การบวช มีความสำคัญอย่างไรต่อชีวิตของชาวพุทธ?
เมื่อบุตรชายมีอายุครบ ๒๐ ปี
เหตุใดชาวพุทธจึงให้ความสำคัญต่อประเพณีการบวชให้ครบ ๑ พรรษา
การบวชมีความสำคัญอย่างไรต่อชีวิตชาวพุทธและครอบครัวชาวพุทธ?
การบวชเป็นพระภิกษุ
ถ้ากล่าวกันตามประเพณีที่มีมา เรามักจะได้ยินกันว่า บวชเพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่
แต่ถ้ามองในมุมมองของพระพุทธศาสนาแล้ว นั่นยังไม่ใช่เหตุผลหลักในการบวช
เพราะถ้าเรายังไม่ฝึกฝนอบรมตนให้ดีขึ้น ก็จะไม่มีความดีอะไรไปทดแทนพระคุณพ่อแม่
ดังนั้นวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องเป็นอันดับแรกของการบวช คือ
บวชเพื่อแก้ไขนิสัยไม่ดีของตัวเอง
การที่เรามาบวช
ความเป็นพระก็เกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นทันทีที่บวช
ผู้บวชต้องรู้ว่า ต่อแต่นี้ไปข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายไทยเท่านั้น แต่ยังอยู่ใต้พระธรรมวินัยและจารีตประเพณีของพระพุทธศาสนาอีกด้วย
องค์ประกอบของมนุษย์
การตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้พระองค์ทรงค้นพบว่า
คนเรามีองค์ประกอบหลัก คือ ใจ กับ กาย
ใจ ทำหน้าที่เป็นนายของกาย
สั่งให้เราคิดได้ พูดได้ ทำได้ กาย ทำหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของใจ
แต่ว่าร่างกายของคนเรามีโรคติดมาด้วย
เมื่อคลอดออกมาจึงต้องให้วัคซีนป้องกันสารพัดโรคที่แฝงอยู่ในกายของเรา
โรคเหล่านี้รอวันที่จะกำเริบขึ้นมาบ่อนทำลายสุขภาพกายของเรา
ใจก็ทำนองเดียวกับกาย
คือมีโรคติดมาด้วย แต่โรคที่ติดมากับใจไม่ได้เป็นเชื้อโรค
มันเป็นธาตุสกปรกที่มีความละเอียดมาก ๆ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
แต่มันแอบแฝงอยู่ในใจของเรา เกาะกินใจเราข้ามภพข้ามชาติ
ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกธาตุละเอียดที่ทำให้ใจสกปรกนี้ว่า “กิเลส”
กิเลสคืออะไร?
กิเลสอุปมาเหมือนโรคร้ายที่บ่อนทำลาย
บีบคั้น กัดกร่อนกินใจเราให้สกปรก ทำให้คิดสกปรก พูดสกปรก ทำสกปรก
กิเลสอุปมาเหมือนสนิมที่เกิดจากเนื้อในเหล็ก กัดกร่อนเหล็กจนกระทั่งผุพังไป
ฉันใด กิเลสที่เกิดในใจก็กัดกร่อนกินใจเราจนกระทั่งตายไป ฉันนั้น
เมื่อเราตายไปแล้ว
เขาก็เอาร่างของเราไปเผา เชื้อโรคทางกายก็ถูกเผาตายไปจนหมด
แต่กิเลสไม่ถูกเผาไปด้วย มันยังคงฝังอยู่ในใจเรา ติดตามเราไปสู่ภพภูมิใหม่ด้วย
กิเลสนี่เองที่บังคับใจเราให้คิดไม่ดี
พูดไม่ดี ทำไม่ดี เมื่อเราคิด พูด ทำไม่ดีอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะทำให้เราเดือดร้อนอย่างต่อเนื่องแล้ว
ยังเพาะเป็นนิสัยไม่ดีติดตัวเราไปด้วย
เมื่อความคุ้นกิเลสกลายเป็นนิสัยไม่ดีในตัวของเราขึ้นมาแล้ว หากวันไหนไม่ได้คิดชั่ว ไม่ได้พูดชั่ว ไม่ได้ทำชั่ว
วันนั้นจะหงุดหงิดทั้งวัน
ยกตัวอย่างเช่น บางคนเคยสูบบุหรี่
เคยกินเหล้าจนติดเป็นนิสัย ถ้าวันใดไม่ได้สูบ ไม่ได้กิน จะหงุดหงิด บางคนก็ลงแดงตาย
เพราะติดเหล้าติดบุหรี่อย่างหนัก คนที่คุ้นกับกิเลสจนเป็นนิสัยไปแล้วนั้น
เวลาจะให้คิดเรื่องดี ๆ คิดไม่ออก จะหงุดหงิด อยากจะกลับไปคิดเรื่องชั่ว ๆ
เหมือนเดิม
ทำอย่างไรถึงจะแก้ไขนิสัยไม่ดีให้หมดสิ้นไปได้?
ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงบังเกิดขึ้น ใคร ๆ
ก็หาวิธีแก้ปัญหานิสัยไม่ดีที่เกิดจากกิเลสไม่ได้
จนกระทั่งพระองค์ทรงค้นพบสาเหตุว่า นิสัยไม่ดีของคนเรามีสาเหตุมาจากกิเลส
พระองค์จึงทรงนำสิ่งที่ได้จากการฝึกฝนอบรมตนเองกระทั่งกำจัดกิเลสได้หมดสิ้นเด็ดขาดแล้ว
มาสอนชาวโลกให้รู้จักวิธีแก้นิสัยไม่ดี นั่นคือ การออกบวชในพระธรรมวินัยของพระองค์
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้สอนวิธีแก้ไขนิสัยไม่ดีตามที่พระองค์ตรัสรู้มาเท่านั้น
ส่วนผู้บวชจะแก้ไขนิสัยได้หรือไม่ได้นั้น ขึ้นอยู่กับตัวของผู้บวชเอง ไม่ใช่อยู่ที่พระพุทธองค์
ดังนั้น
การบวชในพระพุทธศาสนาจึงมีวัตถุประสงค์หลัก คือ บวชเพื่อแก้ไขนิสัยไม่ดี
บวชเพื่อกำจัดกิเลสอันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดนิสัยไม่ดีหมดสิ้นไป
การบวชในพระพุทธศาสนาแก้ไขนิสัยไม่ดีของตัวเราได้อย่างไร?
การแก้ไขนิสัยไม่ดีต้องเริ่มต้นที่การแก้ไขพฤติกรรมประจำชีวิตของเรา
ได้แก่ เรื่องกิน เรื่องนอน เรื่องอยู่ เมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว
จะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวันทั้งหมด จากที่เคยกิน ๓ มื้อ ก็เหลือ ๒ มื้อ จากที่เคยนอนฟูก
ก็มานอนเสื่อ จากที่เคยอยู่บ้านมีเครื่องปรับอากาศ มาอยู่วัดไม่มีให้ จากที่เคยมีเสื้อผ้าหลายชุด
บวชแล้วก็เหลือชุดเดียว
เหตุใดการแก้ไขนิสัย
ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน? เหตุผลก็คือ
๑)
เปลี่ยนเพื่อแก้ไขพฤติกรรมที่เอาแต่ใจตัวเอง
๒)
เปลี่ยนเพื่อฝึกฝนพฤติกรรมการใช้ปัจจัย ๔ ตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง
ยกตัวอย่างเช่น เสื้อผ้า
พระพุทธองค์ทรงมีพระวินัยบังคับ ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ชายมาบวช แต่ทรงให้นุ่งสบง
ขอบผ้าด้านบนให้ปิดเหนือสะดือ ขอบผ้าด้านล่างให้ยาวปิดครึ่งหน้าแข้ง
เพื่อเป็นการบังคับให้รู้จักระมัดระวังตัว ทั้งในท่ายืน ท่าเดิน ท่านั่ง ท่านอน
ถ้าไม่ระมัดระวัง เดี๋ยวจะกลายเป็นไม่สำรวม
ดังนั้น พระทุกรูปเมื่อบวชใหม่
จะต้องฝึกนุ่งห่มใหม่ ฝึกอิริยาบถใหม่ตามพระธรรมวินัย เพื่อให้ได้นิสัยใหม่
คือมีสติสำรวมระวังและเลิกเอาแต่ใจตัวเอง
อาหาร
ก็เพาะนิสัยทั้งดีและชั่วได้เหมือนกัน ถ้าหากเราจะเลิกนิสัยตามใจปาก
เลิกนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง ก็ต้องฝึกวิธีหักห้ามใจ โดยฝึกจากข้าวแต่ละคำกลืนนี่เอง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงฝึกให้เป็นคนประเภทไม่ตามใจปากตามใจท้อง ให้ฉันแต่พออิ่ม ฉันเพื่อประทังชีวิต
กินอาหารเหมือนกับกินยา
การบวชมีความสำคัญต่อชีวิตชาวพุทธอย่างไร?
ผู้ที่มาบวชจะถูกฝึกด้วยพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากความประพฤติในชีวิตประจำวันเช่นนี้
ซึ่งก็คือการฝึกดูแลตัวเองไปพร้อม ๆ กับการฝึกแก้ไขนิสัยไม่ดีของตัวเอง เมื่อแก้นิสัยไม่ดีได้สำเร็จ หนทางข้างหน้าก็จะราบรื่นขึ้น เพราะใจจะคิดในสิ่งที่ควรคิด
ปากจะพูดในสิ่งที่ควรพูด กายจะทำในสิ่งที่ควรทำ
เมื่อเราคิด พูด ทำ
ในสิ่งที่ควรจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว บาปก็จะไม่เกิด หรือหากเผอเรอหลงลืมไปบ้าง
แม้เป็นบาปก็เกิดน้อย ในขณะที่ความดีมีเพิ่มมากขึ้น บุญก็เกิดมากขึ้น
เมื่อบุญเกิดกับตัวเองมากขึ้น ถึงเวลาจะอุทิศให้คุณพ่อคุณแม่ที่ละโลกไปแล้ว
ก็อุทิศไปให้ท่านได้มากขึ้น หากท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็เบาใจว่า
เราบวชแล้วได้มาฝึกหัดขัดเกลาตัวเองตามพระธรรมวินัย เพื่อแก้ไขนิสัยไม่ดีให้หมดไป
เพราะฉะนั้น
วัตถุประสงค์หลักของการบวช
ก็คือบวชเพื่อแก้ไขนิสัยตัวเองตามพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ยิ่งแก้ไขนิสัยไม่ดีได้มากเท่าไร บุญก็เกิดมากเท่านั้น ความศรัทธา
ซาบซึ้งในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดมากขึ้นเท่านั้น
ความกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธองค์ อยากจะตอบแทนพระคุณก็เกิดมากขึ้นเท่านั้น เมื่อความกตัญญูกตเวทีเกิดขึ้น
ความทุ่มเท ฝึกฝนอบรมตนเองต่อไปก็จะเกิดขึ้นตามมา ความเป็นอายุพระพุทธศาสนา
เพื่อจะนำสิ่งดี ๆ ที่ได้รับจากพระธรรมวินัยไปแจกจ่ายให้สังคมต่อไป ก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น
พระพุทธศาสนาก็จะเจริญรุ่งเรืองยาวนาน
ดังนั้น
ประเพณีการบวชลูกชายที่มีอายุ ๒๐ ปีขึ้นไปของชาวพุทธให้ครบอย่างน้อย ๑ พรรษา
จึงมีความสำคัญทั้งต่อตัวผู้บวช ต่อพ่อแม่ ต่อสังคม ต่อพระพุทธศาสนาอย่างมาก
เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งการฝึกฝนอบรมคนรุ่นต่อไปให้มีนิสัยดี ๆ มีศีลธรรม เป็นผู้นำที่ดีของครอบครัว
เป็นชาวพุทธที่ช่วยกันทำให้สังคมเกิดความสงบสุขร่มเย็นนั่นเอง..
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๓๐ เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
การบวช มีความสำคัญอย่างไรต่อชีวิตของชาวพุทธ?
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
00:30
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: