ทาสความรัก
แล้ววันหนึ่งราวเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๑ เด็กสาวชื่อ บุญมี คนใช้ของบ้านเศรษฐีตรงข้ามบ้านข้าพเจ้าก็วิ่งหน้าตาตื่น ปากคอสั่น มายืนเกาะรั้วละล่ำละลักเล่าเรื่องให้ฟัง
“คุณป้า ดูผู้หญิงคนนั้นซี โน่นๆ มันวิ่งเข้าไปแอบอยู่ในบ้านที่กำลังสร้างใหม่อยู่ โน่นๆ (พร้อมกับชี้มือ) มันมาแอบกดกริ่งที่ประตูบ้านหนู พอหนูเดินออกมาดู มันก็วิ่งหนี พอหนูเข้าไปทํางานบ้านต่อมันก็มากดกริ่งอีก ทํายังงี้ตั้ง ๓-๔ ครั้งแล้ว หนูทนไม่ไหวหนูก็เลยไล่ตะเพิดมันว่ามากดกริ่งเล่นทําไมกัน ไปให้พ้นนะ จะบ้ารึไง! พอหนูพูดเสร็จเท่านั้นแหละค่ะ มันด่าหนูไม่เลี้ยงเลยคุณป้า ใส่คะแนนไม่ทันทีเดียว ด่าเป็นชุดๆ ไม่ซ้ำกันเลย ล้วนแต่ถ้อยคําหยาบคายเรื่องเพศทั้งนั้น”
เธอกล่าวแล้วก็ยกตัวอย่างคําหยาบคายสัปดนต่างๆ ที่สตรีคนนั้นด่าเธอให้ข้าพเจ้าฟัง เสร็จแล้วคนเล่าก็ร้องไห้ พร้อมกับบ่นว่า
“หนูไม่ได้ว่าอะไรมันซักหน่อย ไล่มันไปให้พ้นหน้าบ้านเท่านั้น ทําไมต้องด่าหนูด้วย ฮือๆ”
ข้าพเจ้ามองดูสตรีนั้นตามที่เธอชี้ให้ดู ก็เห็นเดินเข้าไปในบ้านสร้างใหม่ที่เพิ่งเสร็จ ขณะที่เดินเข้าไปก็ยิ้มคนเดียว พูดคนเดียว เพราะเห็นปากขยับไปขยับมา จึงได้ปลอบอีกฝ่ายไปว่า
“เอ...ป้ามองดูแล้ว ป้าว่าเป็นคนบ้านะ ดูซี พูดคนเดียว หัวเราะคนเดียวได้ มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละ”
“บ้าทําไมมันรู้เรื่อง มันโกรธเป็น มันด่าถูกล่ะคะ มันด่าหนูเป็นไฟเลย”
“โบราณว่าอย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมาเลยนะลูก ขืนถือสาหาความกับเค้า เราก็ต้องบ้าตามเค้าไปด้วยแน่ๆ เพราะเค้าไม่มีสติคุ้มครองใจตัวเองซะแล้ว นึกอยากจะพูดจะทําอะไรก็ทําเลย ขาดสติสัมปชัญญะหมดแล้ว แต่ว่ายังมีความรู้สึกชอบใจ ไม่ชอบใจเหลืออยู่น่ะ” ข้าพเจ้าพูดให้เหตุผล แต่ดูอีกฝ่ายจะฟังคําอธิบายของข้าพเจ้าไม่ใคร่รู้เรื่อง เพราะยังบ่นกระปอดกระแปดว่า
“หนูไม่ยอมๆ มันด่าหนูนี่ หนูโกรธมัน หนูเกลียดมัน”
“แล้วจะเอายังไง จะแจ้งตํารวจมั้ยล่ะ แจ้งก็โทรศัพท์ไปซี หลักฐานไม่มี ป้าไม่ยอมเป็นพยานให้หรอก ป้าไม่ได้ยินตอนที่เค้าด่าหนูนี่ ป้าว่าทางที่ดีเข้าบ้านปิดประตูรั้วซะ เวลาเค้ามากดกริ่งอีกก็อย่าออกมาให้เห็นหน้า” ข้าพเจ้าปลอบพร้อมกับตัดบท อีกฝ่ายก็ยังว่า
“ก็หนูยังไม่หายโกรธที่มันด่าหนูนี่ มันอยากจะทําอะไรๆ ให้หายเจ็บใจ” ว่าแล้วบุญมีก็ทึ้งมือทึ้งไม้ตนเองด้วยโมโหค้าง ข้าพเจ้าจึงใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง
“ป้าแนะนําให้หนูก็ทําไม่ได้ เอายังงี้ดีมั้ยล่ะ ไปยืนด่ากะเค้าซะเลย เอาให้มันไปเลย”
“ไม่ได้ ไม่ได้ค่ะ หนูด่าไม่ทันมันแน่ๆ หนูด่าได้คําเดียว มันไปเป็นสิบๆ คำแล้ว”
“โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ เห็นมั้ยโน่น เค้าออกมายืนดูหนูฟ้องป้าแล้ว เดี๋ยวจะนึกโกรธว่าหนูมาฟ้องป้า เกิดบ้าดีเดือดขึ้นมาวิ่งมาตบตีเข้าละก็ป้าช่วยไม่ทันนะ อยู่นอกรั้วด้วย กุญแจป้าก็ยังไม่ทันเปิด” โดนเข้าไม้นี้ บุญมีก็หลงกล รีบวิ่งจู๊ดเข้าบ้านปิดประตูล็อกกุญแจเงียบไป
เมื่อบุญมีไปแล้ว ความคิดแวบเข้ามาหน่อยหนึ่งว่า
“อย่าไปยุ่งกะคนบ้าเข้าล่ะ เดี๋ยวถูกด่าเหมือนนางสาวบุญมีละก็ ไม่รู้จะวิ่งไปให้ใครปลอบ หรือจะปลอบตัวเองยังไงดี แล้วถ้าคนบ้าไม่ด่า เกิดพูดกันรู้เรื่อง เดี๋ยวก็อดสงสารไม่ได้ ก็จะต้องพลอยเป็นกังวลวุ่นไปด้วย ปล่อยไปตามกรรมของสัตว์เถอะใครทํากรรมใดไว้ก็รับเอาเอง”
ข้าพเจ้าคิดปลงใจ วางอุเบกขา แล้วก็เลิกสนใจ คงปฏิบัติกิจประจำวันไปตามเคย นั่งภาวนาตอนเช้า เพลก็พักรับประทานอาหาร บ่ายอ่านหนังสือธรรมะและเขียนเรื่องส่งโรงพิมพ์ ใกล้ๆ ๕ โมงเย็น ทําความสะอาดที่พัก จวนค่ำก็เดินออกกําลังกายไปมาในซอยคล้ายเดินจงกรม เสร็จแล้วอาบน้ำ ดูโทรทัศน์ภาคข่าว เพื่อใช้ประกอบการบรรยายธรรม จากนั้นฟังธรรมแล้วเจริญกรรมฐานเรื่อยไปจน ๕-๖ ทุ่ม จึงเข้านอน วันใดไปบรรยายธรรม สอนธรรมปฏิบัติก็มักต้องออกจากบ้านประมาณ ๑๐.๓๐ น. กลับมาประมาณ ๑๔.๐๐ น. – ๑๕.๐๐ น.
ใกล้ค่ำวันนั้น ข้าพเจ้าออกเดินไปเดินมาในซอยตามปกติเป็น เป็นซอยตันไม่มีคนหรือรถพลุกพล่านมีเข้าออกบ้างก็เป็นในหมู่บ้านเรากันเอง เมื่อเดินผ่านบ้านที่เพิ่งสร้างเสร็จหลังนั้น ข้าพเจ้ามองเห็นสตรีที่บุญมี เรียกว่าคนบ้ายังนั่งอยู่ตามลําพังคนเดียว เย็นโพล้เพล้ขมุกขมัวแล้ว ก็ไม่เดินทางกลับ ข้าพเจ้าจึงถามคนงานหญิงชื่อประมวล ซึ่งมีหน้าที่เฝ้าบ้านสองหลังที่เพิ่งปลูกเสร็จ
“มวล หนูพูดกะเค้ารู้เรื่องกันมั้ยนั่นน่ะ ลองถามเค้าดูรึเปล่า มานั่งอยู่ทําไมทั้งวัน”
“ถามแล้วจ้ะป้า บอกว่าจะมาหาแฟน อยู่บ้านนี้แหละแล้วทำไมไม่กล้าเข้าไปในบ้านก็ไม่รู้” ประมวลตอบพร้อมกับชี้มือไปที่บ้านราคาเหยียบล้านหลังหนึ่ง
ข้าพเจ้าคิดไตร่ตรองตาม บ้านนั้นเมื่อข้าพเจ้าย้ายมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เห็นมีแต่สามีหนุ่มภรรยาสาว และคนใช้ผู้หญิงอีกคนเดียว ไม่เห็นมีผู้ชายอื่นเลย แฟนของสตรีคนนั้นจะเป็นใครกันเล่า คิดแล้วก็เข้าบ้านพัก นั่งดูโทรทัศน์ไปได้สักครู่ เด็กบุญมีคนเก่าก็มายืนเรียก
“คุณป้าคะ คุณป้าคะ ตั้งแต่ตอนสายๆ จนถึงนี่จะสองทุ่มแล้ว คนบ้านี่มันยังไม่ได้กินอะไรเลยค่ะป้า”
“อ้าว ยังไง เห็นเมื่อตอนกลางวัน โกรธเอาเป็นเอาตาย นี่สงสารแล้วเหรอ”
“เมื่อกลางวัน หนูยังไม่ปักใจเชื่อว่าเค้าบ้านี่คะ มันก็เลยทำใจไม่ได้ โกรธแทบตาย ตอนนี้เชื่อแล้วค่ะ”
ข้าพเจ้าจึงต้องถามสาเหตุที่ทำให้เธอเชื่อ ก็ได้คำตอบว่า
“ก็เค้าไม่รู้จักอายเหมือนพวกเรานี่คะ ต่อหน้าคนงานผู้ชายที่มาปูกระเบื้อง ๓-๔ คน เค้าปวดปัสสาวะก็ไม่ยอมไปส้วม เปิดก้นนั่งฉี่ที่พื้นดินต่อหน้าพวกผู้ชายเลย พอพวกนั้นมอง กลับทําตาหวานให้ด้วย พวกคนงานนั้นหนีกันแน่บ มาฟ้องหนูกันใหญ่”
“แล้วไง ตอนนี้หายโกรธแล้ว จะเอาข้าวไปให้กินเหรอ นี่ก็เกือบสองทุ่ม บ้านหนูมีข้าวรึเปล่าล่ะลูก บ้านป้าไม่มีใครกินข้าวเย็น เลยไม่ได้หุง มีส้มกับกล้วยจะเอาไปให้มั้ยล่ะ” ข้าพเจ้าแนะนําบุญมี
“หนูไปแล้วค่ะคุณป้า ไปถามว่าหิวข้าวมั้ย จะหาอะไรมาให้กิน เค้ายังไม่หายโกรธ ค้อนหนูปะหลับปะเหลือก ด่าต่ออีก แต่เสียงไม่ดังมาก ขมุบขมิบพอได้ยินคําตอนท้ายๆ ว่า กูไม่กินของมึงๆ หนูหมดปัญญาช่วยแล้ว ปล่อยตามเรื่องนะคะ ขืนนั่งอยู่ยังงั้นยุงหามตายเลยค่ะ”
เมื่อตอนกลางวัน ข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่า อย่าไปยุ่งด้วยนะ กะคนบ้าน่ะ เดี๋ยวถูกด่าเข้า ตัวเองพอข่มใจไม่โกรธไม่เอาเรื่องได้ ให้อภัยได้ แต่จะไปทําให้คนบ้ามีบาปเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะด่าคนถือศีลปฏิบัติธรรม แต่พอบุญมีมาพูดเรื่องคนบ้าอดข้าวทั้งวัน แถมนั่งให้ยุงกัดจนมืดไม่ยอมไปไหน ความคิดของข้าพเจ้าก็เปลี่ยนแปลงไป
เด็กผู้หญิงคนนี้อายุก็คงเท่าๆ กับลูกสาวของเรา ความทุกข์ที่ทำให้ถึงกับเป็นบ้าได้สําหรับผู้หญิงวัยอย่างนี้ น่าจะมีเพียงเรื่องเดียวคือ เรื่องความรัก เรื่องเพศตรงข้าม เออ...ถ้าลูกของเราไปตกระกําลําบากอย่างนี้บ้างล่ะ... คิดได้เพียงเท่านี้ก็ให้รู้สึกสมเพชเวทนา จึงคิดจะไปไต่ถามหาอาหารให้กินเท่าที่พอมีให้ พอดีคนใช้อีกบ้านหนึ่งซึ่งออกมายืนดูอยู่ ได้ยินข้าพเจ้าปรึกษากับบุญมี แกก็ปราดเข้ามาห้ามข้าพเจ้า
“อย่านะคุณป้า อย่าไปให้กิน ถ้ามีของให้กินละก็ ทีนี้มันไม่ไปไหนเลย มันต้องอยู่นี่แน่ๆ ป้าจะเลี้ยงมันไหวเหรอ”
ข้าพเจ้าฟังแล้วสงสัยเต็มที ทําไมผู้หญิงจิตไม่ปกติคนนี้จึงต้องอยู่ที่นี่ ต้องซักถามกันให้รู้เรื่อง พอจับความจากคําบอกเล่าของคนใช้ที่ออกมาห้ามได้ว่า สตรีคนนี้เคยเป็นคนใช้อยู่บ้านหลังราคาเหยียบล้านที่ถูกอ้างว่า เป็นบ้านแฟนนั่นเอง ต่อมาแอบได้เสียกับช่างทาสี เมื่องานปลูกบ้านจัดสรรแล้วเสร็จ ช่างสีผู้นั้นก็หนีหายไปทํางานที่อื่นต่อ ไม่ได้พาหญิงผู้นี้ไปด้วย เธอคงเสียใจจนเสียสติ นั่งร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้างคนเดียว จนนายจ้างสังเกตเห็น จึงได้พาไปส่งที่โรงพยาบาลศรีธัญญา เธอได้คลอดลูกที่นั่นคนหนึ่ง ทางโรงพยาบาลเห็นว่าอาการค่อยยังชั่วขึ้นมากจึงปล่อยตัวออกมา โดยส่งลูกของเธอไปสถานเลี้ยงเด็กกําพร้า หญิงผู้นี้กลับมาที่บ้านของนายจ้างอีกครั้ง นายจ้างได้อ้างว่าเขาจ้างคนใช้คนใหม่เสียแล้ว ขอให้กลับไปบ้านเดิม
เมื่อเธอกลับไปบ้านเดิม ปรากฏว่าบิดาของเธอถึงแก่กรรมไปก่อนหน้าไม่มากนัก (มารดาตายไปหลายปีแล้ว) ที่บ้านไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ เหลืออยู่เลย ชาวบ้านซึ่งก็ยากจนด้วยกันมาขนเอาไปจนหมด เธอจึงไปหาปู่ ซึ่งบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัด ท่านก็ไม่สามารถให้ความอุปการะใดๆ ได้มากนัก คงขอให้กลับมาบ้านนายจ้างอีก ในขณะที่เธอเดินทางกลับไปกลับมาวุ่นอยู่อย่างนี้ ได้ถูกผู้ชายหลอกเอาอีก คราวนี้ถูกนําไปขายซ่องโสเภณี ทําให้สติฟั่นเฟือนไปอีกครั้ง หัวหน้าซ่องเห็นไม่เป็นเรื่อง ปล่อยตัวออกมา เธอไม่รู้จะไปไหน จําได้อยู่แต่บ้านนายจ้าง จึงต้องกลับมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ
“เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็มาหนหนึ่งค่ะ คุณนายบ้านเก่า (นายจ้างเก่า) เค้าก็ให้ลูกจ้างคนใหม่ออกมาไล่ มันก็ด่าใส่คะแนนไม่ทันเหมือนที่ด่าบุญมีนั้นแหละ เจ้านั่นกลัวหัวหดไม่กล้าออกมาไล่อีกเลย คุณนายจึงให้ปิดประตูใส่กุญแจตลอดเวลา กลัวมันผลุนผลันเข้าไปทําร้ายเอา คราวนั้นมาอยู่ ๒ วัน จึงไป”
“คุณนายเค้าให้ข้าวกินรึเปล่าหนู” ข้าพเจ้าถาม
“โอ๊ย ไม่มีทางเลยคุณป้า ทั้งบ้านเค้าเลย นายผู้หญิงนายผู้ชาย ยังแม่ของนายผู้ชายที่ขับรถมาทุกเย็นๆ นั่นด้วย สั่งห้ามคนใช้เด็ดขาด ไม่ให้อะไรกินเลย เดี๋ยวจะเคยตัว ไม่ยอมไปไหน”
ฟังเด็กลูกจ้างบ้านข้างๆ ตอบแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกสลดใจจนพูดไม่ถูก คนเราเคยอยู่บ้านเดียวกันมาเป็นปีๆ พอกลายเป็นคนป่วยเสียสติ ทำไมจึงไม่มีความเมตตาอยู่ในหัวใจบ้างเลย นึกถึงสุนัขกลางถนน ๓-๔ ตัวที่ชอบวิ่งมากินเศษอาหารที่ข้าพเจ้าใส่ชามวางไว้หน้าบ้าน มันไม่เคยทําบุญคุณอะไรให้ข้าพเจ้าเลย ปะเหมาะยังถ่ายมูลสกปรกที่ถนนทางเข้าบ้านเสียอีกด้วยซ้ำ ข้าพเจ้ายังให้อะไรๆ มันกิน นี่เป็นคนที่เขาเคยใช้สอยกันมาตั้งหลายปี ช่างไม่มีน้ำใจให้กันบ้างเลยหรือ
ข้าพเจ้าได้ชี้แจงกับเด็กสาวที่มาห้ามข้าพเจ้าว่า
“ป้าทําใจดําอย่างบ้านนายจ้างเก่านั้นไม่ลงหรอกลูก หมากลางถนนเรายังให้มันกิน แต่นี่เป็นคนนะเท่าที่เราเห็นนี่ก็วันหนึ่งเต็มๆ แล้ว ไม่มีอะไรกินเลยแม้แต่น้ำ ถ้าป้าไม่ได้ให้อะไรเค้ากินซักนิดซักหน่อย คืนนี้ป้าคงนอนไม่หลับแน่ๆ ป้าจะให้เพื่อความสบายใจของป้าเองต่างหาก จะเคยตัวไม่เคยตัวเอาไว้ว่ากันวันหลัง คิดดูนะ ถ้าชีวิตหนูเป็นอย่างนี้บ้าง มายืนอยู่หน้าบ้านป้ายังงี้ แล้วป้าก็ไม่ยอมให้อะไรหนูกินเลยล่ะลูก หนูจะหาว่าป้าใจร้ายรึเปล่า”
ข้าพเจ้าพูดเอาตัวเขาเข้าไปเปรียบ อีกฝ่ายคงพอคิดได้จึงเลิกเถียง เดินตามข้าพเจ้าไปสังเกตการณ์ ก่อนไปถึงที่สตรีนั้นนั่งอยู่ ข้าพเจ้าตั้งจิตแผ่เมตตาไปตลอดทุกย่างก้าวที่เดิน หญิงนั้นมองข้าพเจ้าด้วยความหวาดระแวง แต่ไม่แสดงปฏิกิริยา ทําอาการอึกอักๆ เมื่อได้ยินคําถาม
“หนู นั่งอยู่ที่นี่นานแล้ว หิวข้าวหรือเปล่าลูก” ข้าพเจ้าถามซ้ำ ๒-๓ ครั้ง
“หิวมั้ยลูก ป้าไม่มีข้าวเย็นเหลืออยู่เลย ถ้าหนูหิว ป้าจะต้มข้าวให้กินจ้ะ”
ข้าพเจ้าถามดังนั้นเพราะไม่มีกับข้าวอะไรๆ ที่กินกับข้าวสวย แต่มีผักกาดหวาน หมูหย็องกระเทียมดอง กุ้งแห้งพอเป็นกับข้าวข้าวต้มได้ สตรีนั้นพยักหน้ารับ ไม่ออกเสียงใดๆ ข้าพเจ้าต้มข้าวต้มหม้อเล็กๆ ให้เธอ แถมด้วยส้มและกล้วย เธอก็ฉลองศรัทธากินจนหมด แล้วก็นั่งนิ่งต่อไปในที่มืดๆ
เด็กสาวที่ชื่อประมวลพูดกับข้าพเจ้าว่า
“คุณป้า ถ้าเค้าไม่ไปไหนนั่งอยู่ที่นี่ทั้งคืนละก็ หนูเป็นนอนไม่หลับแน่ ไหนจะยุงกัด ไหนจะฝนตก ไหนจะหนาว จะทํายังไงดีคะป้า”
“เอายังงี้มั้ย เดี๋ยวป้าเอามุ้งมาให้ เสื่อกับผ้าห่มของคนงานที่เค้าทิ้งเอาไว้มีมั้ย ให้ไปนอนในโรงสังกะสีที่ยังไม่ได้รื้อนั่นก็ได้” ประมวลรับคำว่ามีของเหล่านั้นอยู่
ข้าพเจ้านํามุ้งและสายไฟหลอดไฟไปต่อให้ เป็นอันว่าคืนนั้นเธอนอนอยู่ตามที่คนงานหญิงชื่อประมวลจัดให้ ตอนดึกทั้งพายุทั้งฝนตกลงมาอย่างหนัก ถ้าเป็นที่นั่งเดิมเธอจะต้องเปียกโชกทั้งตัว
เป็นจริงตามที่เด็กลูกจ้างข้างบ้านบอกไม่มีผิด สตรีนั้นไม่ยอมกลับไปที่ใด คงนั่งอยู่ในบริเวณก่อสร้างนั้นทุกวัน ข้าพเจ้าจึงต้องรับหน้าที่อุปถัมภ์ เสื้อผ้า อาหาร ของใช้ เช่น ผงซักฟอก แชมพู สบู่ ยาสีฟันแปรงสีฟัน เพราะถ้าไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนแล้วเธอก็จะยืนแก้ผ้าอาบน้ำอย่างสง่าผ่าเผย ไม่มีการอายใครๆ ถ้ามีผ้าจึงจะนุ่งอาบ ถ้าเสื้อผ้าที่ให้ไม่ใหม่ สีสันไม่ถูกใจ เธอก็จะโยนทิ้ง
เมื่อตอนที่ข้าพเจ้ายังไม่ทันนําผ้าถุงไปให้เธอ ข้าพเจ้าไปพบเธอกำลังแก้ผ้าอาบน้ำอยู่ข้างบ้านพักคนงาน เห็นท้องของเธอโตผิดสังเกต เวลาธรรมดาเธอก็มักบ้วนน้ำลายทิ้งอยู่ตลอดเวลา ลักษณะเหมือนคนแพ้ท้อง แต่เมื่อถามดูเธอก็ตอบไม่รู้เรื่อง กลับตอบไปแต่เรื่องฝังใจอื่นๆ ชอบพูดประโยคซ้ำๆ ว่า
“ป้า ไอ้คานมันเอาของของหนูไปหมด เงินมันก็เอาไป กระเป๋าเสื้อผ้ามันก็เอาไป แล้วยังพาหนูไปอยู่ที่มีผู้หญิงอยู่เยอะๆ หลายๆ คน พอตอนเย็นๆ ก็แต่งตัวกันซ้วยสวยทุกเย็น”
บางทีก็ว่า “โกหร่าย เค้ารักหนูนะ เค้าบอกว่าจะซื้อสร้อยข้อมือให้หนูเส้นนึง แล้วจะให้ตังค์หนูด้วย แล้วก็จะขับรถพาหนูไปส่งบ้าน”
ประโยคหลังนี่พูดบ่อยมากจนข้าพเจ้าต้องถามหาตัวคนชื่อ โกหร่าย ได้ความรู้จากเด็กประมวลว่า
“โกหร่าย ก็นายผู้ชายเก่าเค้านั้นแหละค่ะป้า มันคงจะหลงรักเค้า ป้าไม่รู้อะไร ตอนนี้มันคอยมองเค้า
ทุกวัน
พอตอนเช้าก็ไปแอบอยู่ข้างรั้วบ้านเค้า คอยดูเวลาเค้าขับรถออกไปทํางาน
ตอนเย็นก็ไปคอยนั่งเฝ้าอยู่ที่ถนนหน้าบ้าน พอเห็นรถเค้าเลี้ยวเข้ามา ก็วิ่งหนีจู๊ดไปคอยแอบดู
ทำท่าดีอกดีใจ นี่ลงทุนเอาตะปูเจาะอิฐบล็อกกําแพงบ้านเค้าเป็นรูหน่อยนึงเลยค่ะ เอาไว้ยืนแอบดูเวลาคุณผู้ชายเค้าอยู่ในบ้าน”
“โธ่ถังเอ๊ย นี่มันคงจะหลงรักนายผู้ชายของมันตั้งแต่อยู่ด้วยกันแล้วซีเนี่ย ก็น่าอยู่หรอก นายเค้าเป็นคนหนุ่มรูปหล่อมาก ไม่แพ้พระเอกหนังจีนคนหนึ่งทีเดียวนี่” ข้าพเจ้าอุทาน
“กลางคืนตอนเค้าเข้านอนในมุ้งนะป้า หนูย่องไปแอบฟังเค้าพูดเสียงอ่อนเสียงหวานอยู่คนเดียว ออกชื่อคุณโกหร่ายแกนั่นแหละ ทําเหมือนเค้าคุยอยู่ด้วยกันตามลําพังสองคน เดี๋ยวก็หัวเราะคิกคักๆ เดี๋ยวก็ร้องไห้ ตัดพ้อต่อว่า รําพันไปต่างๆ นานา ยายนี่มันบ้าผู้ชายเสียแล้วค่ะ พวกคนงานมาทําบ้านต้องพากันวิ่งหนีเกรียวเลยเวลามันเดินไปหา” เด็กประมวลเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงอาการบ้า
กรณีของหญิงคนนี้ ทําให้ข้าพเจ้าใคร่ครวญคิดไปถึงคนบ้า รายต่างๆ ที่ได้พบหรือได้ยิน ได้ฟังจากคําบอกเล่า คนบ้าก็คือคนที่เสียสติ ไม่มีการควบคุมอารมณ์ได้เหมือนคนปกติ อะไรก็ตามที่เขาคิดขึ้นมาได้ขณะใด เขาก็จะทําตาม พูดตามที่คิด ไม่มีสติหักห้ามใจว่า ควรสํารวมระวังการแสดงออกอย่างใดบ้าง หญิงคนนี้ก่อนบ้าคงจะต้องแอบรักใคร่หลงใหลใฝ่ฝันเจ้านายผู้ชายของตนเอง แต่ไม่ได้รับความสําเร็จ ก็ผูกใจคิดอยู่ไม่เลิกรา จนเป็นมโนกรรมที่ทําเป็นอาจิณ ไม่ยอมหักห้ามแก้ไขใจตนในยามสติยังไม่สูญเสียไป ตนเองย่อมรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ จึงได้หันไปสนใจช่างทาสี จนพลาดพลั้งเสียทีถูกหลอกให้เสียตัว แล้วถูกทอดทิ้ง พอเป็นคนบ้า แทนที่จะนึกถึงเรื่องที่เป็นสาเหตุให้ขาดสติหรือเรื่องร้ายแรงอื่นๆ เช่น นึกถึงช่างทาสี นึกถึงคนที่หลอกไปขายซ่อง ก็ไม่ใคร่นึก เพราะไม่ใช่คนที่ตนรักมากที่สุด มานึกถึง “โกหร่าย” อยู่เป็นประจํา จนต้องพาตัวมานั่งเฝ้าดูอยู่ข้างบ้าน
หรืออย่างรายที่เวลาปกติชอบเที่ยวบาร์เที่ยวคลับหิ้วผู้หญิงโสเภณีเป็นอาจิณณกรรม พอถูกรถชน สมองกระทบกระเทือน จําอะไรอื่นไม่ได้ ก็พร่ำเพ้อแต่เรื่องสมสู่ทางเพศ ลูกสาวของข้าพเจ้าเป็นพยาบาล เล่าให้ฟังถึงคนไข้ประเภทนี้ว่า
“แม่คะ เค้าเพ้อแต่เรื่องสัปดน พยาบาลคนไหนเดินเข้าไปใกล้เตียง ก็เที่ยวเอามือไขว่คว้าจะกอดบ้าง จับตัวบ้าง พวกหนูต้องคอยออกให้ห่างเตียงเข้าไว้ พูดก็มีแต่คําเรียกอวัยวะเพศ หนูภาวนาแทบเป็นแทบตายยังไง บางครั้งก็ข่มความโกรธแทบไม่ไหว มันอยากจะซัดซักเปรี้ยงสองเปรี้ยง เผื่อจะหายน่ะค่ะ”
“เดี๋ยวจะตายน่ะซีไม่ว่า อย่าเชียวนะลูก นั่นเค้าคนป่วยนะ เค้าบ้าได้ เราเป็นคนดี ไปทํายังงั้นได้ยังไง ก็แย่กว่าคนป่วยซี ให้ลูกเอามาคิดปลงดู เห็นมั้ยคนเราตอนดีๆ อยู่ปล่อยให้จิตคุ้นเคยกับเรื่องชนิดอะไร เรื่องพวกนั้นมันก็ฝังใจอยู่ลึกๆ ตลอดเวลานั่นแหละ พอไม่มีอะไรควบคุม มันแสดงออกมาหมดเลย เราอย่าได้โง่อย่างคนพวกนี้เลยลูก เราหาแต่เรื่องดีๆ ให้จิตคิดดีกว่า เวลาเป็นอะไร จิตจะได้คิดแต่เรื่องดีๆ จะพูด จะทำอะไรก็ล้วนแต่เรื่องดีๆ หนูจําอาจารย์...ได้มั้ย แกชอบทําบุญเลี้ยงพระเป็นที่หนึ่งเลย ของที่ใช้เลี้ยงพระก็ชอบทําเอง พอเป็นโรคเกี่ยวกับสมองเส้นโลหิตฝอยแตก แกพูดแต่เรื่องเลี้ยงพระ เรื่องซื้อของทําอาหารถวายพระ ใครฟังแล้วก็เห็นเป็นเรื่องน่ารัก แม่ไปเยี่ยม แม่ยังคุยกับแกเป็นเรื่องสนุกไปเลย ทํากับข้าวด้วยปากกันเป็นชั่วโมง คนป่วยก็ดีอกดีใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส คุยอย่างมีความสุขจนหลับ”
พอถึงรายนี้ลูกสาวข้าพเจ้าเรียกว่า คุณบ๊อง ลูกพูดว่า
“หนูไม่ชอบคุณบ๊องของแม่เลยค่ะ เค้ามาทําให้แม่เหนื่อย ต้องเป็นภาระหาอาหารให้กินวันละ ๓ เวลา หนูซื้ออะไรมาให้แม่ หนูก็อยากให้แม่ของหนูกินให้อิ่มๆ ไม่ใช่ต้องมาเห็นแม่แบ่งให้คนบ้ากินยังงี้ ของบางอย่างหนูสู้ไม่ยอมกิน แต่ซื้อมาให้แม่กิน พอหนูเห็นแม่เอาไปให้เค้าใจหนูไม่ได้บุญเลย หนูเสียดายน่ะค่ะ ตัวหนูยังอด แล้วทําไมคนบ้าได้กินจนอิ่ม หนูรู้นะคะว่าคิดยังงี้ไม่ถูก แต่ก็อดคิดไม่ได้สักทีค่ะ”
ข้าพเจ้าฟังลูกพูดแล้วก็ต้องปลงใจว่า “เจ้าบ๊องเอ๋ย บาปกรรมเรื่องผิดศีลข้อ ๓ เจ้าก็ทําไว้มาก ชาตินี้ต้องมาถูกหลอกลวงทอดทิ้ง ถูกขายซ่อง เจ้ายังทําบุญเรื่องการบริจาคทานไว้น้อยเสียอีก ใครๆ ก็ไม่ยอมเลี้ยงเจ้าเลย แม้แต่ข้าจะเต็มใจเลี้ยงเจ้า กรรมของเจ้ายังไปบันดาลใจให้ลูกสาวข้าคิดรังเกียจเจ้าถึงขนาดนั้นอีก ก็ลูกข้านั้นแต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนมีเมตตานัก เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจต่อคนยากไร้เจ็บป่วย นี่มาคิดรังเกียจเจ้าลง เจ้านี่มันกรรมหนักแท้ที่เดียว”
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็พูดให้ลูกสงสารสมเพชเวทนาเจ้าบ๊องจนได้ ประโยคที่ทําให้แกใจอ่อนก็คือ
“ลูกเอ๋ย เจ้าบ๊องนี่มันปีเดียวกับหนู อายุเท่ากันเลย แม่เห็นมันเข้าก็นึกถึงหนูนั่นแหละว่า ถ้าชีวิตของหนูเป็นอย่างมัน แม่คงต้องตายแน่ๆ แม่คงทนเห็นไม่ไหว แต่โชคดีที่ลูกมีบุญมาก บุญคุ้มครองรักษาชีวิตลูกให้มีแต่ความสุขความเจริญ ไม่ตายทั้งเป็นยังงี้ แม่อุปถัมภ์เจ้าบ๊องมัน ก็พร่ำอธิษฐานให้บุญที่แม่ทําครั้งนี้ช่วยปกป้องคุ้มครองลูกของแม่ ให้ร่มเย็นเป็นสุข ไม่พบวิบัติภัยอันตรายใดๆ อย่างเจ้าบ๊อง”
ถึงแม้จะหมดปัญหาเรื่องลูกรังเกียจไปแล้ว แต่เจ้าบ๊องก็ต้องอิ่มบ้าง อดบ้างไปตามเรื่อง วันใดข้าพเจ้าออกจากบ้านไปบรรยายธรรมและสอนธรรมปฏิบัติกลับมาช้า เจ้าบ๊องก็ต้องกินอาหารกลางวันเอาถึงบ่าย ๒-๓ โมง บางทีต้องรวบเป็นมื้อเดียวกับตอนเย็นไปเสียเลย อยู่มา ๒-๓ เดือน เด็กประมวลก็ปรารภกับข้าพเจ้าว่า อีกไม่ช้าผู้รับเหมาจะต้องรื้อโรงสังกะสีที่พักคนงานออก เจ้าบ๊องจะไปอยู่ไหน ท้องก็เริ่มโตจนเห็นได้ชัด ข้าพเจ้าจึงไปปรึกษานักสังคมสงเคราะห์ที่กรมประชาสงเคราะห์ และไปที่สภาสตรีแห่งชาติ ซึ่งมีสถานรับเลี้ยงดูหญิงมีปัญหา ซึ่งทั้งสองแห่งก็เต็มใจรับให้อยู่
ครั้นพอผู้คุ้นเคยกับข้าพเจ้าคนหนึ่งเอื้อเฟื้อเช่าแท็กซี่มารับตัว คุณบ๊องก็ไม่ยอมไป เถียงกับข้าพเจ้าว่า
“หนูไม่ไป ป้าจะเอาหนูไปขายซ่องใช่มั้ย หนูไม่ไปหรอก”
เมื่อเธอไม่ยอมไป ก็ไม่มีใครกล้าบังคับ พอดีโกหร่าย นายจ้างเก่าของเธอกลับจากทํางานขับรถมาถึงบ้าน ข้าพเจ้าจึงไปขอร้องให้เขาช่วยพูด เจ้าบ๊องมีความสุขจนเห็นได้ชัดเมื่อชายคนนั้นพูดด้วย บ็องไม่ยอมเลิกคุย ทําจริตกิริยาเอียงอายจนกระทั่งใครๆ ก็ดูออก โดยเฉพาะนายผู้หญิงซึ่งเป็นภรรยาถึงกับแสดงอาการกระเง้ากระงอดใส่สามี ส่วนฝ่ายชายไม่มีทีท่าสนใจผิดปกติใดๆ
ถึงจะเต็มใจพูดคุยอย่างดีใจแค่ไหน บ๊องก็ไม่ตกลงยอมไปอยู่สถานที่รับเลี้ยงเหล่านั้น โกหร่ายก็หมดปัญญา จากวันนั้น บ๊องก็ฟุ้งซ่านเพิ่มขึ้น
เจ้าบ๊องออกไปยืนด่าทอนายผู้หญิงคนเก่าของตน หาว่าแย่งแฟนตนไปบ้าง ลูกที่เลี้ยงกันอยู่นั่นก็เป็นลูกของตนที่ถูกขโมยเอาไป พอคนส่งหนังสือพิมพ์เอาหนังสือพิมพ์รายวันมาส่ง เจ้าบ๊องก็ไปหยิบเอามาไว้ที่ตน พอลูกจ้างเขาจะมาขอคืน บ๊องก็อาละวาดไล่ทําร้าย เด็กคนนั้นวิ่งมาฟ้องข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าเอาข้าวไปให้กินตามปกติจึงถามว่า
“หนู ไปเอาหนังสือพิมพ์ของเค้ามาทําไม”
บ๊องก็ตอบข้าพเจ้าว่า “หนูอยากให้โกหร่ายเค้ามาขอจากหนูคืนเอง”
ตอบแล้วก็ทําอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หลงใหลเคลิบเคลิ้ม ข้าพเจ้าต้องปลงสังเวช “เออ...หลงรักรูปหล่อของเค้าจนบ้าก็ยังไม่หายรัก”
เมื่อแย่งหนังสือพิมพ์มา ไม่ว่าจะกี่ฉบับก็ตาม ฝ่ายชายก็ไม่มาขอคืน บ๊องก็ใช้วิธีกดกริ่งหน้าบ้านตอนดึกๆ ทําให้ไม่เป็นอันหลับอันนอน ลูกเล็กๆ ของบ้านโกหร่ายก็ผวาตื่นร้องจ้าไปด้วย ท้ายที่สุดโกหร่ายก็เป็น คนไปแจ้งความให้เจ้าหน้าที่ตํารวจมาพาตัวไปหลายคราว พาไปสอบสวนแล้วก็ไม่มีโทษร้ายแรง ทางโรงพักก็ปล่อยตัวออกมาอีก บ๊องก็ไม่เลิกรบกวน ยังพูดขู่จะทําร้ายนายผู้หญิง ซึ่งนอกจากเธอจะเป็นชาวต่างชาติแล้ว ยังตัวเล็กและอายุน้อยกว่า นายผู้หญิงวิ่งมาขอร้องข้าพเจ้าให้ช่วยเธอ ข้าพเจ้าจึงใช้ไม้ตายพูดกับบ๊องว่า ถ้าไม่ยอมไปอยู่สถานที่ราชการที่หาให้ ข้าพเจ้าก็จะไม่สนใจหาอาหารหรืออะไรๆ ให้กินแล้ว
“หนูดื้อจังเลยนะ ป้าจะให้ไปอยู่ที่สบายๆ ก็ไม่ไป ป้าเบื่อหนู ป้าขอเลิกเลี้ยงหนูแล้วละ” ข้าพเจ้าแกล้งพูดให้บ๊องเห็นว่าตนเองหมดที่พึ่ง จะได้ยอมไปกับข้าพเจ้า
แต่ข้าพเจ้าคะเนใจของคนบ้าผิดไปถนัด บ๊องหนีไปในวันนั้นเอง จะไปไหนไม่มีใครทราบ ข้าพเจ้าเสียใจเล็กน้อยที่เขาไม่เห็นความหวังดีของข้าพเจ้า แล้วก็ปลงใจเป็นปกติ อีกสองวันต่อมา ลูกจ้างของบ้านอีกหลังหนึ่งก็มาบอกว่า เห็นบ๊องนั่งตากแดดตากฝนอยู่ข้างถนน ห่างจากหมู่บ้านของเรา ๓๐๐-๔๐๐ เมตร เย็นนั้นฝนตั้งเค้ามาดําทะมึน ข้าพเจ้าต้องเดินถือร่มออกเดินตามหา บ๊องแสดงกิริยางอนกระฟัดกระเฟียดใส่ข้าพเจ้าอย่างมาก ข้าพเจ้าต้องพูดชี้แจงด้วยถ้อยคําอ่อนหวานต่างๆ
“ป้าไม่ได้รังเกียจหนูนะลูก ป้าพอมีข้าวเลี้ยงหนูได้ วันนั้นป้าแกล้งพูดจ้ะ หนูจะได้ไปกะป้า แต่ถ้าลูกไม่เต็มใจไปอยู่สถานที่ราชการอย่างนั้นก็อยู่ที่เดิมนี่ไปก็แล้วกัน ป้าก็เลี้ยงหนูเหมือนเก่า มานั่งตากแดดตากฝนให้ยุงกัดอยู่อย่างนี้ได้ยังไง กลับไปอยู่ที่โรงสังกะสีอย่างเดิมเถอะลูก
ข้าพเจ้ากล่าวอ้อนวอน พร้อมทั้งชี้ให้บ๊องดูทั้งเม็ดผื่นที่ขึ้นตามแขนขาของเขาที่ยุงกัดเอาไว้ตลอดสองคืนที่หนีออกมา ในที่สุดผู้คนก็มายืนรุมดูข้าพเจ้าพูดกับคนบ้า ต่างคนพอเข้าใจเรื่อง ต่างก็พากันช่วยอ้อนวอน ข้าพเจ้าเห็นบ๊องใจอ่อนลงแล้ว จึงพูดว่า
“ป้ากลับไปก่อนนะ เดี๋ยวหนูกลับไปอยู่ที่เก่านะลูก ป้าจะตักข้าวไปวางไว้ให้กิน นี่อดมาตั้งสองวันแล้ว คงหิวแย่” ข้าพเจ้าพูดตัดบท เพราะรู้ว่าเป็นคนบ้าที่มีทิฏฐิ ต้องให้เขากลับเอง ยังไงก็ไม่ยอมตามกลับโดยดี
เดินกลับมา ข้าพเจ้าก็คิดตลอดทาง เรานี่พูดกะคนบ้าดีกว่าพูดกับลูกซะอีก กะลูกยังไม่เคยง้องอนกันขนาดนี้เลย แต่จะให้ดูดายก็ทําไม่ได้อีกเหมือนกัน ก็พยายามช่วยเหลือเท่าที่ทําได้ก็แล้วกัน
บ๊องกลับมาอยู่ที่เดิมต่อมาอีกระยะหนึ่ง แล้วก็มีอาการกําเริบอย่างเก่า พร่ำเพ้อถึงโกหร่าย ตอนกลางวันถึงกับไปยืนด่าเอ็ดอึงอยู่ที่หน้าบ้านแทบตลอดวัน ทําให้ภรรยาของโกหร่ายไม่กล้าออกนอกบ้าน ทั้งนายทั้งคนใช้ไม่ได้ออกไปตลาดจับจ่ายซื้อหากับข้าวกับปลา นั่งกลัวแต่คนบ้าอยู่ในบ้าน ท้ายที่สุดก็ต้องมีการแจ้งความให้ตํารวจมาจับตัวกันอีก บ๊องหนีขึ้นไปแอบอยู่ในส้วมชั้นบนของบ้านหลังใหม่ ตํารวจมาครั้งแรกหาไม่พบจึงกลับไป ตอนเย็นบ๊องคงจะหิวจึงเดินออกมาให้ข้าพเจ้าเห็น ข้าพเจ้านำอาหารไปให้เหมือนเช่นเคย บ๊องอ้อนวอนข้าพเจ้าว่า “ป้าอย่าบอกใครนะว่าหนูอยู่ในส้วมนั่น”
ข้าพเจ้าไม่รับคําเธอ เพราะคราวนี้ตํารวจจะพาเธอไปโรงพยาบาลรักษาให้หายจากวิกลจริต จึงจําเป็นต้องบอกภรรยาของโกหร่าย ว่าบ๊องอยู่ที่ไหน ที่สุดตํารวจมาพาไปส่งโรงพยาบาลบ้านสมเด็จฯ หายไปประมาณ ๒ เดือนเศษ ก็ถูกปล่อยมาตามเดิม คราวนี้เรียบร้อยไม่อาละวาด แต่ยังคงมีหน้าที่แอบดู “โกหร่าย” เหมือนเช่นเดิม
ข้าพเจ้าเลี้ยงบ๊องต่อมาอีกหลายเดือนกระทั่งข้าพเจ้าล้มป่วยด้วยโรคน้ำท่วมปอด จะเดินทางไปพักรักษาตัวที่ต่างจังหวัด จึงได้ฝากเงินให้ลูกจ้างข้างบ้านไว้จ่ายเป็นค่าอาหารให้บ๊องทุกๆ วัน
จากกันไปหนึ่งเดือน เมื่อกลับมา เด็กที่รับฝากเงินข้าพเจ้าไว้ เล่าว่า
“พอคุณป้าไปได้ราวสิบกว่าวัน บ้านใหม่ที่สร้างเสร็จแล้วนี่ เค้าก็เอาประตูรั้วมาติด วันหนึ่งบ๊องออกไปเดินเล่นตอนเย็น คนงานเค้าปิดประตูรั้วก่อนกลับ ตกค่ำราวสองทุ่มบ๊องกลับมา เข้าไปอยู่ในโรงสังกะสีของตัวไม่ได้ ก็เลยเดินออกไป ตั้งแต่นั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย ก่อนไปเค้ามาพูดลาหนู หนูยังให้สตางค์เค้าไปด้วยร้อยกว่าบาท”
“ดูเค้าพูดรู้เรื่องแล้วยัง ตอนก่อนจากหนูไป”
“เหมือนคนปกติแล้วนะคะ เพียงแต่บอกว่าไม่อยากทำงานอะไรๆ อยากจะอยู่เฉยๆ”
“เราคงหมดหนี้เวรกะเค้าแล้วนะ ทําให้ได้เลิกเลี้ยงซะที” ข้าพเจ้าตอบอย่างรู้สึกโล่งอก ถ้าสตรีผู้นี้ยังอยู่ คราวนี้ข้าพเจ้าคงลําบากมาก เพราะข้าพเจ้ายังไม่หายป่วยสนิท จะรับภาระดูแลตนเองก็แทบไม่ไหว จะดูแลเธอต่อไปได้อีกอย่างไร
เล่าเรื่องนี้เป็นตัวอย่างแก่ลูกหลานผู้หญิงทั้งหลายว่า ไม่ควรปล่อยใจให้หลงใหลในรูปร่างน้ำคําของผู้ชายง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรักเขาข้างเดียวหรือรักกันทั้งสองข้างก็ตาม ล้วนแต่สามารถทําพิษภัยให้แก่ชีวิตได้ทั้งสิ้น ทําให้เสียอนาคตลงทั้งหมด เกิดมาเสียชาติเกิดไปเปล่าๆ
รูป คือสิ่งที่เห็นได้ด้วยตา รูปที่ดีงามทําจิตใจให้หลงใหลได้ง่าย อาจเป็นคนด้วยกันก็เรียกว่ารูป อาจเป็นทรัพย์สมบัติ วัตถุสิ่งของก็เรียกว่ารูป เช่น เงินทอง เครื่องประดับตกแต่ง จะแต่งตัว หรือแต่งสถานที่อยู่อาศัย ล้วนแต่เป็นการหลงใหลในรูปทั้งสิ้น คนบางคนยอมทุ่มเงินซื้อของเก่าๆ เช่น ภาพวาดโบราณ เครื่องลายคราม เทวรูปเก่าๆ สิ่งประดิษฐ์งามๆ นี่ก็เป็นอาการของการติด “รูป” ทั้งสิ้น
รูปที่น่ากําหนัดรักใคร่พอใจ ย้อมใจให้หลงใหล หลงรัก เมื่อรักหลงแล้วก็อยากได้ เมื่ออยากได้ก็ต้องแสวงหา เมื่อแสวงหาก็ต้องมีการแย่งชิง แย่งชิงไม่ได้ก็เศร้าโศกเสียใจ แย่งมาได้โดยไม่ชอบก็ต้องหวาดกลัว ถ้าแย่งได้โดยชอบธรรม เช่น การซื้อ การขอ ก็ยังต้องเป็นทุกข์ด้วยการดูแลรักษา ต้องยอมเป็นทาสในสิ่งที่ตนเองหลงรัก
แม้ลงทุนกระทั่งยอมเป็นทาสปฏิบัติปรนเปรอบํารุงบําเรอทุกอย่างแล้ว ก็ใช่ว่าจะหนีความพลัดพรากจากกันพ้น ต้องจากกันในวันหนึ่งจนได้ ไม่จากกันทั้งเป็นก็ต้องตายจากกัน ไม่เขาตายจากก่อนเราก็เป็นฝ่ายตายจากไปก่อน รูปต่างๆ ในโลกนี้จึงไม่ใช่สิ่งยั่งยืน
ดูเถิด ชีวิตผู้คนในโลกใครที่ขาดปัญญาก็จะต้องติดอยู่ในรูป รักใคร่พอใจในรูปซึ่งกันและกัน ไม่ได้ดังปรารถนาก็เป็นทุกข์ถึงตายถึงบ้า ที่สมปรารถนาก็ต้องยอมเป็นบ่าวเป็นทาส ยอมทํามาหากินด้วยความเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสเพื่อบํารุงบําเรอสิ่งที่ตนรัก บางทีหมดเวลาไปทั้งชีวิตเพื่อความเป็นทาสอย่างเดียว ไม่ได้มีปัญญาคิดสร้างบารมีใดๆ
“โธ่ถังเอ๊ย นี่มันคงจะหลงรักนายผู้ชายของมันตั้งแต่อยู่ด้วยกันแล้วซีเนี่ย ก็น่าอยู่หรอก นายเค้าเป็นคนหนุ่มรูปหล่อมาก ไม่แพ้พระเอกหนังจีนคนหนึ่งทีเดียวนี่” ข้าพเจ้าอุทาน
“กลางคืนตอนเค้าเข้านอนในมุ้งนะป้า หนูย่องไปแอบฟังเค้าพูดเสียงอ่อนเสียงหวานอยู่คนเดียว ออกชื่อคุณโกหร่ายแกนั่นแหละ ทําเหมือนเค้าคุยอยู่ด้วยกันตามลําพังสองคน เดี๋ยวก็หัวเราะคิกคักๆ เดี๋ยวก็ร้องไห้ ตัดพ้อต่อว่า รําพันไปต่างๆ นานา ยายนี่มันบ้าผู้ชายเสียแล้วค่ะ พวกคนงานมาทําบ้านต้องพากันวิ่งหนีเกรียวเลยเวลามันเดินไปหา” เด็กประมวลเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงอาการบ้า
กรณีของหญิงคนนี้ ทําให้ข้าพเจ้าใคร่ครวญคิดไปถึงคนบ้า รายต่างๆ ที่ได้พบหรือได้ยิน ได้ฟังจากคําบอกเล่า คนบ้าก็คือคนที่เสียสติ ไม่มีการควบคุมอารมณ์ได้เหมือนคนปกติ อะไรก็ตามที่เขาคิดขึ้นมาได้ขณะใด เขาก็จะทําตาม พูดตามที่คิด ไม่มีสติหักห้ามใจว่า ควรสํารวมระวังการแสดงออกอย่างใดบ้าง หญิงคนนี้ก่อนบ้าคงจะต้องแอบรักใคร่หลงใหลใฝ่ฝันเจ้านายผู้ชายของตนเอง แต่ไม่ได้รับความสําเร็จ ก็ผูกใจคิดอยู่ไม่เลิกรา จนเป็นมโนกรรมที่ทําเป็นอาจิณ ไม่ยอมหักห้ามแก้ไขใจตนในยามสติยังไม่สูญเสียไป ตนเองย่อมรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ จึงได้หันไปสนใจช่างทาสี จนพลาดพลั้งเสียทีถูกหลอกให้เสียตัว แล้วถูกทอดทิ้ง พอเป็นคนบ้า แทนที่จะนึกถึงเรื่องที่เป็นสาเหตุให้ขาดสติหรือเรื่องร้ายแรงอื่นๆ เช่น นึกถึงช่างทาสี นึกถึงคนที่หลอกไปขายซ่อง ก็ไม่ใคร่นึก เพราะไม่ใช่คนที่ตนรักมากที่สุด มานึกถึง “โกหร่าย” อยู่เป็นประจํา จนต้องพาตัวมานั่งเฝ้าดูอยู่ข้างบ้าน
หรืออย่างรายที่เวลาปกติชอบเที่ยวบาร์เที่ยวคลับหิ้วผู้หญิงโสเภณีเป็นอาจิณณกรรม พอถูกรถชน สมองกระทบกระเทือน จําอะไรอื่นไม่ได้ ก็พร่ำเพ้อแต่เรื่องสมสู่ทางเพศ ลูกสาวของข้าพเจ้าเป็นพยาบาล เล่าให้ฟังถึงคนไข้ประเภทนี้ว่า
“แม่คะ เค้าเพ้อแต่เรื่องสัปดน พยาบาลคนไหนเดินเข้าไปใกล้เตียง ก็เที่ยวเอามือไขว่คว้าจะกอดบ้าง จับตัวบ้าง พวกหนูต้องคอยออกให้ห่างเตียงเข้าไว้ พูดก็มีแต่คําเรียกอวัยวะเพศ หนูภาวนาแทบเป็นแทบตายยังไง บางครั้งก็ข่มความโกรธแทบไม่ไหว มันอยากจะซัดซักเปรี้ยงสองเปรี้ยง เผื่อจะหายน่ะค่ะ”
“เดี๋ยวจะตายน่ะซีไม่ว่า อย่าเชียวนะลูก นั่นเค้าคนป่วยนะ เค้าบ้าได้ เราเป็นคนดี ไปทํายังงั้นได้ยังไง ก็แย่กว่าคนป่วยซี ให้ลูกเอามาคิดปลงดู เห็นมั้ยคนเราตอนดีๆ อยู่ปล่อยให้จิตคุ้นเคยกับเรื่องชนิดอะไร เรื่องพวกนั้นมันก็ฝังใจอยู่ลึกๆ ตลอดเวลานั่นแหละ พอไม่มีอะไรควบคุม มันแสดงออกมาหมดเลย เราอย่าได้โง่อย่างคนพวกนี้เลยลูก เราหาแต่เรื่องดีๆ ให้จิตคิดดีกว่า เวลาเป็นอะไร จิตจะได้คิดแต่เรื่องดีๆ จะพูด จะทำอะไรก็ล้วนแต่เรื่องดีๆ หนูจําอาจารย์...ได้มั้ย แกชอบทําบุญเลี้ยงพระเป็นที่หนึ่งเลย ของที่ใช้เลี้ยงพระก็ชอบทําเอง พอเป็นโรคเกี่ยวกับสมองเส้นโลหิตฝอยแตก แกพูดแต่เรื่องเลี้ยงพระ เรื่องซื้อของทําอาหารถวายพระ ใครฟังแล้วก็เห็นเป็นเรื่องน่ารัก แม่ไปเยี่ยม แม่ยังคุยกับแกเป็นเรื่องสนุกไปเลย ทํากับข้าวด้วยปากกันเป็นชั่วโมง คนป่วยก็ดีอกดีใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส คุยอย่างมีความสุขจนหลับ”
พอถึงรายนี้ลูกสาวข้าพเจ้าเรียกว่า คุณบ๊อง ลูกพูดว่า
“หนูไม่ชอบคุณบ๊องของแม่เลยค่ะ เค้ามาทําให้แม่เหนื่อย ต้องเป็นภาระหาอาหารให้กินวันละ ๓ เวลา หนูซื้ออะไรมาให้แม่ หนูก็อยากให้แม่ของหนูกินให้อิ่มๆ ไม่ใช่ต้องมาเห็นแม่แบ่งให้คนบ้ากินยังงี้ ของบางอย่างหนูสู้ไม่ยอมกิน แต่ซื้อมาให้แม่กิน พอหนูเห็นแม่เอาไปให้เค้าใจหนูไม่ได้บุญเลย หนูเสียดายน่ะค่ะ ตัวหนูยังอด แล้วทําไมคนบ้าได้กินจนอิ่ม หนูรู้นะคะว่าคิดยังงี้ไม่ถูก แต่ก็อดคิดไม่ได้สักทีค่ะ”
ข้าพเจ้าฟังลูกพูดแล้วก็ต้องปลงใจว่า “เจ้าบ๊องเอ๋ย บาปกรรมเรื่องผิดศีลข้อ ๓ เจ้าก็ทําไว้มาก ชาตินี้ต้องมาถูกหลอกลวงทอดทิ้ง ถูกขายซ่อง เจ้ายังทําบุญเรื่องการบริจาคทานไว้น้อยเสียอีก ใครๆ ก็ไม่ยอมเลี้ยงเจ้าเลย แม้แต่ข้าจะเต็มใจเลี้ยงเจ้า กรรมของเจ้ายังไปบันดาลใจให้ลูกสาวข้าคิดรังเกียจเจ้าถึงขนาดนั้นอีก ก็ลูกข้านั้นแต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนมีเมตตานัก เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจต่อคนยากไร้เจ็บป่วย นี่มาคิดรังเกียจเจ้าลง เจ้านี่มันกรรมหนักแท้ที่เดียว”
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็พูดให้ลูกสงสารสมเพชเวทนาเจ้าบ๊องจนได้ ประโยคที่ทําให้แกใจอ่อนก็คือ
“ลูกเอ๋ย เจ้าบ๊องนี่มันปีเดียวกับหนู อายุเท่ากันเลย แม่เห็นมันเข้าก็นึกถึงหนูนั่นแหละว่า ถ้าชีวิตของหนูเป็นอย่างมัน แม่คงต้องตายแน่ๆ แม่คงทนเห็นไม่ไหว แต่โชคดีที่ลูกมีบุญมาก บุญคุ้มครองรักษาชีวิตลูกให้มีแต่ความสุขความเจริญ ไม่ตายทั้งเป็นยังงี้ แม่อุปถัมภ์เจ้าบ๊องมัน ก็พร่ำอธิษฐานให้บุญที่แม่ทําครั้งนี้ช่วยปกป้องคุ้มครองลูกของแม่ ให้ร่มเย็นเป็นสุข ไม่พบวิบัติภัยอันตรายใดๆ อย่างเจ้าบ๊อง”
ถึงแม้จะหมดปัญหาเรื่องลูกรังเกียจไปแล้ว แต่เจ้าบ๊องก็ต้องอิ่มบ้าง อดบ้างไปตามเรื่อง วันใดข้าพเจ้าออกจากบ้านไปบรรยายธรรมและสอนธรรมปฏิบัติกลับมาช้า เจ้าบ๊องก็ต้องกินอาหารกลางวันเอาถึงบ่าย ๒-๓ โมง บางทีต้องรวบเป็นมื้อเดียวกับตอนเย็นไปเสียเลย อยู่มา ๒-๓ เดือน เด็กประมวลก็ปรารภกับข้าพเจ้าว่า อีกไม่ช้าผู้รับเหมาจะต้องรื้อโรงสังกะสีที่พักคนงานออก เจ้าบ๊องจะไปอยู่ไหน ท้องก็เริ่มโตจนเห็นได้ชัด ข้าพเจ้าจึงไปปรึกษานักสังคมสงเคราะห์ที่กรมประชาสงเคราะห์ และไปที่สภาสตรีแห่งชาติ ซึ่งมีสถานรับเลี้ยงดูหญิงมีปัญหา ซึ่งทั้งสองแห่งก็เต็มใจรับให้อยู่
ครั้นพอผู้คุ้นเคยกับข้าพเจ้าคนหนึ่งเอื้อเฟื้อเช่าแท็กซี่มารับตัว คุณบ๊องก็ไม่ยอมไป เถียงกับข้าพเจ้าว่า
“หนูไม่ไป ป้าจะเอาหนูไปขายซ่องใช่มั้ย หนูไม่ไปหรอก”
เมื่อเธอไม่ยอมไป ก็ไม่มีใครกล้าบังคับ พอดีโกหร่าย นายจ้างเก่าของเธอกลับจากทํางานขับรถมาถึงบ้าน ข้าพเจ้าจึงไปขอร้องให้เขาช่วยพูด เจ้าบ๊องมีความสุขจนเห็นได้ชัดเมื่อชายคนนั้นพูดด้วย บ็องไม่ยอมเลิกคุย ทําจริตกิริยาเอียงอายจนกระทั่งใครๆ ก็ดูออก โดยเฉพาะนายผู้หญิงซึ่งเป็นภรรยาถึงกับแสดงอาการกระเง้ากระงอดใส่สามี ส่วนฝ่ายชายไม่มีทีท่าสนใจผิดปกติใดๆ
ถึงจะเต็มใจพูดคุยอย่างดีใจแค่ไหน บ๊องก็ไม่ตกลงยอมไปอยู่สถานที่รับเลี้ยงเหล่านั้น โกหร่ายก็หมดปัญญา จากวันนั้น บ๊องก็ฟุ้งซ่านเพิ่มขึ้น
เจ้าบ๊องออกไปยืนด่าทอนายผู้หญิงคนเก่าของตน หาว่าแย่งแฟนตนไปบ้าง ลูกที่เลี้ยงกันอยู่นั่นก็เป็นลูกของตนที่ถูกขโมยเอาไป พอคนส่งหนังสือพิมพ์เอาหนังสือพิมพ์รายวันมาส่ง เจ้าบ๊องก็ไปหยิบเอามาไว้ที่ตน พอลูกจ้างเขาจะมาขอคืน บ๊องก็อาละวาดไล่ทําร้าย เด็กคนนั้นวิ่งมาฟ้องข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าเอาข้าวไปให้กินตามปกติจึงถามว่า
“หนู ไปเอาหนังสือพิมพ์ของเค้ามาทําไม”
บ๊องก็ตอบข้าพเจ้าว่า “หนูอยากให้โกหร่ายเค้ามาขอจากหนูคืนเอง”
ตอบแล้วก็ทําอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หลงใหลเคลิบเคลิ้ม ข้าพเจ้าต้องปลงสังเวช “เออ...หลงรักรูปหล่อของเค้าจนบ้าก็ยังไม่หายรัก”
เมื่อแย่งหนังสือพิมพ์มา ไม่ว่าจะกี่ฉบับก็ตาม ฝ่ายชายก็ไม่มาขอคืน บ๊องก็ใช้วิธีกดกริ่งหน้าบ้านตอนดึกๆ ทําให้ไม่เป็นอันหลับอันนอน ลูกเล็กๆ ของบ้านโกหร่ายก็ผวาตื่นร้องจ้าไปด้วย ท้ายที่สุดโกหร่ายก็เป็น คนไปแจ้งความให้เจ้าหน้าที่ตํารวจมาพาตัวไปหลายคราว พาไปสอบสวนแล้วก็ไม่มีโทษร้ายแรง ทางโรงพักก็ปล่อยตัวออกมาอีก บ๊องก็ไม่เลิกรบกวน ยังพูดขู่จะทําร้ายนายผู้หญิง ซึ่งนอกจากเธอจะเป็นชาวต่างชาติแล้ว ยังตัวเล็กและอายุน้อยกว่า นายผู้หญิงวิ่งมาขอร้องข้าพเจ้าให้ช่วยเธอ ข้าพเจ้าจึงใช้ไม้ตายพูดกับบ๊องว่า ถ้าไม่ยอมไปอยู่สถานที่ราชการที่หาให้ ข้าพเจ้าก็จะไม่สนใจหาอาหารหรืออะไรๆ ให้กินแล้ว
“หนูดื้อจังเลยนะ ป้าจะให้ไปอยู่ที่สบายๆ ก็ไม่ไป ป้าเบื่อหนู ป้าขอเลิกเลี้ยงหนูแล้วละ” ข้าพเจ้าแกล้งพูดให้บ๊องเห็นว่าตนเองหมดที่พึ่ง จะได้ยอมไปกับข้าพเจ้า
แต่ข้าพเจ้าคะเนใจของคนบ้าผิดไปถนัด บ๊องหนีไปในวันนั้นเอง จะไปไหนไม่มีใครทราบ ข้าพเจ้าเสียใจเล็กน้อยที่เขาไม่เห็นความหวังดีของข้าพเจ้า แล้วก็ปลงใจเป็นปกติ อีกสองวันต่อมา ลูกจ้างของบ้านอีกหลังหนึ่งก็มาบอกว่า เห็นบ๊องนั่งตากแดดตากฝนอยู่ข้างถนน ห่างจากหมู่บ้านของเรา ๓๐๐-๔๐๐ เมตร เย็นนั้นฝนตั้งเค้ามาดําทะมึน ข้าพเจ้าต้องเดินถือร่มออกเดินตามหา บ๊องแสดงกิริยางอนกระฟัดกระเฟียดใส่ข้าพเจ้าอย่างมาก ข้าพเจ้าต้องพูดชี้แจงด้วยถ้อยคําอ่อนหวานต่างๆ
“ป้าไม่ได้รังเกียจหนูนะลูก ป้าพอมีข้าวเลี้ยงหนูได้ วันนั้นป้าแกล้งพูดจ้ะ หนูจะได้ไปกะป้า แต่ถ้าลูกไม่เต็มใจไปอยู่สถานที่ราชการอย่างนั้นก็อยู่ที่เดิมนี่ไปก็แล้วกัน ป้าก็เลี้ยงหนูเหมือนเก่า มานั่งตากแดดตากฝนให้ยุงกัดอยู่อย่างนี้ได้ยังไง กลับไปอยู่ที่โรงสังกะสีอย่างเดิมเถอะลูก
ข้าพเจ้ากล่าวอ้อนวอน พร้อมทั้งชี้ให้บ๊องดูทั้งเม็ดผื่นที่ขึ้นตามแขนขาของเขาที่ยุงกัดเอาไว้ตลอดสองคืนที่หนีออกมา ในที่สุดผู้คนก็มายืนรุมดูข้าพเจ้าพูดกับคนบ้า ต่างคนพอเข้าใจเรื่อง ต่างก็พากันช่วยอ้อนวอน ข้าพเจ้าเห็นบ๊องใจอ่อนลงแล้ว จึงพูดว่า
“ป้ากลับไปก่อนนะ เดี๋ยวหนูกลับไปอยู่ที่เก่านะลูก ป้าจะตักข้าวไปวางไว้ให้กิน นี่อดมาตั้งสองวันแล้ว คงหิวแย่” ข้าพเจ้าพูดตัดบท เพราะรู้ว่าเป็นคนบ้าที่มีทิฏฐิ ต้องให้เขากลับเอง ยังไงก็ไม่ยอมตามกลับโดยดี
เดินกลับมา ข้าพเจ้าก็คิดตลอดทาง เรานี่พูดกะคนบ้าดีกว่าพูดกับลูกซะอีก กะลูกยังไม่เคยง้องอนกันขนาดนี้เลย แต่จะให้ดูดายก็ทําไม่ได้อีกเหมือนกัน ก็พยายามช่วยเหลือเท่าที่ทําได้ก็แล้วกัน
บ๊องกลับมาอยู่ที่เดิมต่อมาอีกระยะหนึ่ง แล้วก็มีอาการกําเริบอย่างเก่า พร่ำเพ้อถึงโกหร่าย ตอนกลางวันถึงกับไปยืนด่าเอ็ดอึงอยู่ที่หน้าบ้านแทบตลอดวัน ทําให้ภรรยาของโกหร่ายไม่กล้าออกนอกบ้าน ทั้งนายทั้งคนใช้ไม่ได้ออกไปตลาดจับจ่ายซื้อหากับข้าวกับปลา นั่งกลัวแต่คนบ้าอยู่ในบ้าน ท้ายที่สุดก็ต้องมีการแจ้งความให้ตํารวจมาจับตัวกันอีก บ๊องหนีขึ้นไปแอบอยู่ในส้วมชั้นบนของบ้านหลังใหม่ ตํารวจมาครั้งแรกหาไม่พบจึงกลับไป ตอนเย็นบ๊องคงจะหิวจึงเดินออกมาให้ข้าพเจ้าเห็น ข้าพเจ้านำอาหารไปให้เหมือนเช่นเคย บ๊องอ้อนวอนข้าพเจ้าว่า “ป้าอย่าบอกใครนะว่าหนูอยู่ในส้วมนั่น”
ข้าพเจ้าไม่รับคําเธอ เพราะคราวนี้ตํารวจจะพาเธอไปโรงพยาบาลรักษาให้หายจากวิกลจริต จึงจําเป็นต้องบอกภรรยาของโกหร่าย ว่าบ๊องอยู่ที่ไหน ที่สุดตํารวจมาพาไปส่งโรงพยาบาลบ้านสมเด็จฯ หายไปประมาณ ๒ เดือนเศษ ก็ถูกปล่อยมาตามเดิม คราวนี้เรียบร้อยไม่อาละวาด แต่ยังคงมีหน้าที่แอบดู “โกหร่าย” เหมือนเช่นเดิม
ข้าพเจ้าเลี้ยงบ๊องต่อมาอีกหลายเดือนกระทั่งข้าพเจ้าล้มป่วยด้วยโรคน้ำท่วมปอด จะเดินทางไปพักรักษาตัวที่ต่างจังหวัด จึงได้ฝากเงินให้ลูกจ้างข้างบ้านไว้จ่ายเป็นค่าอาหารให้บ๊องทุกๆ วัน
จากกันไปหนึ่งเดือน เมื่อกลับมา เด็กที่รับฝากเงินข้าพเจ้าไว้ เล่าว่า
“พอคุณป้าไปได้ราวสิบกว่าวัน บ้านใหม่ที่สร้างเสร็จแล้วนี่ เค้าก็เอาประตูรั้วมาติด วันหนึ่งบ๊องออกไปเดินเล่นตอนเย็น คนงานเค้าปิดประตูรั้วก่อนกลับ ตกค่ำราวสองทุ่มบ๊องกลับมา เข้าไปอยู่ในโรงสังกะสีของตัวไม่ได้ ก็เลยเดินออกไป ตั้งแต่นั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย ก่อนไปเค้ามาพูดลาหนู หนูยังให้สตางค์เค้าไปด้วยร้อยกว่าบาท”
“ดูเค้าพูดรู้เรื่องแล้วยัง ตอนก่อนจากหนูไป”
“เหมือนคนปกติแล้วนะคะ เพียงแต่บอกว่าไม่อยากทำงานอะไรๆ อยากจะอยู่เฉยๆ”
“เราคงหมดหนี้เวรกะเค้าแล้วนะ ทําให้ได้เลิกเลี้ยงซะที” ข้าพเจ้าตอบอย่างรู้สึกโล่งอก ถ้าสตรีผู้นี้ยังอยู่ คราวนี้ข้าพเจ้าคงลําบากมาก เพราะข้าพเจ้ายังไม่หายป่วยสนิท จะรับภาระดูแลตนเองก็แทบไม่ไหว จะดูแลเธอต่อไปได้อีกอย่างไร
เล่าเรื่องนี้เป็นตัวอย่างแก่ลูกหลานผู้หญิงทั้งหลายว่า ไม่ควรปล่อยใจให้หลงใหลในรูปร่างน้ำคําของผู้ชายง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรักเขาข้างเดียวหรือรักกันทั้งสองข้างก็ตาม ล้วนแต่สามารถทําพิษภัยให้แก่ชีวิตได้ทั้งสิ้น ทําให้เสียอนาคตลงทั้งหมด เกิดมาเสียชาติเกิดไปเปล่าๆ
รูป คือสิ่งที่เห็นได้ด้วยตา รูปที่ดีงามทําจิตใจให้หลงใหลได้ง่าย อาจเป็นคนด้วยกันก็เรียกว่ารูป อาจเป็นทรัพย์สมบัติ วัตถุสิ่งของก็เรียกว่ารูป เช่น เงินทอง เครื่องประดับตกแต่ง จะแต่งตัว หรือแต่งสถานที่อยู่อาศัย ล้วนแต่เป็นการหลงใหลในรูปทั้งสิ้น คนบางคนยอมทุ่มเงินซื้อของเก่าๆ เช่น ภาพวาดโบราณ เครื่องลายคราม เทวรูปเก่าๆ สิ่งประดิษฐ์งามๆ นี่ก็เป็นอาการของการติด “รูป” ทั้งสิ้น
รูปที่น่ากําหนัดรักใคร่พอใจ ย้อมใจให้หลงใหล หลงรัก เมื่อรักหลงแล้วก็อยากได้ เมื่ออยากได้ก็ต้องแสวงหา เมื่อแสวงหาก็ต้องมีการแย่งชิง แย่งชิงไม่ได้ก็เศร้าโศกเสียใจ แย่งมาได้โดยไม่ชอบก็ต้องหวาดกลัว ถ้าแย่งได้โดยชอบธรรม เช่น การซื้อ การขอ ก็ยังต้องเป็นทุกข์ด้วยการดูแลรักษา ต้องยอมเป็นทาสในสิ่งที่ตนเองหลงรัก
แม้ลงทุนกระทั่งยอมเป็นทาสปฏิบัติปรนเปรอบํารุงบําเรอทุกอย่างแล้ว ก็ใช่ว่าจะหนีความพลัดพรากจากกันพ้น ต้องจากกันในวันหนึ่งจนได้ ไม่จากกันทั้งเป็นก็ต้องตายจากกัน ไม่เขาตายจากก่อนเราก็เป็นฝ่ายตายจากไปก่อน รูปต่างๆ ในโลกนี้จึงไม่ใช่สิ่งยั่งยืน
ดูเถิด ชีวิตผู้คนในโลกใครที่ขาดปัญญาก็จะต้องติดอยู่ในรูป รักใคร่พอใจในรูปซึ่งกันและกัน ไม่ได้ดังปรารถนาก็เป็นทุกข์ถึงตายถึงบ้า ที่สมปรารถนาก็ต้องยอมเป็นบ่าวเป็นทาส ยอมทํามาหากินด้วยความเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสเพื่อบํารุงบําเรอสิ่งที่ตนรัก บางทีหมดเวลาไปทั้งชีวิตเพื่อความเป็นทาสอย่างเดียว ไม่ได้มีปัญญาคิดสร้างบารมีใดๆ
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล หนังสือจากความทรงจำ เล่ม ๓ บทที่ ๑๒
ทาสความรัก
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
01:50
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: