เส้นทางแห่งความสุข อยู่ใกล้ ๆ ไม่ต้องเอื้อม




ชีวิตนี้เป็นของน้อยและประมาทไม่ได้ เพราะผู้ที่ประมาทก็เหมือนคนที่ตายแล้ว การดำเนินชีวิตอยู่ในความไม่ประมาทคือการดำเนินจิตอยู่บนเส้นทางสายกลาง ซึ่งอยู่ภายในตัวของมนุษย์ทุกคน การดำเนินชีวิตอยู่ในเส้นทางสายกลาง คือ การดำเนินชีวิตด้วยการทำใจให้หยุด ให้นิ่ง ความหยุดนิ่งนั้นเองจะนำทางเราไปสู่ความสุขอันไม่มีประมาณ ดังเรื่องเล่าจากประสบการณ์ภายในของพระธรรมทายาทเหล่านี้

ดวงใจผมเป็นสุขทุกวันคืน



พระธรรมทายาท วัชระ  สุทฺธิจาโค
อายุ ๒๖ ปี  ศูนย์อบรมวัดกก
เขตบางขุนเทียน  กรุงเทพมหานคร

"อาตมาดีใจมาก ๆ ที่ได้มาบวชในโครงการ ๑ แสนรูป รุ่นที่ ๓ ซึ่งการบวชครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๓ ในชีวิตเช่นกัน ครั้งที่ ๑ อาตมาเคยบวชอยู่ ๑๕ วัน ซึ่งเป็นการบวชตามประเพณี ครั้งที่ ๒ บวชที่วัด ต่างจังหวัด ตอนนั้นไม่ได้ศึกษาธรรมะได้แต่ฝึกสมาธิ แบบนั่งเพื่อให้ได้ฤทธิ์ เคยนั่งสมาธิหน้าโลงศพที่มีศพอยู่จริง ๆ นั่งจากเที่ยงคืนไปจนถึง ๖ โมงเช้า จิตนิ่งดีมาก ๆ ตอนนั้นบวชได้เกือบปี แต่สุดท้ายก็ลาสิกขาออกไปมีครอบครัว

"ก่อนบวชอาตมาทำงานในผับแห่งหนึ่ง ย่านถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ อยู่กับภรรยาซึ่งเป็น ผู้จัดการผับ ส่วนอาตมาอยู่ประจำที่เคาน์เตอร์บาร์น้ำ คอยจัดเครื่องดื่มให้พนักงานเอาไปเสิร์ฟแขกที่โต๊ะ ทั้ง ๆ ที่เป็นคนไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ แต่ก็ไม่รู้เพราะเหตุไรเหมือนกันว่า ตั้งแต่สึกออกมา ชีวิตวนเวียนอยู่กับคนผิดศีล ทั้งอบายมุข เหล้า บุหรี่ อาตมาอยากหนีออกมาจากตรงนั้นมาก แต่ก็หนีไม่พ้น คงเป็นเวรเป็นกรรม แล้วต่อมาก็ทะเลาะกับภรรยาบ่อย ๆ เพราะเธอชอบดื่มเหล้า วันหนึ่งเราทะเลาะกันหนักมาก อยู่ในอารมณ์ที่ทั้งเบื่อ ทั้งเซ็ง และคิดเสียใจว่า "ฉันไม่น่าสึกออกมาเลยจริง " เริ่มรู้สึกว่านี่ไม่ใช่โลกของเรา คิดถึงผ้าเหลืองอย่างจับใจ อยากเป็นกบฏกับชีวิตทางโลกเสียแล้ว

"วันหนึ่ง อาตมาได้เห็นป้ายชวนบวชพระโครงการ ๑ แสนรูปทั่วไทย แล้วคำว่า "บวชฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย"  ก็ทำให้ยิ้มได้ ดีใจมากที่จะได้กลับไปห่มผ้าเหลืองอีกครั้ง จึงรีบโทรศัพท์ไปสมัครบวชทันที

"การได้บวชในโครงการนี้นับเป็นบุญมหาศาล ได้เรียนรู้ธรรมะมากมายอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เรียนรู้เรื่องกฎแห่งกรรม ได้ฝึกความเป็นพระแท้ รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้มาบวช ไม่อย่างนั้นก็ยังอยู่ที่บาร์น้ำ เตรียมเหล้าไปเสิร์ฟให้คนดื่ม นึกแล้วก็หวาดเสียว และสิ่งที่ทำให้มีกำลังใจในการฝึกฝนตนเองอย่างไม่ย่อท้อ คือ การได้นั่งสมาธิทุกวัน

"อาตมานั่งสมาธิตามที่หลวงพ่อและพระอาจารย์สอน โดยเริ่มต้นจากทำใจสบาย ๆ ปิดตาเบา ๆ ไม่กดเปลือกตา แล้วก็ทำหน้ายิ้ม ๆ ทำแบบคนมีความสุข โดยเอาใจไปไว้กลางท้องเหนือสะดือ ๒ นิ้วมือ และภาวนา "สัมมาอะระหัง" ไปเรื่อย ๆ ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงในกะโหลกดัง...บึ้บ แล้วสมองก็โล่งไปเลย เย็นไปทั้งกะโหลก ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ตัวเบาเหมือนจะลอยได้ แล้วก็เห็นดวงแก้วเป็นลูกกลม ๆ ใหญ่ประมาณนิ้วหัวแม่มือ ลอยขึ้นมาในท้อง อาตมาดีใจมาก แต่พอจ้อง ดวงแก้วก็หายไป

"พอมาฟังคุณครูไม่ใหญ่สอนในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาว่า "อย่าไปจ้อง ให้ทำเฉย " จึงรู้วิธี คราวนี้นั่งใหม่ พอเห็นดวงแก้วอีก ก็ทำ เฉย ยิ่งเฉย ใจก็ยิ่งนิ่ง ดวงแก้วก็ยิ่งใส ใสเหมือนน้ำ และมีแสงสว่างในตัวเองด้วย ตอนนั้นมีความสุขมาก สุขแบบอยากให้ทุกคนมีความสุขอย่างนี้ ...สุขดีที่หนึ่งเลย หลังจากนั้นก็ได้มาบรรพชาที่วัดพระธรรมกาย ดวงแก้วก็ยังอยู่ตลอดเวลา อาตมาปีติน้ำตาคลอทั้งวัน รู้สึกรักวัดพระธรรมกายมาก ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จัก แต่เหมือนคุ้นเคยกับวัดมานาน

"หลังจากบวชแล้ว ประสบการณ์ก็พัฒนาขึ้น วันหนึ่งขณะนั่งมองดวงแก้วอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเหมือนได้ เข้าไปอยู่ในดวงแก้วนั้น พอทำนิ่ง ๆ ก็เห็นองค์พระขึ้นมาเลย ไม่รู้ท่านมาอย่างไร เป็นองค์ใหญ่ครอบตัวไว้ แล้วตัวก็ลอย ๆ เบา ๆ ภาพของท่านก็ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ท่านมีเกตุเป็นรูปดอกบัวตูม มีจมูก โด่ง ๆ ผิวกายใสเหมือนน้ำ แล้วดวงแก้วก็ยังสว่างอยู่ในท้องด้วย พอลืมตาแล้วรู้สึกสดชื่นมาก ยิ้มได้คนเดียว มีแต่ความเบิกบานใจ ตอนนี้ทั้งดวงแก้ว และองค์พระก็ยังอยู่ ท่านอยู่กับอาตมาเสมอ เหมือนจะคอยสอน คอยเตือนตลอดเวลา ซึ่งปัจจุบันนี้ท่านก็ใสมากจนมองทะลุได้ และจะนึกให้ใหญ่ขึ้น ก็ได้ เล็กลงก็ได้ ดวงใจอาตมาเป็นสุขทั้งกลางวัน กลางคืน"

การเดินทางที่แท้จริง
เริ่มต้นแล้วที่ศูนย์กลางกาย


พระธรรมทายาท ไท้อนุชิต  ชวนปญฺโญ
อายุ ๕๒  ปี  ศูนย์อบรม วัดท่าเกวียน
อ.วัฒนานคร  จ.สระแก้ว

"ก่อนมาบวชอาตมามีอาชีพเป็นช่างเทคนิค รับติดตั้งจานดาวเทียมทุกชนิด ทุกยี่ห้อ รวมทั้งจานดาวธรรมด้วย และรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดทั่วราชอาณาจักร อะไรเสียขอให้บอก ถ้ามาถึงมือ ..เป็นซ่อมได้ อาตมามาวัดพระธรรมกาย ตั้งแต่อายุ ๒๐ ปี โดยมากับคุณยายและแม่ แต่พอเริ่มทำงานก็ไม่ค่อยได้มา พออายุ ๒๘ ปี ได้ไปบวชอยู่ที่ วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ บวชนานถึง ๙ เดือน มีโอกาสได้ศึกษาธรรมะ ได้นั่งสมาธิ ได้เดินธุดงค์ไปจังหวัดเชียงใหม่ แต่ด้วยความจำเป็นบางประการ จึงต้องลาสิกขา แต่ก็ยังนั่งสมาธิมาตลอด

"โยมน้องสาวของอาตมาเป็นผู้นำบุญอยู่ที่ประเทศเยอรมนี เป็นประเภท "มาทุกครั้ง ทำทุกบุญ ถวายทุกอย่าง" เธอบอกว่า  "อยากได้บุญบวช แต่บวชไม่ได้"  จะขอให้อาตมาบวชแทน ส่วนโยมแม่ บอกว่า  “ไหน ก็เคยบวชมาแล้ว น่าจะบวชอีกสักที จะได้ลองนั่งสมาธิแบบวัดพระธรรมกายดู” ใจจริงอยากบวชให้โยมแม่อยู่แล้ว อาตมาเลยยิงคำถามกลับไปสั้น คำว่า “บวชวันไหน?

"อาตมาบวชด้วยความตั้งใจ จึงฝึกกิจวัตรทุกอย่างไม่ให้ขาด ไม่ให้บกพร่อง เพราะอยากให้โยมพ่อ โยมแม่ และญาติโยมทั้งหลายที่สนับสนุนโครงการ มีส่วนในบุญบวชครั้งนี้อย่างเต็มที่ พอมาอยู่ในโครงการ ได้นั่งสมาธิวันละ ๔-๕ เวลา ก็รู้สึกสนุกมาก อาตมาจะจัดวางร่างกายตามที่พระอาจารย์สอน และวางใจสบาย ๆ ตั้งหลังให้ตรง แล้วก็กำหนดจิตให้นิ่ง ๆ โดยนึกเอาความรู้สึกไต่ไปตามฐานที่ ๑ ไปจนถึงฐานที่ ๗ ทำซ้ำไปซ้ำมา อยู่ ๆ ก็เห็นแสงสว่างพุ่งเข้ามาตรงหว่างคิ้ว ความสว่างที่เห็นมีลักษณะเป็นลูกกลม ๆ ใส ๆ เหมือนดวงแก้ว ใหญ่ประมาณนิ้วหัวแม่มือ อาตมาก็นึกให้ความสว่างนั้นไหลลงไปในรูจมูก และสูดลมหายใจเข้า ทำความรู้สึกให้ไหลขึ้นไปตามสันจมูก ไต่ไปเรื่อย ๆ ตามฐานต่าง ๆ ตอนนั้นสมาธิดีมาก ไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่ปวด ไม่ชา ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย พอมาถึงฐานที่ ๗ จิตก็จดจ่ออยู่ตรงนั้น ใจมันเบาสบาย โล่งไปหมด แล้วความสว่างก็ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ อยู่กับความสว่างจนหมดเวลา วันต่อมานั่งสมาธิอีกก็สว่างแบบเดิมอีก

"จนผ่านไป ๑ สัปดาห์ ขณะที่จิตตั้งอยู่ในความสว่างตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อาตมาก็เห็นจุดเล็ก ๆ ค่อย ๆ ก่อตัวขยายใหญ่ขึ้นเป็นวง ซ้อน ๆ กันขึ้นมา เป็นความสว่างซ้อนความสว่างที่อยู่ในความสว่าง ที่เคลื่อนตามกันขึ้นมาตลอดเวลา พอมองดูเฉย ๆ อยู่ ๆ ก็เห็นองค์พระเป็นเงา ราง ๆ พอเอาจิตไปจับ ภาพท่านก็ชัดเลย ลักษณะของท่านเหมือนพระแก้วมรกต ใหญ่ประมาณ ๑ ฝ่ามือ นั่งสมาธินิ่ง ๆ หลับตาปริ่ม ๆ พริ้ม ๆ มีสันจมูกโด่ง ผิวพรรณใสเป็นแก้ว คล้ายพระพุทธรูป ที่ทำมาจากเรซิน (resin) มีฉัพพรรณรังสีพุ่งออกมาจากกลางท้อง เป็นดวงกลม ๆ สว่าง ๆ ขยายซ้อนกันขึ้นมาตลอดเวลา ตอนนั้นรู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งที่มีแต่ความสงบ เย็นสบาย

"พอลืมตาแล้ว องค์พระก็ยังอยู่ ท่านอยู่กับอาตมาตลอดเวลา เดี๋ยวนี้พอหลับตา ไม่ต้องไต่ความ รู้สึกไปตามฐานต่าง ๆ แล้ว อาตมาสามารถเอาจิต ไปตั้งนิ่ง ๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ได้เลย ถ้าใจ สงบดี องค์พระใส ๆ ก็จะมาเป็นปกติ ทำให้มีแต่ความปีติยินดี จิตใจปลอดโปร่ง ไม่มีความกังวลใจเลย "อาตมาภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก ที่สามารถเอาใจไปสัมผัสกับองค์พระได้ เพียงแค่ทำใจนิ่ง ๆ และหลับตาลงเท่านั้นเอง"

โอ้! อัศจรรย์
แค่หลับตาเฉย ๆ เท่านั้น ก็เห็นเอง



พระธรรมทายาท สิทธิชัย  วรมงฺคโล
อายุ ๒๐ปี  ศูนย์อบรม วัดท่าเกวียน
อ.วัฒนานคร  จ.สระแก้ว

"ก่อนมาบวชอาตมาได้ไปทำกิจกรรมอาสาพัฒนา ช่วยเด็กยากจนที่โรงเรียนเก่า วันหนึ่งก็มีอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อนไปพบท่านผู้อำนวยการ เพื่อขอให้ท่านช่วยตามคนไปบวช ท่านก็เลยให้อาตมาพาอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อนไปหาคนที่มีแนวโน้มว่าน่าจะบวช ขณะที่กำลังเดินไปยังบ้านเป้าหมาย อุบาสิกา แก้วท่านหนึ่งก็พูดกับอาตมาว่า “คนพาไปก็น่าจะสมัครบวชก่อนนะ” อาตมาก็ตอบไปทันทีว่า “ไม่บวชครับ”แต่เขาก็พูดชวนอีก “บวชเถอะ บวชทดแทนคุณบิดามารดา แล้วบวชฟรีไม่ต้องใช้เงินพ่อแม่นะ” อาตมาก็ชักจะลังเล พอกลับบ้านไปเล่าให้โยมแม่ฟัง โยมแม่ก็บอกว่า “บวชเลย” อาตมาจึงโอเค เพราะตั้งใจจะบวชให้ท่านอยู่แล้ว

"ตั้งแต่วันแรกที่เข้าโครงการ อาตมาพยายามฝึกฝนตัวเองทุกอย่าง เพื่อให้โยมพ่อ โยมแม่ และหมู่ญาติ ได้บุญกันเยอะ ๆ แล้วโครงการนี้ก็มี พระอาจารย์และพระพี่เลี้ยงที่ประเสริฐที่สุด ทุกรูปดูแลดีมาก แถมยังสอนนั่งสมาธิเก่งอีกด้วย วันแรกที่นั่งสมาธิ อาตมายังนั่งไม่ค่อยได้ เพราะนั่งทีไรจะมีอาการวูบเหมือนโดนดึงขึ้นไป คล้ายถูกกระชากอย่างแรง รู้สึกหวาดเสียวจนต้องลืมตา และถ้านั่งนาน ๆ ก็จะปวดขา ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ พอวันที่ ๒ ของการอบรม พระอาจารย์เอาดวงแก้วมาให้ดู สอนให้รู้จักศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ท่านบอกว่าเวลานั่งสมาธิให้ทำตัวสบาย ๆ แค่หลับตาลงเท่านั้น อาตมามองดวงแก้วที่อยู่ในมือพระอาจารย์นิ่ง ๆ พอหลับตาปุ๊บ ก็เอาภาพดวงแก้วมาใส่ไว้ในใจ ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ฟังเสียงพระอาจารย์ไป ทำตามไปเรื่อย ๆ นึกให้มีเครื่องหมายบวกอยู่ในท้อง เอาลูกแก้วไปวางไว้ตรงกลาง แล้วก็มองไปเรื่อย ๆ นิ่ง ๆ นึกอยู่อย่างนั้น แล้วอยู่ ๆ ก็เหมือนมีคนเอาไฟฉายมาส่องใส่ตา พอมองไปแสงนั้นก็สว่างขึ้น สว่างกว่าไฟฉาย แล้วความรู้สึกก็เหมือนกำลัง แหวกลูกแก้วออก ใจมันจ้องแต่ตรงนั้น ไม่มีความฟุ้งซ่านเลย แล้วก็เห็นดวงแก้วเยอะมาก ดวงแก้ว ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาข้างบนเรื่อย ๆ ตอนแรกรู้สึกตกใจ และแน่นหน้าอก เพราะกลัวดวงแก้วจะพุ่งขึ้นมาชน จึงลืมตา พอไปถามพระอาจารย์ ท่านก็แนะนำว่าให้ มองผ่านดวงแก้วเข้าไปเลย

"คราวนี้พอนั่งใหม่ สักพักดวงแก้วก็มาแบบเดิม จึงมองผ่านดวงแก้วไปนิ่ง ๆ แล้วดวงแก้วก็ผ่านตัวไปอย่างแผ่วเบา รู้สึกเย็นไปทั้งตัว สบายมาก ๆ สดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พอทำใจนิ่ง ๆ อีก ก็เห็นตรงกลางของดวงแก้วเป็นเศียรพระ มีดอกบัวตูมสวยมาก ทีแรกก็สะดุ้งนิดหน่อย เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย พอตั้งสมาธิได้ก็มองผ่านเศียรพระไปเรื่อย ๆ อยู่ ๆ ก็เห็นเป็นองค์พระทั้งองค์เลย ตอนแรกก็ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง สลับไปสลับมา แล้วไม่นานก็หมดเวลา

"ตั้งแต่นั้นมา อาตมาสามารถตัดเรื่องราวภายนอกได้ง่าย ไม่มีความกังวล หลับตาไม่นานก็เห็น องค์พระเลย แล้วนั่งทุกวันก็เห็นท่านชัดขึ้นทุกวัน จนตอนนี้เห็นชัดมาก ๆ องค์พระใหญ่ประมาณ ๑ คืบ นั่งสมาธินิ่ง ๆ อยู่ในตัว ท่านสวยมาก ใสมาก ใสเหมือนกระจก แล้วก็มีดวงแก้ววิ่งขึ้นมาตลอดเวลา บางดวงใหญ่มาก ล้อมตัวอาตมาไว้เลย ทำให้อาตมารู้สึกเหมือนมีเกราะป้องกันตัว แล้วทั้งอาตมาทั้งองค์พระก็สว่างไสวไปหมด ตอนนี้ไม่ว่าจะทำอะไร เดินไปไหน ถ้าจิตใจไม่สั่นไหว ก็จะเห็นองค์พระได้เสมอ อาตมารู้สึกว่าท่านยิ้มให้ตลอดเวลา เหมือนท่านคอยอาตมาอยู่ในศูนย์กลางกาย องค์พระทำให้อาตมามีความสุขมาก มีจิตใจเบิกบาน ไม่เครียด ไม่วุ่นวายใจเลย


หยุดได้ จึงเห็นพระ ละได้ จึงเห็นธรรม อยากมีชีวิตที่ไร้ความทุกข์ พึงรู้จักนำใจไปสู่แหล่งแห่งความสุข ..แหล่งความสุขที่ว่านี้ อยู่ในกลางกายของเราทุกคน “ศูนย์กลางกายฐานที่ เหนือสะดือ นิ้วมือ” สุขใจที่จะนิ่ง นิ่งอย่างเป็นสุข ตำแหน่ง นั้น ความสุขอันเป็นนิรันดร์อยู่ใกล้ ๆ อยู่ในใจ ไม่ต้องเอื้อมจริง ๆ



Cr. ธัมม์  วิชชา
วารสารอยู่ในบุญ  ฉบับที่ ๑๐๔  เดือนมิถุนายน  พ.ศ. ๒๕๕๔
เส้นทางแห่งความสุข อยู่ใกล้ ๆ ไม่ต้องเอื้อม เส้นทางแห่งความสุข  อยู่ใกล้ ๆ ไม่ต้องเอื้อม Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 01:17 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.