แด่โยมแม่..ด้วยดวงใจแห่งชัยชนะ
..หัวใจของคุณอาจซาบซึ้งกับหลายเรื่องที่เข้ามาในชีวิต
และสุดท้ายก็ลืมเลือนมันไป
..แต่เรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในบรรทัดถัดจากนี้
นอกจากจะนำความซาบซึ้งมาสู่จิตใจคุณแล้ว อาจทำให้คุณจดจำไปชั่วชีวิต
พระชัยวุทธ ทานวีโร เป็นพระที่บวชในโครงการบวชพระ ๑ แสนรูป
๔๙ วัน ภาคฤดูร้อน พ.ศ.๒๕๕๔
ปัจจุบันรับบุญเป็นพระพี่เลี้ยงช่วยงานในโครงการบวชต่าง ๆ เช่น
โครงการบวชอุบาสิกาแก้วและโครงการบวชพระ ๑ แสนรูปเข้าพรรษา ที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว
ๆ นี้
“ว่าไปแล้ว...ชีวิตหลวงพี่ก็เหมือนละคร ซึ่งหากย้อนนึกถึงโยมแม่ครั้งที่หลวงพี่ยังเด็ก
ท่านต้องตกระกำลำบากจากการเลี้ยงลูกที่เกิดแบบหัวปีท้ายปีถึง ๔ คน
พร้อมกับทำนาไปด้วย
ทุกวันโยมแม่จะเอาหลวงพี่ใส่ตะกร้าหน้า ส่วนพี่ชายใส่ตะกร้าหลัง
แล้วสอดไม้คานหาบไปท้องนาด้วยกัน การที่ต้องเอาลูกไปเลี้ยงขณะทำนา ทำให้บ่อยครั้งที่โยมแม่ต้องร้องไห้ เพราะโดนโยมพ่อตะคอกด่าเนื่องจากไม่ยอมวิ่งไปจับควายที่กำลังเข้าไปย่ำข้าวในนาจนเสียหาย
เพราะต้องวิ่งมาดูลูกที่กำลังร้องกระจองอแงซึ่งกว่าลูกจะโต โยมแม่ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เพราะต้องหลังขดหลังแข็งตากแดด ตากฝน
ทำงานหนักเพื่อหาเงินมาส่งลูกทุกคนให้จบ ป.๖
แต่อนิจจา..เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างไรก็ไม่ทราบ นับวันครอบครัวเราก็จนลงเรื่อย ๆ
จนแทบจะอดตายเพราะหนี้สินเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
เนื่องจากพอขายข้าวได้ก็ต้องเอาเงินไปจ่ายเป็นค่าเช่านาเกือบหมด
จนเงินที่จะซื้อน้ำปลากินสักขวดยังไม่มีเลย
ตอนหลังโยมพ่อโยมแม่เลยเลิกทำนา
แล้วพากันระหกระเหินเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ
พอมาถึงก็ไม่รู้จะทำอะไร เนื่องจากโยมแม่อายุมากถึง ๕๒ ปีแล้ว
ซึ่งแทนที่จะได้พัก
ก็ต้องหันมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยอาชีพคุ้ยของจากกองขยะที่สกปรก ๆ เอามาขาย
เช่น กระป๋อง ขวด เศษเหล็ก ตั้งแต่ ๙ โมงเช้า จนถึงบ่าย ๓ โมงทุกวัน ส่วนโยมพ่อก็ทำงานเป็นยาม ต้องอดหลับอดนอน ด้วยความลำบากในวัยชราของท่านทั้ง
๒ นี้เอง หลวงพี่จึงเกิดจิตสำนึกขึ้นมาว่า
เราน่าจะเป็นลูกที่เป็นที่พึ่งให้ท่านได้สักคน
จึงวางแผนกับน้องชายคนเล็กว่าจะไปเป็นแรงงานต่างด้าวที่ต่างประเทศ
แต่ก่อนไปเราก็ต้องไปกู้เงินเขามาจ่ายค่านายหน้าและค่าเครื่องบิน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ครอบครัวเรามีหนี้สินท่วมท้นขึ้นไปอีก พอไปต่างประเทศแล้วนึกว่าจะดี
แต่ที่ไหนได้น้องชายที่ไปสิงคโปร์ได้หายสาบสูญไป
โดยไม่มีใครรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรมานานกว่า ๖
ปีแล้วจนทำให้โยมแม่ทุกข์ใจเหมือนตายทั้งเป็น
ส่วนหลวงพี่ขณะที่อยู่ที่ประเทศไต้หวัน
แรก ๆ ก็ยังติดต่อโยมแม่บ้าง
จนกระทั่งถึงช่วงที่หลวงพี่เจอปัญหารุมเร้าหลายอย่าง จนเกิดภาวะเครียดและก็เหงาว้าเหว่มาก เพื่อนก็หาทางออกให้ โดยแนะวิธีคลายเหงาด้วยการให้หลวงพี่ใช้สารเสพติด
พวกยาบ้า ยาไอซ์ ดื่มเหล้า และสูบบุหรี่วันละ ๒ ซอง
ทำให้เงินทองที่หามาได้หมดไปกับสิ่งพวกนี้และที่แย่ที่สุด
หลวงพี่ขาดการติดต่อกับทางบ้านไปเลย
จนโยมแม่กระวนกระวายใจมากเพราะกลัวหลวงพี่จะหายสาบสูญไปเหมือนน้องชาย
ท่านจึงพยายามโทร.หา แต่โทร.เท่าไรหลวงพี่ก็ไม่รับ
ท่านจึงได้แต่ฝากบอกกับเพื่อนหลวงพี่ว่าให้โทร.กลับ แต่หลวงพี่ก็ทำให้ท่านรอคอยทั้งน้ำตา เพราะละอายใจและไม่อยากให้ท่านรู้ว่า หลวงพี่ตกอยู่ในสภาพที่แย่แบบนี้ไปแล้ว
แต่ความลับไม่มีในโลก โยมแม่แอบรู้พฤติกรรมทั้งหมดของหลวงพี่จากเพื่อนที่ไต้หวัน พอท่านรู้..ท่านก็เสียใจมาก ร้องไห้ใหญ่เลย เพราะในจำนวนลูกทุกคน
ท่านเหลือหลวงพี่เป็นความหวังสุดท้าย
ท่านจึงเสียใจจนกินไม่ค่อยได้
นอนไม่ค่อยหลับเหมือนตกนรกทั้งเป็น
และเครียดจนวัน ๆ ก็คิดแต่ว่า ทำไมลูกถึงเป็นอย่างนี้..คิดวนไปวนมาตลอดเวลา
แม้ในขณะที่ท่านตากแดดเหงื่อ โทรมกายคุ้ยขยะเก็บของเก่าไปขาย น้ำตามันก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว บางทีขี่ซาเล้งขนของเก่าไปขาย แก้มทั้งสองข้างก็อาบชุ่มไปด้วยน้ำตา แต่ยังโชคดี
ช่วงที่โยมแม่ทุกข์ใจเรื่องหลวงพี่
เป็นช่วงที่ท่านเข้าวัดพระธรรมกายแล้ว
และพอท่านทำบุญอะไรก็จะอธิษฐานตลอดเวลาเลยว่า
ขอให้หลวงพี่ได้มาบวชอยู่กับหลวงพ่อ ท่านได้อธิษฐานอย่างนี้ทุกวัน
จนกระทั่งประจวบเหมาะกับที่ทางไต้หวันหมดสัญญาว่าจ้างคือ ครบ ๖ ปีแล้ว
หลวงพี่จึงบินกลับเมืองไทย ครั้งแรกที่หลวงพี่เจอโยมแม่ ท่านดีใจจนแทบจะกระโดดแต่ขณะที่ท่านดีใจ หลวงพี่กับเสียใจเพราะหลวงพี่กลับมาในสภาพที่ไม่เหลืออะไรเลย
จากที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะเป็นที่พึ่งให้ท่าน แต่กลับตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ ซึ่งตอนนั้นโยมแม่ท่านไม่ปริปากด่าว่าอะไรหลวงพี่เลยอีกทั้งไม่ทวงถามถึงเรื่องเงินหรือเรียกร้องกดดันอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่พูดด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ ว่า “
แม่ลำบากมาทั้งชีวิต ชาตินี้..แม่ขอลูกแค่
๒ อย่างได้ไหม ? ”
...พอได้ยินโยมแม่ขอดังนั้น
หลวงพี่ก็อึ้งเลย แต่ก็ยังลีลาไม่ยอมตอบตกลงกับท่านในทันที
จากนั้นหลวงพี่ก็กลับมาคิดทบทวนจนได้ข้อสรุปว่า
ในเมื่อลูกอย่างหลวงพี่ให้อะไรกับโยมแม่ไม่ได้
ก็ควรจะทำ ๒ อย่างนี้ให้ท่าน
พอคิดดังนั้นก็ยกโทรศัพท์โทร.ไปบอกท่านว่า
หลวงพี่จะบวชให้
พอโยมแม่ได้ยินดังนั้นท่านดีใจมากเลย
พอท่านวางสายจากหลวงพี่ท่านก็แอบไปร้องไห้ใหญ่เลย ร้องอย่างกับลูกตาย เพราะปลื้มที่หลวงพี่ยอมบวชให้ จากนั้นท่านก็เฝ้ารอยคอยเร่งวันเร่งคืนภาวนาให้ถึงวันนั้นเร็ว
ๆ และเมื่อหลวงพี่กลับจากการปฏิบัติธรรมที่ภูเรือ ก็เข้าโครงการบวชแสนรูป ๔๙ วัน
ภาคฤดูร้อนทันที
"วันที่หลวงพี่บวช...สังเกตเห็นว่าเป็นวันที่โยมแม่ปลื้มมากที่สุดในโลกในขณะที่กล่าวคำขอขมา
โยมแม่ก้มหน้าและพยายามกลั้นน้ำตาเพื่อไม่ให้มันไหลออกมา แต่พอหลวงพี่ลุกไปเท่านั้น
ไม่ว่าท่านพยายามจะแสดงความเข้มแข็งต่อหน้าหลวงพี่มากขนาดไหน น้ำตาท่านก็ไหลออกมาอย่างพรั่งพรู
จนหลวงพี่รู้สึกว่า ภาพแห่งความยากลำบากที่ต้องแบ่งเงินมาเลี้ยงดูลูกจนตัวเองอดมื้อกินมื้อ
รวมถึงภาพที่หลวงพี่เคยทำผิดพลาด ทำให้ท่านเสียใจมาในอดีต
มันถูกลบออกจากใจของโยมแม่อย่างหมดจดในวันนั้นแล้วแทนด้วยคำพูดจากโยมแม่ว่า..
“แม่ปลื้มและดีใจที่สุด..ไม่คิดไม่ฝันว่า ชีวิตแม่จะมีวันนี้..”
“การบวชทำให้หลวงพี่ได้เรียนรู้อะไรมากมายอย่างที่ไม่คาดคิด
ได้เข้าใจเรื่องบุญบาปและกฎแห่งกรรม ได้ฝึกความมีวินัย เคารพ
อดทนและที่สำคัญยังทำให้หลวงพี่พบความสุขที่แท้จริงที่หาไม่ได้จากที่ไหน
เพราะการนั่งสมาธิทำให้ใจหลวงพี่สงบมากอย่างที่ไม่เคยเป็น
ไม่กระวนกระวายร้อนรนเหมือนอยู่ทางโลก คือ เมื่อปล่อยใจว่าง ๆ โล่ง ๆ ตัวก็เบา
ใจก็เบา แล้วหลวงพี่ก็ค่อย ๆ นึกถึงดวงแก้ว บางทีก็นึกสลับไปสลับมากับองค์พระ
บางทีก็กลายเป็นแสงสว่าง มีความสุขเหลือเกิน อีกทั้งการมาบวชที่นี่
ได้ทำให้หลวงพี่เข้าใจวัดพระธรรมกาย และก็ได้คำตอบที่เคยคาใจว่า
ทำไมโยมแม่ถึงได้ชอบมาทำบุญที่วัดพระธรรมกาย ทั้ง ๆ ที่ท่านก็ไม่ค่อยจะมีกิน
หนำซ้ำเงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์ของท่านก็ได้มาอย่างยากลำบากเหลือเกิน
แทนที่ท่านจะเก็บเป็นทุนชีวิต แต่กลับเอามาทำบุญกับที่นี่
ซึ่งตอนนี้หลวงพี่ได้คำตอบชัดเจนแล้วเพราะท่านคิดว่า
ในเมื่อชาตินี้ท่านเกิดมาจนและแสนลำบาก ท่านต้องเอาบุญนี้ไปเปลี่ยนผังชีวิตของท่าน
เพื่อไม่ให้ท่านมาเจอความจนข้นแค้นอย่างนี้อีก
ซึ่งก็นับว่าเป็นโยมแม่ที่มีวิสัยทัศน์มาก คือ ท่านมีเงินน้อย
แต่สามารถเอาเงินที่น้อย ๆ มาสร้างประโยชน์ที่เยอะ ๆ ได้ คือ ทำบุญไม่กี่บาท
แต่ได้บุญบวชพระเป็นแสนรูปทั้งแผ่นดิน
หรือด้วยเงินไม่กี่บาทของท่านสามารถสร้างเจดีย์ที่อยู่นานเป็นพัน ๆ
ปีได้และท่านบอกว่า ที่สำคัญที่สุด
วัดนี้..เป็นวัดที่สามารถให้ชีวิตใหม่กับลูกชายของท่านได้
“ต่อมาพอใกล้จบโครงการ
เป็นช่วยที่หลวงพี่ต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือไม่ และช่วงที่กำลังลังเลอยู่นั่นเอง
พอหลวงพี่หลับตาทีไร ภาพของโยมแม่ที่กำลังเก็บขยะด้วยความยากลำบากแล้วเอาเงินมาทำบุญ
มันก็ผุดขึ้นมา ผุดมาแบบไม่หยุด จนหลวงพี่ได้คำตอบว่า ท่านลำบากหาเงินมาทำบุญ
เพราะอยากได้บุญมากที่สุด
แล้วทำไมลูกอย่างเราไม่ทำให้ท่านได้บุญไปให้เยอะที่สุดล่ะ พอคิดอย่างนั้น
ก็ตัดสินใจบวชต่อ อีกทั้งพอโทร.ไปหาโยมแม่ เพื่อเอาบุญไปฝากท่านทีไร
ท่านก็จะปล่อยโฮร้องไห้ในโทรศัพท์เพราะปลื้มจากการบวชของหลวงพี่ทุกที
ด้วยเหตุนี้เอง หากหลวงพี่ตัดสินใจลาสิกขาออกไปตอนนี้
ก็จะเป็นการทำร้ายจิตใจของโยมแม่มากเกินไป
และที่สำคัญหลวงพี่ยังไม่อยากทำให้ความปลื้มของโยมแม่หยุดชะงัก
“เมื่อนึกดูแล้ว..ตลอดชีวิตโยมแม่ช่างลำบากเสียเหลือเกิน
ในชีวิตไม่เคยมีความภาคภูมิใจและความสมหวังอะไรเลย และแม้ท่านจะทำอาชีพสุจริต
แต่ลึก ๆ ในใจท่านก็ไม่เคยจะกล้าเล่าให้ใครฟัง เพราะวัน ๆ
ท่านต้องไปคุ้ยกองขยะที่สกปรก ๆ เก็บขยะที่เขาทิ้งแล้วเอามาขาย แต่มาวันนี้..โยมแม่ของหลวงพี่ท่านไม่อายใคร
ท่านมีความภูมิใจมากที่สุดในโลกมีความสุขที่สุดในโลก เพราะมีลูกชายบวชให้
จนท่านสามารถเดินยืดอกและองอาจ แม้ท่านจะเป็นเพียงคนเก็บขยะ
แต่ท่านก็สมปรารถนากว่าแม่ของหลาย ๆ คนบนโลกใบนี้ เพราะท่านพูดอวดใคร ๆ ได้ว่า
“ลูกชายฉันบวชให้..ลูกชายฉันบวชให้..ฉันมีพระลูกชายที่อยู่ช่วยงานหลวงพ่อที่วัดพระธรรมกาย
“สุดท้ายนี้..หลวงพี่อยากจะฝากบอกลูกผู้ชายทั้งโลกว่า
โปรดให้โอกาสกับลูกผู้หญิงคนหนึ่งที่เราเรียกท่านว่าแม่โดยการบวชเถิด
เพราะแม่เป็นผู้หญิงที่ให้เราได้ทั้งชีวิต จงทำให้ท่านปลื้มใจและได้เกาะชายผ้าเหลืองลูกขึ้นสวรรค์
เพราะเราก็ไม่รู้ว่า ท่านจะเหลือเวลาอยู่บนโลกนี้กับเราไปอีกนานสักเท่าไร..”
Cr. ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๐๕ เดือนกรกฎาคม
พ.ศ. ๒๕๕๔
แด่โยมแม่..ด้วยดวงใจแห่งชัยชนะ
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
02:00
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: