ความรู้เกี่ยวกับ การทำทาน
การทำบุญกับการทำทานเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
?
ถ้ามองไปถึงที่สุดต้องถือว่าคล้าย ๆ กัน
แต่ที่ใช้แยกเป็นทำบุญทำทาน เพราะเป็นนัยว่า
ถ้าทำบุญจะเป็นการทำกับผู้ที่มีสถานะสูงกว่า มีคุณธรรมสูงกว่า เช่น
ทำบุญกับพระภิกษุสงฆ์ เป็นต้น ส่วนการทำทานมีนัยในเชิงว่า เป็นการทำทานทั่วไป
เห็นคนลำบากยากจนก็ไปช่วยกัน ก็เลยเรียกว่าเป็นการให้ทาน อย่างนี้เป็นต้น แต่จริง ๆ
แล้วไม่ว่าจะเป็นการให้กับใครก็ได้บุญ ทั้งนั้น จะได้มากหรือน้อยแล้วแต่กรณี
อานิสงส์ในการทำบุญทำทานเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
?
ถ้าหากจะทำบุญให้ได้บุญเยอะ จะทำทานให้ได้บุญมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าต้องประกอบด้วยบริสุทธิ์
๓ ประการ คือ
๑. วัตถุบริสุทธิ์ คือ
ได้ทรัพย์มาด้วยความถูกต้อง ไม่ได้ทุจริตฉ้อโกงใครมา
๒. เจตนาบริสุทธิ์ คือ
ตัวเราเองทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ มีศรัทธาเต็มเปี่ยม
๓. บุคคลบริสุทธิ์ คือ
บุคคลที่เราให้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ยิ่งมีศีลมีคุณธรรมสูงเท่าใด
เราก็ได้บุญมากไปตามส่วน
ท่านจึงเปรียบพระภิกษุเหมือนเนื้อนาบุญ
ใครทำนาบนเนื้อนาดีย่อมได้รับผลตอบแทนดี ข้าวก็ออกเต็มรวง
ถ้าเป็นนาดอนแห้งแล้งไม่มีปุ๋ย ก็ได้ผลผลิตแค่นิด ๆ หน่อย ๆ ท่านเปรียบอย่างนั้น
บริสุทธิ์ ๓ เมื่อไรได้บุญมาก
การทำทานด้วยเงิน สิ่งของ หรือใช้แรงกายช่วยงานพระพุทธศาสนา ได้รับอานิสงส์ต่างกันอย่างไร ?
ได้บุญทุกกรณี
ไม่ว่าให้ทานเป็นสิ่งของหรือปัจจัยก็ได้บุญ
เพราะว่าเสร็จแล้วท่านก็เอาไปจัดหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพระศาสนามาใช้ได้
หรือเวลาเห็นวัดมีการก่อสร้าง เราเอาไม้เอาปูนไปช่วยก็ได้บุญ
หรือจะถวายเป็นปัจจัยให้ท่านไปจัดหาอุปกรณ์มาดำเนินการก่อสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลา
ก็ได้บุญเหมือนกัน แล้วแต่ความสะดวก เพียงแต่ในยุคหลัง ๆ รู้สึกว่า
ถ้าเป็นปัจจัยก็ง่ายต่อการนำไปใช้ให้ตรงกับวัตถุประสงค์
บางกรณีซื้อถังสังฆทานไปถวายพระ ท่านรับมาแล้วก็เรียงอยู่ในกุฏิหลายถัง
ไม่ได้แกะออกมาใช้ อย่างนี้บุญก็ยังได้อยู่ แต่ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นไม่เต็มที่
เพราะถวายสิ่งที่ท่านไม่ได้ใช้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นให้พิจารณาดูว่า
เวลาถวายพระ ของที่ถวายควรเป็นของที่ท่านได้ใช้จริง ๆ
ถ้าเราเอาแรงกายไปช่วยก็เป็นบุญอีกแบบ ที่เรียกว่า ไวยาวัจจมัย คือ
บุญสำเร็จด้วยการขวนขวายการงานที่ชอบ ไม่มีเงินก็ช่วยด้วยกำลังกาย
หรือบางทีต้องการสติปัญญา ความคิด อย่างนี้ถ้าไปช่วยเราก็ได้บุญ
การทำบุญทำทานกับพระภิกษุ มนุษย์ และสัตว์
ได้อานิสงส์ต่างกันไหม ?
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้หลักไว้ว่า
การให้ทานจะได้บุญมากต้องประกอบด้วยบริสุทธิ์ ๓ ข้อ ๑
สมมุติว่าทรัพย์ที่เราได้มาเป็นทรัพย์ก้อนเดียวกัน อันนี้ถือว่าทุกคนได้บุญเท่ากัน
ข้อ ๒ อยู่ที่ว่าก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ เรามีความเลื่อมใส ศรัทธาขนาดไหน เช่น
ก่อนทำปลื้มอกปลื้มใจ มีปีติ
มีศรัทธามาก เห็นประโยชน์ ตั้งใจทำบุญจริง ๆ
ถ้าศรัทธาเหนียวแน่นมากอย่างนี้ได้บุญเยอะ ระหว่างถวายปลื้มปีติมาก
หลังถวายนึกถึงบุญนี้ทีไรก็ชื่นใจ ไม่รู้สึกเสียดาย บางคนก่อนถวาย
ระหว่างถวายรู้สึกปลื้ม แต่ถวายเสร็จแล้วมาคิดว่า เมื่อครู่ถวายมากไปหน่อย ถ้าถวายน้อยลงสักครึ่งหนึ่ง
เราจะมีเงินเหลือมากขึ้น คิดอย่างนี้ต่อไปพอบุญส่งผลจะทำให้รวย
แต่รวยแล้วจะเกิดความตระหนี่ ไม่อยากใช้ทรัพย์ เป็นเศรษฐีแต่ว่าต้องใส่เสื้อขาด ๆ
หรือเวลาซื้อผลไม้ต้องซื้อแบบเน่าไปครึ่งลูก เวลากินต้องแอบกินไม่ให้ใครเห็น
กลัวเขาจะขอ คือมีทรัพย์แต่ว่าใช้ทรัพย์ได้ไม่เต็มที่ เพราะความเสียดาย อีก ๑ ข้อ
คือข้อ ๓ ผู้รับเป็นผู้ที่มีคุณธรรมมากเพียงใด ถ้ามีคุณธรรมมาก
เวลาผู้รับนำสิ่งที่เราถวายไปบริโภคใช้สอย
แล้วเอาเรี่ยวแรงกำลังที่เกิดขึ้นไปทำความดี เราก็ได้บุญมากไปตามส่วน
ตัวตัดสินอยู่ตรงนี้
ถ้าให้เงินขอทานหรือคนยากจนแล้วเขาเอาไปทำในสิ่งที่ผิด
เราจะมีส่วนในบาปกับคนเหล่านั้นหรือไม่ ?
ตัวผู้ให้ไม่บาป
แต่จะได้บุญแค่ไหนขึ้นอยู่ที่ผู้รับนำไปทำคุณประโยชน์หรือความดีมากแค่ไหน
ต่างจากที่เราสนับสนุนให้เขานำเงินไปทำอะไรที่ไม่ถูก ไม่ดี
เห็นเด็กนั่งขอทานรู้สึกสงสาร
แต่ไม่รู้ว่าเด็กถูกหลอกมาขอทานหรือเปล่า ถ้าเราไปช่วยจะผิดไหม ?
ถ้าเราไม่สบายใจ อย่าทำ แต่ถ้าอยากทำ ให้ทำเลย
ถ้าเรารู้สึกว่าเป็นแก๊งขอทานแน่ ไม่อยากให้
เพราะให้แล้วเหมือนสนับสนุนให้เขาเอาเด็กมาทรมาน อย่าให้ ถ้าให้โดยที่เราคิดอย่างนี้
มันเหมือนการสนับสนุน เราจะมีส่วนหน่อย ๆ แต่ถ้าเราไม่ได้คิดอย่างนี้
เราอยากจะช่วยเขาแล้ว เราก็ให้โดยใจเราไม่ได้คิดสงสัยอะไร
อันนี้เราไม่มีส่วนในบาปใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเราให้ด้วยจิตที่เมตตา
แต่ถ้าเราเกิดความระแวงขึ้นมา ไม่ต้องให้
อยากถวายสังฆทานเป็นถัง
ไปซื้อก็กลัวเป็นของเก่า ควรทำอย่างไรดี ?
บางคนเวลาพูดถึงสังฆทานก็นึกถึงถังเลย
ในนั้นมีผงซักฟอก มีผ้าไตรเล็ก ๆ สบงเล็ก ๆ มีอะไรต่าง ๆ นานา
การถวายสังฆทานคือการถวายแด่สงฆ์โดยไม่เฉพาะเจาะจงรูปใดรูปหนึ่ง
มีพระมานั่งเรียงอาจจะ ๔ รูป ๙ รูป ก็แล้วแต่ ไปถึงแล้วนั่งตรงรูปไหน
ก็ถวายรูปนั้น ถือว่าเป็นการถวายสงฆ์โดยภาพรวม แล้วแต่สงฆ์จะนำไปใช้อะไร
สังฆทานจริง ๆ คืออย่างนี้
แต่บางครั้งคนไม่ค่อยรู้ธรรมเนียมพระ ไม่รู้จะเตรียมอะไรไปถวาย
พอไปที่ร้านสังฆภัณฑ์เห็นถังสำเร็จรูป ก็รู้สึกว่ามันง่ายดี เลยซื้อไปถวายพระ
แต่ความต่างอยู่ที่ว่า
การถวายพระต่างจากการซื้อของมาใช้เอง ถ้าซื้อมาใช้เอง ได้ของไม่ดี
เราไปต่อว่าเขาได้ แต่การถวายของพระเป็นสิ่งที่คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ
ถวายเสร็จพระเปิดดูอาจจะเจอนมบูด หรือผ้าสบงผืนนิดเดียว สามเณรยังใส่ไม่ได้เลย
เพราะคนขายต้องการกำไรมาก ๆ เลยตัดผืนเล็กนิดเดียว ใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่
กรณีอย่างนี้ถ้าหากเราเตรียมเครื่องสังฆทานเองได้ก็ดี
ถ้าถวายเป็นอาหารให้ถวายก่อนเพล แต่ถ้าเป็นเครื่องดื่ม น้ำปานะ ถวายหลังเพลพอได้
พวกของใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอกอะไรต่าง ๆ ก็ถวายได้
การถวายสังฆทานพระต้องครบ ๔ รูปไหม ?
ต้องมี ๔ รูปขึ้นไปจึงจะนับว่าเป็นสงฆ์
แต่การที่เราไปถวายสังฆทาน เราถือว่าพระท่านเป็นตัวแทนมา
จะมารับรูปเดียวเราก็ถวายได้ไม่เป็นไร
นอกจากการกรวดน้ำ
มีวิธีไหนที่จะอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับได้อีกบ้าง ?
การกรวดน้ำเวลาอุทิศส่วนกุศลนั้นเป็นอุบายอย่างหนึ่ง
เพราะคนทั่วไปไม่ค่อยได้ฝึกสมาธิ
ถึงคราวอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนเครื่องส่งที่สัญญาณไม่ค่อยแรง แต่ถ้าใจใครเป็นสมาธิ
เวลาส่งบุญไปมันจะแรง จึงมีอุบายเอาน้ำมากรวด จะได้อาศัยจังหวะที่น้ำรินไหลช่วยให้ใจจดจ่อ
ไม่คิดฟุ้งซ่าน พอใจเป็นสมาธิเครื่องส่งก็จะแรงขึ้น บุญจะได้ส่งไปเต็มที่มากขึ้น
แต่บางคนนึกว่าบุญมาจากสายน้ำที่ไหล เลยเอามือไปจ่อ
ความจริงที่เขาเอานิ้วไปจ่อก็เพราะว่า เวลาเทน้ำมันย้อยก้น
เลยเอานิ้วไปจ่อที่ปากแก้ว น้ำจะได้ไหลตามนิ้วมือลงไป ไม่หกเลอะเทอะ
ถ้ามีที่กรวดน้ำเป็นกิจจะลักษณะ เช่น เป็นโถที่เทแล้วไม่ย้อยก้น ก็เทลงไปได้เลย
แล้วจังหวะที่น้ำไหลก็เอาใจจดจ่อที่น้ำ จะช่วยให้เป็นสมาธิได้ในระดับหนึ่ง
แม้ในช่วงสั้น ๆ ก็ตาม จะได้ส่งบุญไปด้วยกำลังที่แรงขึ้น
แต่ถ้าคนที่เคยฝึกสมาธิมา ถึงแม้ไม่ได้กรวดน้ำก็ส่งบุญได้ สมมุติว่าไปกัน
๒๐ - ๓๐ คน มีตัวแทนกรวดน้ำสักคนหนึ่ง คนอื่นพนมมือรับพร แล้วทำใจเป็นสมาธิ
นึกให้บุญกุศลที่เกิดขึ้นไปถึงหมู่ญาติที่ละโลกไปแล้ว
ตอนกรวดน้ำต้องมีบทสวดอะไรหรือเปล่า ?
ไม่จำเป็น บทสวดอิมินา สักกาเรนะ...ที่เป็นบทกรวดน้ำ
เป็นอุบายช่วยคนที่ยังไม่เคยฝึกสมาธิให้มีสมาธิมากขึ้น
จะได้ส่งบุญไปได้แรงขึ้นเท่านั้น แล้วถือเป็นธรรมเนียมต่อ ๆ กันมา
แต่ถ้าเราเคยฝึกสมาธิอยู่แล้ว หลักจริง ๆ คือให้นึกถึงผู้ที่เราจะอุทิศบุญไปให้ ให้นึกถึงเขาใส ๆ
ที่กลางท้องของเรา อย่างนี้บุญแรงที่สุด อุทิศให้ผู้ที่ละโลกไปแล้วได้
บุญส่งได้เต็มที่ยิ่งกว่าการกรวดน้ำเสียอีก
ถ้าเรากรวดน้ำไปให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่จะถึงไหม ไม่ถึง
กรวดให้ได้แต่ผู้ที่ละโลกไปแล้วและอยู่ในภพภูมิที่เหมาะสม ถ้าตกมหานรกขุมลึก
ๆ ไม่ถึงเหมือนกัน แต่บุญจะไปรออยู่
พ้นกรรมจากมหานรกขึ้นมาเกิดในยมโลกเมื่อไร บุญจึงจะไปถึง
แต่ถ้าไปเกิดเป็นเปรตบางประเภท หรือเป็นเทวดา บุญไปถึง
ถ้าเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบุญไปไม่ถึง
แล้วถ้าผู้มีพระคุณของเรายังมีชีวิตอยู่
เราอยากให้ท่านได้บุญด้วย ต้องทำอย่างไร ให้บอกท่านว่า เราไปทำบุญอย่างนี้ ๆ มา
แล้วให้ท่านอนุโมทนา ถ้าท่านอนุโมทนา ท่านก็ได้บุญด้วย เป็นปัตตานุโมทนามัย
จะส่งบุญให้มนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องบอกให้เขาอนุโมทนา
ส่วนการกรวดน้ำกรวดให้ผู้ที่ละโลกไปแล้ว
การอุทิศบุญให้คนอื่นทำให้บุญเราหมดไหม
?
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ว่าทางมาแห่งบุญ โดยย่อมี ๓ ข้อ คือ ทาน ศีล
ภาวนา ถ้าขยายละเอียดขึ้นมี ๑๐ ข้อ หนึ่งในนั้นคือปัตติทานมัย
(บุญสำเร็จด้วยการอุทิศส่วนกุศล) ถามว่าทำอย่างนี้แล้วบุญหมดไหม ไม่หมด
เพราะการอุทิศส่วนกุศลเป็นทางมาแห่งบุญอย่างหนึ่ง เหมือนใครมีเทียนอยู่เล่มหนึ่ง
ยิ่งจุดต่อกันไปก็ยิ่งสว่างขึ้นทั่วถึงกัน เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัวเรื่องนี้
ให้ใจเรามีเมตตาจิต แล้วอุทิศส่วนบุญนี้ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ
ฝึกให้เป็นนิจ แล้วเราจะเป็นคนที่ไม่มีเวรไม่มีภัยต่อใคร
การชวนคนทำบุญได้อานิสงส์อย่างไร ?
จะเป็นอานิสงส์ติดตัวไปเลยว่า
ต่อไปถ้าเรามีทรัพย์แล้วจะไม่มีทรัพย์แบบโดดเดี่ยว
แต่จะมีเพื่อนฝูงคนรู้จักที่เป็นคนดีมีทรัพย์ตามไปด้วย คนที่ทำบุญคนเดียวไม่ชวนใคร ต่อไปจะรวยแต่ไม่มีเพื่อน
คนบางคนชอบชวนคนอื่นเขาทั่วไปหมด แต่ตัวเองไม่ทำ ต่อไปจะมีเพื่อนมหาเศรษฐีเป็นใหญ่เป็นโตมากมาย
ตัวเองไม่รวย แต่ภูมิใจว่ามีเพื่อนรวย บางคนทั้งไม่ชวนใคร แล้วตัวเองก็ไม่ทำด้วย
แถมใครมาชวนยังว่าเขาอีก ถ้าอย่างนี้ต่อไปจะจน เพื่อนฝูงก็ไม่มี ถ้ามีก็มีแต่เพื่อนจน ๆ
แต่คนไหนทำบุญด้วยตัวเองด้วย ชวนคนอื่นทำด้วย ต่อไปจะมีทรัพย์มาก มีชื่อเสียงเกียรติยศ ทุกคนยอมรับ
แล้วพรรคพวกเพื่อนฝูงทุกคนมีพาวเวอร์หมดเลย จะเป็นสมาคมมหาเศรษฐี ทำอะไรสำเร็จหมด เพราะมีเครือข่ายเพื่อนฝูงเกื้อหนุนกัน อะไรก็ง่ายไปหมด
ฉะนั้นทำความดีอย่าทำคนเดียว ให้ชวนคนอื่นทำกันเยอะ ๆ ด้วย
วิธีไปบอกบุญต้องทำอย่างไร ?
คนที่เขาชวนเพื่อนไปดื่มสุรา เขาเกรงใจไหม ชวนไปดื่มสุราต้องจ่ายเงิน
สุขภาพก็เสีย ครอบครัวก็มีปัญหา ที่จริงควรจะเกรงใจ กลับไม่เกรงใจ
แต่การชวนกันไปทำความดี ทำแล้วได้บุญกุศลติดตัวไป ตายแล้วยังเอาติดตัวไปได้อีก แบบนี้กลับเกรงใจ เคอะ ๆ เขิน ๆ
อย่าไปเกรงใจ ให้ชวนเต็มที่ ตอนนี้สังคมกลับตาลปัตร ชวนกันไปเที่ยว ไปดื่มสุรา
ไม่เกรงใจ แต่ชวนทำความดี เกรงใจ ทำให้ทุกอย่างเริ่มเป๋ สังคมเลยแย่
ฉะนั้นเราต้องกลับให้มาอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง ชวนทำดีต้องกล้าชวนเสียงดัง
ชวนทำสิ่งไม่ดี ต้องให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องผิดปกติ อย่างนี้แล้วสังคมจะสงบร่มเย็น
ศีลธรรมจะกลับคืนมาสู่โลก
เวลาชวนคนทำบุญ ทำความดี
เขามักจะมีข้อจำกัดเรื่องเวลา ควรทำอย่างไร ?
ถ้าเขาไม่มีเวลาจริง ๆ ก็ฝากมาทำได้ แต่มีข้อคิดนิดหนึ่ง
คือปัจจุบันแต่ละคนรู้สึกว่าตัวเองงานยุ่งทั้งนั้น แต่เชื่อไหมคนที่ว่ายุ่ง ๆ
ถ้าเขาชอบคอนเสิร์ต แล้วมีคอนเสิร์ตดัง ๆ มา เขาบอกพอมีเวลาดู อย่างพวกแฟนฟุตบอล
เวลามีฟุตบอลโลกทีไรไม่ค่อยมีปัญหา ตี ๑ ก็ดูได้ ตี ๓ ก็ดูได้
อยู่ที่ว่าเขาเห็นความสำคัญหรือเปล่า คนเราถ้าเห็นความสำคัญของอะไร
จะมีเวลาให้สิ่งนั้น และแต่ละคนจะสามารถจัดสรรตัวเองได้
แล้วถ้าเขาจัดสรรเวลาให้กับบุญกุศล มาทำความดี สวดมนต์ นั่งสมาธิ เขาจะพบว่า
ชีวิตเขาเป็นระเบียบมากขึ้น
แล้วเวลาในชีวิตที่มีอยู่จะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพราะคุณภาพชีวิตดีขึ้น คุณภาพของการใช้เวลาดีขึ้น
Cr. พระปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ) (M.D.; Ph.D.) จากรายการข้อคิดรอบตัว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๒๘ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖
ความรู้เกี่ยวกับ การทำทาน
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
00:54
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: