงานนําเครื่องดื่มและอาหารว่างสิ่งใดมาเสิร์ฟให้คณะกรรมการรับประทาน ผู้เป็นแม่จะบอกให้เว้นลูกของเธอไม่ให้รับประทานสิ่งใดทั้งสิ้นแม้แต่น้ำเปล่า
เมื่อลูกชายมองหน้า ผู้เป็นแม่ก็พูดว่า “ลูกอยากรู้จักว่าความหิวเป็นยังไงใช่มั้ยคะ แม่ก็จะให้ลูกรู้จักวันนี้แหละค่ะ”
เวลาผ่านไป ๒-๓ ชั่วโมง ใกล้ถึงเวลารับประทานอาหารกลางวัน ลูกชายก็บอกแม่ว่า
“ท้องผมเป็นอะไรไม่รู้ มันไม่สบาย ในคอก็ไม่สบาย แล้วผมก็นึกอยากรับประทานอาหารจังเลยครับ มันเป็นอะไรครับแม่”
“นั่นแหละๆ เค้าเรียก “ความหิว” ไงล่ะลูก มันไม่สบายอย่างนั้น หนูรู้จักแล้วใช่มั้ย นี่ลูกเป็นโรคหิวแค่เพียงเล็กน้อย แต่นักเรียนยากจนเป็นโรคนี้กันทุกวัน วันละบ่อยๆ ค่ะ”
“รู้จักแล้วครับ ผมว่าถ้าผมได้กินอะไรสักหน่อย มันคงหายนะครับ” ลูกพูด
“ใช่จ้ะ กินอะไรสักหน่อยก็หาย เอ้า เอาเงินนี่ไปกับพี่คนนั้น ไปซื้ออะไรกินที่ห้องโน้น ให้พี่เค้าพาไปนะคะ”
ผู้เป็นแม่หยิบธนบัตรใบละ ๒๐ ให้ลูกถึง ๔ ใบ ทั้งที่เวลานั้นข้าวแกงหรือก๋วยเตี๋ยวทั่วๆ ไป ราคาจานละ ๑ บาทเท่านั้นเอง
ข้าพเจ้าเล่าให้ท่านฟัง เพื่อให้เห็นว่า คนที่ทําทานไว้มาก เมื่อบุญส่งผลได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้เป็นลูกเศรษฐี ไม่รู้จักความทุกข์ที่เกิดจากการหิวอย่างนี้เอง
รายที่สาม
สตรีผู้นี้อายุเวลานั้นยังไม่ถึง ๔๐ ปี ฐานะเดิมมาจากตระกูลมั่งคั่งอยู่แล้ว เมื่อมีสามีเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ รูปร่างหน้าตาชนิดต้องเล่นเป็นพระเอกในละครกิตติมศักดิ์อยู่เสมอ ภรรยาเองก็สวยพร้อมที่รูปร่างหน้าตาผิวพรรณและกิริยามารยาท ทั้งสองคนมีความรู้สูงขั้นปริญญาจากต่างประเทศ
สิ่งที่น่าปลาบปลื้มยินดียิ่งคือ ลูกชายหญิงทั้งสองคนซึ่งหน้าตาดีทั้งคู่ ซ้ำยังเป็นเด็กเรียนดีมาก สอบได้ที่หนึ่งเป็นประจําทั้งพี่ทั้งน้อง โดยเฉพาะลูกสาววัย ๑๗ ปี ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายชั้นสุดท้าย (มศ.๕) ใครเห็นเข้าจะต้องตื่นใจในความงามของเธอ หากส่งเข้าประกวดความงามที่ไหนคงจะต้องชนะเลิศแน่นอน เพียงแต่ไม่มีโอกาสเข้าประกวด เพราะเป็นที่หวงแหนของครอบครัว
ข้าพเจ้าได้เข้าเยี่ยมชมในบ้านของกรรมการสตรีท่านนี้ เวลานั้นเสียค่าก่อสร้างไปประมาณ ๑๖ ล้านบาท สิ่งที่ประทับใจข้าพเจ้ามากคือ เครื่องเรือนทุกชิ้นทําด้วยไม้สักแกะสลักอย่างประณีต สั่งทำเอง โดยเฉพาะ
แต่สิ่งประทับใจอีกอย่าง เพื่อนกรรมการอีกท่านหนึ่ง ท่านมากระซิบข้างหูข้าพเจ้าว่า
“อาจารย์ไปห้องน้ำด้วยกันหน่อยซีคะ”
“คุณเข้าก่อนเถอะคะ ดิชั้นยังไม่ปวด” ข้าพเจ้าตอบ
“ไปด้วยกันหน่อยเถอะน่า อยากให้ดูอะไรหน่อย เมื่อกี้ผ่านเห็นแวบเดียว ไม่จุใจ” ฝ่ายนั้นพูด
ข้าพเจ้าจึงตามเข้าไปดู พื้นบ้านทั้งหมดปูพรมสีต่างๆ ตามสีห้องเข้าชุดกับสีเครื่องแต่งห้อง โดยเฉพาะพรมที่ห้องนอนซึ่งหนามาก เวลาเดินเข้าไป พรมที่พองฟูอยู่นั้นถึงกับปกปิดหลังเท้าทั้งสองข้างจนมิด เป็นสัมผัสที่อ่อนนุ่มจริงๆ แต่ทั่วบ้านก็ไม่ทําให้ประหลาดใจเท่าห้องน้ำ
เพราะห้องน้ำก็มีพรมอย่างดีปูเข้ากับสีของตัวห้องเป็นสีเดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นของใช้ต่างๆ อันเป็นอุปกรณ์ประจํา ทั้งที่เคลื่อนที่ได้และไม่ได้ มีกลิ่นหอมอบอวลด้วยดอกกุหลาบในแจกันและกลิ่นน้ำยาปรับอากาศ ยังมีวิทยุเปิดเพลงเบาๆ เครื่องรับโทรทัศน์ขนาดย่อม ล้วนแต่สีเดียวกันทั้งสิ้น ห้องน้ำอยู่ในมุมที่เหมาะสมของตัวบ้าน มีอยู่ ๓-๔ แห่ง ไม่ซ้ำกันเลย ของในห้องเป็นชุดของใครของมัน
เพียงห้องน้ำห้องเดียว ราคาก็มากกว่าบ้านของข้าพเจ้าทั้งหลัง
ช่างเป็นที่อยู่ที่แสนสุขเสียจริง แม้แต่เวลาขับถ่ายยังมีเสียงเพลงเพราะๆ สัมผัสนุ่มนิ่มน่าพึงใจ ตาก็ได้เห็นของสวยๆ จากเครื่องใช้เครื่องประดับห้องอันประณีต ยังภาพวิวงามๆ ข้างผนัง น่าเสียดายที่ข้าพเจ้ามิได้เข้าไปในห้องสําหรับอาบน้ำ เห็นเฉพาะห้องส้วมก็ถึงกับไม่กล้าถ่ายเกรงจะทําเปื้อน
ผู้ที่มีความเป็นอยู่กันพรั่งพร้อมด้วยความสุข มีทรัพย์สมบัติล้นเหลือ ร่างกายสวยงามน่าชื่นชม เป็นเพราะผลบุญจากทานและศีล ส่วนปัญญาทางธรรมที่จะเห็นภัยในทุกข์จากวัฏสงสาร คือ ทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเกิดเพราะปัญญาที่สร้างสมไว้ในชาติปางก่อน ถ้ามีน้อยก็ทําให้ปัญญาใหม่ในชาตินี้เกิดได้ยากยิ่งขึ้น เพราะอำนาจทานและศีล ส่งผลให้พรั่งพร้อมด้วยความสุขในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เสียแล้ว จึงมักหลงมัวเมาในความสุขนั้น ชีวิตเมื่อขาดปัญญา พิจารณาให้เห็นตามความจริง ย่อมประมาท หลงใหลในเหยื่อล่อเหล่านั้น เมาในทรัพย์ เมาในยศ เมาในวัย เมาในคําสรรเสริญเยินยอ เมาในความสุขจากเบญจกามคุณทั้งปวง ลืมความจริงได้ง่าย
ดังนั้น การสร้างบุญให้เป็นบารมี จึงต้องสร้างให้ครบทั้งทาน ศีล ภาวนา
การเจริญภาวนาทําให้เกิดปัญญารู้ตามเป็นจริง ป้องกันความประมาทมิให้เกิด ปัญญาเองก็มีระดับต่างกัน ปัญญาในกายทิพย์ก็ดีกว่าปัญญาในกายมนุษย์ ปัญญาในกายพรหมก็ดีกว่าปัญญาในกายทิพย์ ปัญญาในกายธรรมก็ยิ่งรู้แจ้งเห็นจริงกว่ากายพรหม เราจะมีปัญญาในระดับต่างๆ เหล่านี้ไม่ใช่ต้องรอให้ตายแล้วไปเกิดในภูมินั้นๆ แต่เราสามารถกําหนดให้กายเหล่านั้นเกิดขึ้นได้เองที่ศูนย์กลางกาย แล้วสามารถใช้งาน คือใช้ปัญญาในกายที่เราเข้าถึง ทํางานพิจารณาความจริงได้ทันทีทั้งที่มีชีวิตอยู่ในขณะนี้
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล
เมาทรัพย์
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
02:46
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: