พระภัททกาปิลานีเถรี
๑
หากคุณเป็นผู้หญิงที่หน้าตาสวยงาม
เกิดในตระกูลที่ดี แต่มีกลิ่นตัวเหม็นขนาดที่สามีทนไม่ไหวต้องไล่ออกจากบ้าน
คุณจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ?
ในที่นี้เราอยากให้คุณพบกับเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง
ซึ่งเคยประสบปัญหานี้ และสามารถหาทางออกที่สวยงามได้อย่างรวดเร็ว
โดยที่ตัวเธอเองก็คาดไม่ถึง
ผู้หญิงคนนี้ ในชาติสุดท้ายได้เป็นพระอรหันตเถรี
ผู้มีความสามารถในการระลึกชาติเป็นเยี่ยม
จนกระทั่งได้รับการยกย่องจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในด้านผู้มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
(มีญาณอันเป็นเครื่องระลึกชาติได้) ชื่อของท่านก็คือ พระภัททกาปิลานีเถรี
๒
ในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ พระภัททกาปิลานีเกิดเป็นหญิง
และได้แต่งงานกับชายหนุ่มในตระกูลเศรษฐี อาศัยอยู่ในกรุงหังสวดี นางเป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และหมั่นสร้างบุญสร้างกุศลอยู่เป็นประจำ วันหนึ่งนางไปฟังธรรมกับสามี
และเห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งภิกษุณีผู้เลิศทางปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
นางจึงบำเพ็ญมหาทานกับพระศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ แล้วตั้งความปรารถนาที่จะได้ตำแหน่งนั้นในสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคต
สามีของนาง (ในชาติสุดท้ายคือพระมหากัสสปะ)
ก็ตั้งความปรารถนาที่จะได้ตำแหน่งผู้เป็นเลิศในทางถือธุดงค์เป็นวัตร จากนั้น
ทั้งสองก็สร้างบุญกุศลร่วมกันตลอดมา
๓
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว
เศรษฐีผู้เป็นสามีของนางเชิญชวนญาติมิตรสร้างพระเจดีย์ด้วยรัตนะสูง ๗ โยชน์
และปลูกต้นพญารังที่มีดอกบานสะพรั่ง
เพื่อบูชาพระศาสดา ส่วนนางก็จัดเครื่องบูชาและตกแต่งประดับประดาพระเจดีย์นั้น
โดยให้ช่าง ๗ คน นำรัตนะ ๗ อย่าง มาทำตะเกียง ๗๐๐,๐๐๐
ดวง จากนั้นเอาน้ำมันหอมใส่จนเต็มทุกดวง แล้วจุดประทีปจนไฟลุกโพลงสว่างไสวเจิดจ้า
เพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นอกจากนี้ นางยังให้ช่างทำหม้อที่เต็มไปด้วยรัตนะอันล้ำค่าต่าง ๆ
ไปประดับเจดีย์ ระหว่างหม้อทุก ๆ ๘ หม้อ มีวัตถุที่ควรบูชา ทำด้วยทองตั้งไว้ ที่ประตูทั้ง ๔
ของเจดีย์ยังมีเสาระเนียดทำด้วยรัตนะ
มีแท่นที่ทำด้วยรัตนะ มีธงรัตนะ และปลูกดอกไม้น้ำสวยงามไว้ในคูน้ำ ทำให้บริเวณเจดีย์งดงามและรุ่งเรืองสว่างไสวราวกับพระอาทิตย์ส่องแสง
นางและท่านเศรษฐีบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและถวายทานแด่พระสงฆ์ตลอดชีวิต
เมื่อละโลกแล้ว นางได้ไปเกิดในสวรรค์ มีทิพยสมบัติอันอลังการ เวียนว่ายตายเกิดอยู่แต่ในสุคติภูมิ
เคียงคู่เศรษฐีผู้เป็นสามีเสมือนเงาที่ติดตามตัวไป
๔
ชาติหนึ่ง ในยุคที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิด
เศรษฐีสามีได้เป็นพระราชาแห่งกรุงพาราณสี นางได้เป็นมเหสีของพระราชา
และเป็นที่โปรดปรานของพระราชายิ่งกว่าใคร ๆ
เพราะมีความรักความผูกพันกันมาแต่ภพชาติก่อน
วันหนึ่ง นางได้ถวายบิณฑบาตแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ พระองค์ และสร้างมณฑปแก้วประดับทองที่งดงามมาก สูง ๑๐๐
ศอก แล้วอาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้าเข้ามารับมหาทาน
๕
ชาติต่อมา นางมาเกิดในตระกูลกุฎุมพีที่มั่งคั่ง ครั้นเจริญวัยขึ้น
นางได้แต่งงานกับชายในตระกูลที่มั่งคั่งเช่นกัน หลังจากแต่งงานแล้ว
นางและน้องสาวสามีของนางเกิดการกระทบกระทั่งกัน
ต่อมาเมื่อน้องสาวสามีถวายบิณฑบาตแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า
ด้วยความโกรธที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจ ทำให้น้องสาวสามีของนางตั้งความปรารถนาว่า “ขอให้เราห่างไกลคนพาลเช่นนี้
๑๐๐ โยชน์” เมื่อนางได้ยินเข้าก็โกรธมาก และคิดว่า “พระปัจเจกพุทธเจ้าจงอย่าฉันภัตตาหารที่หญิงคนนี้ถวายเลย”
นางจึงรับบาตรมาแล้วเอาภัตตาหารเททิ้ง
แล้วเอาโคลนใส่จนเต็มบาตรถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า
น้องสาวสามีเห็นจึงพูดว่า “นางคนพาล เจ้าจะด่าหรือทุบตีเราก็ได้
แต่ไม่ควรทิ้งภัตตาหารจากบาตรของท่านผู้บำเพ็ญบารมีมาตลอด ๒ อสงไขย แล้วถวายโคลนตม”
เมื่อได้ยินดังนั้น
นางจึงได้สติแล้วรับบาตรมาล้างและขัดถูด้วยผงเครื่องหอม เอาของมีรสอร่อย ๔ อย่าง
ใส่จนเต็มบาตร แล้วราดด้วยเนยใสซึ่งมีสีเหมือนดอกบัวไว้ข้างบน แล้วตั้งความปรารถนาว่า
“บิณฑบาตนี้มีแสงสว่างฉันใด
ขอเราจงมีแสงสว่างฉันนั้น” พระปัจเจกพุทธเจ้าอนุโมทนาแล้วเหาะไปบนอากาศ
อานิสงส์แห่งบุญที่ถวายภัตตาหารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า
ทำให้นางมีรูปงามทุกภพทุกชาติ แต่มีกลิ่นตัวเหม็นเพราะกระทำกรรมหนัก คือ
ถวายโคลนแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า
ในชาตินี้ สองสามีภรรยาบำเพ็ญกุศลตราบสิ้นอายุขัยแล้วไปบังเกิดบนสวรรค์
๖
ในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทั้งคู่จุติจากสวรรค์มาเกิดในกรุงพาราณสี ด้วยบุญที่เคยสร้างมา
ทำให้สามีได้เกิดเป็นบุตรของเศรษฐี มีสมบัติถึง ๘๐ โกฏิ
ส่วนภรรยาเกิดเป็นธิดาของเศรษฐีอีกตระกูลหนึ่ง และมีรูปงามมาก
แต่ด้วยผลแห่งบาปที่เอาโคลนใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า
นางจึงมีร่างกายที่มีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง เป็นที่รังเกียจของมหาชน
ต่อมา เศรษฐีผู้มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ
ส่งคนมาสู่ขอนางให้ไปแต่งงานกับลูกชายของตน เมื่อนางไปถึงบ้านท่านเศรษฐี
ทั้งบ้านก็มีกลิ่นเหม็นเหมือนส้วมที่เปิดฝาไว้
เหม็นตั้งแต่นางย่างเท้าเข้าไปภายในธรณีประตูเลยทีเดียว
พอลูกชายเศรษฐีรู้ว่าเป็นกลิ่นของนาง ก็ส่งนางกลับบ้าน
นางถูกรับถูกส่งกลับไปกลับมาอยู่ถึง ๗ ครั้ง ทำให้เกิดความทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง
๗
ต่อมา
เมื่อพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน มหาชนพร้อมใจกันก่อสร้างเจดีย์สูง ๑ โยชน์ โดยใช้ทองคำแท่งแทนอิฐ
ธิดาเศรษฐีรู้จักเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส นางคิดว่า “เราคงมีกรรมที่ทำไว้ในอดีต
จึงต้องมาประสบความทุกข์เช่นนี้ ชาตินี้เราจะต้องสั่งสมบุญให้มาก ๆ
ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องมาเจอความทุกข์ขนาดนี้” จากนั้น
นางก็นำเครื่องประดับไปให้ช่างหลอมทำอิฐทองคำร่วมสร้างเจดีย์
ในขณะที่นางไปถึงสถานที่สร้างเจดีย์
พอดีมีอิฐตกลงมาก้อนหนึ่ง นายช่างจึงขาดอิฐที่จะใช้เชื่อมต่อเจดีย์อยู่ ๑ ก้อน
เขาจึงบอกให้นางวางอิฐทองคำลงในบริเวณนั้นด้วยตนเอง
และเอาน้ำมันผสมหรดาลกับมโนศิลาก่ออิฐให้แน่น
แล้วบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยดอกบัว ๘ กำ และตั้งความปรารถนาว่า “ด้วยบุญกุศลนี้
ขอให้ข้าพเจ้ามีกลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากตัว กลิ่นอุบลฟุ้งออกจากปาก”
๘
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก บุญที่ตัดใจถวายเครื่องประดับทองคำอันล้ำค่าเพื่อทำอิฐสร้างเจดีย์
๑ ก้อน มีอานุภาพอันไม่มีประมาณเกินคาดหมายจริง ๆ
เพราะนอกจากสามารถตัดรอนวิบากกรรมหนักที่นางเคยทำมาในอดีตชาติ
ทำให้กลิ่นเหม็นเหมือนส้วมที่ติดตัวนางมลายหายสูญไปแล้ว
ยังบันดาลให้มีกลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากร่างกายและกลิ่นดอกบัวฟุ้งออกจากปากอีกด้วย
ในขณะเดียวกันลูกชายเศรษฐีก็คิดถึงนางขึ้นมาจับใจ
จนต้องรีบส่งคนรับใช้มาตามนางกลับไป
เมื่อนางไปถึงบ้านท่านเศรษฐี
ทันทีที่นางเข้าบ้าน กลิ่นจันทน์และกลิ่นดอกบัวก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว
ลูกชายเศรษฐีจึงถามว่า “เมื่อก่อนมีกลิ่นเหม็นฟุ้งออกจากร่างกายของเจ้า
แต่เดี๋ยวนี้มีกลิ่นจันทน์หอมฟุ้งออกจากร่างกาย กลิ่นดอกบัวฟุ้งออกจากปาก
เจ้าไปทำอะไรมาหรือ” นางจึงเล่าให้ฟังว่า
นางถวายแผ่นอิฐทองคำสร้างเจดีย์บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และผลบุญที่ถวายอิฐทองคำได้ตัดรอนวิบากกรรมเหล่านั้นจนหมดสิ้น
ลูกชายเศรษฐีเป็นผู้มีปัญญามาก
เมื่อเห็นอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของบุญจากการร่วมสร้างเจดีย์ด้วยทองคำ
ที่สามารถส่งผลได้อย่างอัศจรรย์ในปัจจุบันชาตินี้ ก็รู้ว่าบุญต้องแรงมาก
เขาจึงปรารถนาที่จะได้บุญนี้บ้าง จึงให้ช่างนำทองคำไปทำดอกประทุมทองขนาดเท่าล้อรถ
เพื่อนำไปประดับเจดีย์ และนำผ้ากัมพลที่มีราคาแพงที่สุดในสมัยนั้นไปหุ้มเจดีย์ให้สวยงามยิ่งขึ้น
๙
ในชาติสุดท้าย
ธิดาเศรษฐีจุติจากพรหมโลกมาเกิดในครั้งพุทธกาล ในตระกูลพราหมณ์ มีชื่อว่า ภัททา
สามีมาเกิดในตระกูลพราหมณ์ เช่นกัน ชื่อ ปิบผลิมาณพ
เมื่อนางมีอายุได้ ๑๖ ปี ปิบผลิมาณพมีอายุ ๒๐ ปี ทั้งคู่เข้าพิธีแต่งงานกัน
เพราะไม่อาจขัดความประสงค์ของบิดา มารดา และญาติผู้ใหญ่
หลังแต่งงาน เนื่องจากทั้งสองไม่ฝักใฝ่ในโลกีย์เหมือนกัน
จึงเป็นสามีภรรยากันแต่เพียงในนาม
มิได้ข้องเกี่ยวกันในทางกามคุณ
๑๐
เมื่อบิดามารดาของทั้งสองสิ้นชีวิตแล้ว ทรัพย์สมบัติของ ๒ ตระกูล
ที่รวมกันเป็นจำนวนมหาศาลถึง ๘๗ โกฏิ กลายเป็นภาระอันหนักอึ้งในการดูแล
อีกทั้งเมื่อบริวารทำไร่ไถนา
เครื่องมือหว่านไถก็จะไปถูกสัตว์เล็กสัตว์น้อยเสียชีวิต หรือเวลาตากถั่วตากงา
หากมีนกกามาจิกกินหนอนและแมลงทั้งหลาย
ทั้งคู่เกรงว่าบาปเหล่านี้จะตกถึงตนผู้เป็นเจ้าของไร่นา แม้ไม่ได้ลงมือทำเองก็ตาม
สองสามีภรรยาจึงปรึกษากันว่า เหตุใดเราต้องมาคอยรับบาปกรรมที่คนอื่นทำ
ควรสละการครองเรือน แล้วออกบวชหาหนทางหลุดพ้นจากวัฏสงสารดีกว่า
จากนั้นสองสามีภรรยาจึงช่วยปลงผมให้กัน
แล้วครองผ้าย้อมน้ำฝาด และอธิษฐานว่า “พระอรหันต์เหล่าใดมีอยู่ในโลก
เราจักบวชเพื่ออุทิศพระอรหันต์เหล่านั้น” แล้วทั้งคู่ก็สะพายบาตรดินเดินออกจากปราสาทไปโดยปราศจากความกังวลใด
ๆ
๑๑
เมื่อทั้งคู่เดินไปถึงทางสองแพร่ง ปิบผลิ ได้กล่าวขึ้นว่า “หากเธอเดินตามหลังเราอย่างนี้
ใคร ๆ ก็จะพากันคิดว่า พวกเราบวชแล้วยังไม่ยอมพรากจากกัน
อกุศลจิตเช่นนี้จะทำให้พวกเขาตกนรก เธอจงเลือกเอาทางหนึ่ง เราจะไปอีกทางหนึ่ง”
นางกระทำประทักษิณรอบสามี ๓ รอบ แล้วประคองอัญชลีพร้อมกล่าวว่า “ความสนิทสนมกันฐานมิตรที่มีมาประมาณแสนกัปสิ้นสุดลงแล้วในวันนี้”
จากนั้นทั้งคู่ก็แยกทางกันไป
ในคัมภีร์บันทึกไว้ว่า ขณะที่ทั้งสองแยกจากกัน
แผ่นดินไหวสะเทือนปานจะกล่าวว่า “แม้เราสามารถรองรับขุนเขาในจักรวาลและเขาพระสุเมรุได้
แต่ไม่สามารถจะรองรับคุณธรรมของท่านทั้งสองได้” ขณะนั้นแม้ยอดเขาพระสุเมรุก็เอนเอียงบันลือลั่น ในอากาศก็มีฟ้าแลบแปลบปลาบ
๑๒
จากนั้นปิบผลิพราหมณ์เดินไปพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับขัดสมาธิอยู่ที่ใต้ต้นไทร
และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในวันที่ ๘ ท่านได้บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
และต่อมาได้รับการยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นเลิศในทางถือธุดงค์เป็นวัตร
ส่วนนางภัททกาปิลานีไปบวชอยู่ในสำนักปริพาชก
เนื่องจากในสมัยนั้นพระบรมศาสดายังมิได้มีพุทธานุญาตให้สตรีบวช ต่อมา เมื่อพระปชาบดีโคตมีเถรีบวชเป็นภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนาแล้ว
นางจึงไปขอบวชเป็นภิกษุณี และได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ ๔
วิชชา ๓ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖
๑๓
พระภัททกาปิลานีสร้างบุญในพระพุทธศาสนามาหลายภพหลายชาติ
และเคยถวายทองคำบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายครั้ง
ทำให้ท่านสมบูรณ์พร้อมด้วยรูปสมบัติ คือเกิดมามีรูปงามทุกชาติ
และสมบูรณ์พร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ คือได้เกิดในตระกูลเศรษฐี มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบาย ในชาติสุดท้าย ท่านมิเพียงรูปงามและร่ำรวยเท่านั้น
แต่ยังได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ สมบูรณ์พร้อมด้วยคุณสมบัติทั้งปวง
คือถึงพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ ๔ วิชชา ๓ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖
และยังมีความสามารถในการระลึกชาติ จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกย่องท่านไว้ในตำแหน่ง
เป็นเลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในด้านผู้มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เป็นภิกษุณี ๑
ในจำนวน ๑๓ รูป ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอตทัคคะ
๑๔
พวกเราทั้งหลายล้วนเคยสร้างบารมีในพระพุทธศาสนามาหลายภพหลายชาติเช่นกัน มิฉะนั้นคงไม่ได้มาพบพระพุทธศาสนา ไม่ได้มาสร้างบุญบารมีอย่างทุกวันนี้ และเชื่อว่าหลาย ๆ คนเคยทำบุญด้วยทองคำมามิใช่น้อย
ซึ่งนับเป็นบุญเก่าที่เกื้อหนุนชีวิตอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม
บุญเก่าย่อมมีวันหมดไป บุญใหม่จึงเป็นสิ่งที่พึงสั่งสมไว้
เพื่อให้ความสุขความเจริญอยู่กับเราอย่างยั่งยืน
Cr. มาตา
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๒๘ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖
พระภัททกาปิลานีเถรี
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
01:59
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: