คุณค่าของฤดูกาลเข้าพรรษา
คำถาม
ฤดูกาลเข้าพรรษามีคุณค่าอย่างไรต่อพระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชน
?
วันเข้าพรรษาเป็นวันบุญใหญ่ของชาวพุทธทั่วโลก
ถ้ามองตามประวัติศาสตร์ก็จะเห็นว่าเป็น เรื่องของพระภิกษุ
ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำหนดไว้ว่าให้อยู่ประจำวัด ไม่ให้ออกไปค้างคืนที่ไหน
จะได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมให้เต็มที่ ถ้าจาริกออกไปเทศน์ที่นั่นที่นี่
ก็จะเป็นการรบกวนชาวโลก แต่ว่าเมื่อเจาะลึกลงไปในภาคปฏิบัติแล้ว เราก็พบว่า
วันเข้าพรรษาเป็นวันที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งต่อพระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชนทุกฝ่าย
ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุและพวกเราชาวโลก เพราะว่า
๑.
มีประเพณีนิยมกันในโลกของพระพุทธศาสนาว่า หากกุลบุตรจะเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา
ก็จะเข้ามาบวชกันในช่วงเข้าพรรษานี้
๒. ในช่วงเข้าพรรษา
พระผู้ใหญ่ท่านก็ไม่ไปไหน ท่านจะอยู่ประจำที่วัดของท่าน
ในการอยู่ประจำวัดของพระผู้ใหญ่นั้น
ก็มีนัยสำคัญ ๆ อยู่ ๓ ประการด้วยกัน
ประการที่ ๑
ท่านจะอยู่ทำหน้าที่อบรมพระภิกษุใหม่ เนื่องจากท่านไม่ไปไหนตามพระวินัย กำหนด
แล้วก็เคร่งครัดในพระธรรมวินัย คือนอกจากการบำเพ็ญภาวนาตามกิจวัตรประจำวันแล้ว
ท่านก็ตั้งใจอบรมพระใหม่ ปลูกฝังพระธรรมวินัยให้กับพระใหม่
และลงมาจัดการเรื่องการเรียนการสอนอย่างเป็นล่ำเป็นสันในฤดูเข้าพรรษานี้ด้วยตนเอง
เมื่อมีการเรียนการสอนอย่างเป็นล่ำเป็นสันอย่างนี้ตั้งแต่โบราณมาแล้ว
ก็เลยเกิดประเพณีของญาติโยม ที่ควบคู่มากับการเข้าพรรษาของพระภิกษุ ได้แก่
ประเพณีถวายเทียนเข้าพรรษา
เมื่อหลวงพ่อยังเป็นเด็ก
เวลาไปตามวัดต่าง ๆ ในตอนกลางคืน จะเห็นเทียนเข้าพรรษาต้นโต ๆ สูงหนึ่งเมตรบ้าง
หนึ่งเมตรครึ่งบ้าง จุดไว้ ๒ ต้น ๓ ต้น สว่างทั่วทั้งศาลา
พระผู้ใหญ่ท่านก็นั่งเป็นประธานแล้วก็สอนธรรมะกันตอนกลางคืน
พระผู้น้อยที่บวชใหม่ก็ล้อมวงเรียนธรรมะด้วยความตั้งใจ
นี่ก็คือประเพณีการศึกษาพระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนาที่มีมายาวนานตั้งแต่โบราณ
แต่เนื่องจากในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น
ประเพณีการถวายเทียนเข้าพรรษาในทุกวันนี้ ก็เลยปรับมาเป็นการถวายประทีปโคมไฟแทน
แต่ไม่ได้หมายความว่า พระท่านเรียนธรรมะเฉพาะในฤดูเข้าพรรษา นอกฤดูเข้าพรรษาท่านก็เรียนธรรมะตามปกติ
แต่เหมือนกับว่า ในช่วงฤดูเข้าพรรษาเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเปลี่ยนประทีปโคมไฟ
เพื่อสนับสนุนการศึกษาเล่าเรียนธรรมะของพระภิกษุนั่นเอง นี่ก็เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาในพระพุทธศาสนา
ประการที่ ๒
ท่านอยู่จำพรรษาพร้อมหน้าพร้อมตา จึงถือโอกาสฝึกหัดขัดเกลาตนเองไปพร้อมกัน
คือนอกจากพระผู้ใหญ่หลาย ๆ รูป จะวางภารกิจในการเทศน์นอกวัดเพื่อมาอบรมพระใหม่แล้ว
ก็ยังถือโอกาสอบรมตนเองด้วยการเจริญภาวนาไปพร้อม ๆ กัน เพราะว่าอากาศในฤดูเข้าพรรษา
ทั้งไม่ร้อน ไม่หนาว ชุ่มชื่นกำลังดี เหมาะแก่การเจริญภาวนา เมื่อท่านอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
ฤดูกาลนี้จึงกลายเป็นฤดูแห่งการเจริญภาวนาไปด้วยในตัว
ประการที่ ๓
ท่านจะประชุมวางแผนเตรียมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในช่วงออกพรรษา เมื่อสิ้นฤดูฝนแล้ว ว่าจะต้องไปทำอะไร ที่ไหน อย่างไรกันบ้าง เช่น
ออกเดินทางไปเทศน์โปรดชาวบ้านในถิ่นที่ไกล ๆ
หรือเตรียมบูรณะวัดวาอารามที่ตนเองอยู่ หรือจะซ่อมแซมโบสถ์ศาลาในวัดของตนเอง
หรือจะไปสร้างวัดใหม่ในชนบทที่ห่างไกล เป็นต้น
หน้าที่ทั้ง
๓ ประการนี้ คือภาระใหญ่ของพระผู้ใหญ่ที่ทำกันอยู่ในช่วงฤดูเข้าพรรษา ส่วนในฝ่ายญาติโยมก็เช่นกัน
ตั้งแต่โบราณมาแล้ว ปู่ย่า ตายาย ก็ดีใจกันว่า ในช่วงฤดูเข้าพรรษานี้
นอกจากหลวงพ่อ หลวงพี่ จะอยู่ประจำวัดแล้ว ก็ยังมีพระใหม่ที่บวชก่อนเข้าพรรษา
และพระหนุ่มเณรน้อยที่มาบวชเพิ่มในช่วงเข้าพรรษาอีกด้วย ฤดูเข้าพรรษาก็เลยกลายเป็นฤดูแห่งการทำบุญทำทานของญาติโยม
ยิ่งมีพระภิกษุจำพรรษากันคับคั่งในแต่ละวัดมากเท่าไร การทำบุญ
ทำทานยิ่งคึกคักกันมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น
ฤดูเข้าพรรษาจึงกลายเป็นประเพณีทำบุญของญาติโยมที่สืบทอดกันมาในพระพุทธศาสนาโดยปริยาย
หลวงพ่อจำได้ว่า เมื่อสมัยยังเป็นเด็ก
ญาติโยมที่มาทำบุญในสมัยนั้น ท่านจะเริ่มไปวัดตั้งแต่วันโกน (วันก่อนวันพระ ๑ วัน)
แล้วก็มักจะไปนอนค้างที่วัด เตรียมจัดทำข้าวปลาอาหารตั้งแต่วันโกน
แล้วพอรุ่งขึ้นเป็นวันพระ ท่านก็เลี้ยงพระทั้งวัดกันเต็มที่เลย
พอทำบุญแล้วก็ฟังเทศน์ นั่งสมาธิ ร่วมกับพระที่วัดนั้น แล้วพอวันรุ่งขึ้น
(หลังจากวันพระ) ท่านก็อยู่เก็บกวาดทำความสะอาด วัดให้เรียบร้อยก่อน
แล้วค่อยกลับบ้าน ก็เป็นอันว่า ๑ สัปดาห์มี ๗ วัน ญาติโยมก็มาอยู่ที่วัดตั้ง ๓ วัน
คือ ก่อนวันพระ ๑ วัน ในวันพระอีก ๑ วัน หลังวันพระอีก ๑ วัน พอบ่าย ๆ เย็น ๆ จึงได้กลับบ้านกัน
เมื่อประเพณีการอยู่วัดในช่วงเข้าพรรษาเป็นแบบนี้
ก็เลยกลายเป็นว่า ฤดูเข้าพรรษาในแต่ละปี
ไม่ใช่เฉพาะพระเท่านั้นที่ฝึกอบรมศีลธรรมอย่างเคร่งครัด
แต่ยังมีญาติโยมที่ไปทำบุญที่วัดนั้นร่วมกันปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดอีกด้วย
ฤดูกาลเข้าพรรษาจึงกลายเป็นฤดูกาลแห่งการอบรม
ศีลธรรมอย่างเคร่งครัดทั้งพระภิกษุและญาติโยมไปโดยปริยาย ด้วยเหตุนี้
การบรรลุธรรมในฤดูเข้าพรรษาทั้งฝ่ายพระและฝ่ายบ้านจึงมีอย่างต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ
การที่ญาติโยมพร้อมหน้าพร้อมตากันทำบุญนี้
นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นการสั่งสมบุญให้กับตนเองให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปแล้ว
ก็ยังเป็นการสนับสนุนหลวงพ่อ
หลวงพี่ทั้งหลายให้ได้ปฏิบัติคันถธุระและวิปัสสนาธุระของท่านได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
ส่วนญาติโยมเองก็มีเวลาที่จะมาฟังเทศน์และปฏิบัติธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเช่นกัน
หลวงพ่อธัมมชโย
ได้ให้โอวาทกับลูกพระลูกเณรในวัดพระธรรมกายไว้เสมอว่า ในฤดูเข้าพรรษาก็ขอให้ลูก
ๆ ทุกคนตั้งใจเป็นพระทั้ง ๒ ชั้น พระชั้นแรก คือกายเนื้อที่บวชเป็นพระอยู่
ห่มครองผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ ก็ต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัยให้เรียบร้อยเคร่งครัด
ส่วนพระชั้นที่สอง คือการตั้งใจเจริญสมาธิภาวนาไปจนกระทั่งเข้าถึง พระธรรมกายในตัว
นี้จึงเป็นการบวช ๒ ชั้น คือเป็นพระทั้งข้างนอกและข้างใน
เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านให้นโยบายในช่วงฤดูเข้าพรรษาไว้แบบนี้แล้ว
ท่านก็ให้กำลังใจกับลูกพระลูกเณรของท่านที่เพิ่งมาบวชใหม่
ซึ่งตรงนี้ญาติโยมก็นำไปใช้ได้เช่นกัน
ท่านให้กำลังใจในการเจริญภาวนาไว้ว่า "การทำสมาธินั้น
ไม่ต้องไปเร่งไปร้อน แต่ว่าให้ค่อย ๆ ทำไปทุกวัน ๆ
เหมือนปลวกเหมือนมดที่ก่อรังขึ้นทีละน้อย ๆ "
การก่อรังของมดปลวกนั้น
ไม่ใช่หักโหมทีละมาก ๆ หรอก เพราะตัวมันนิดเดียว แต่มันอาศัยความเพียรต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะคาบดิน จะแทะกิ่งไม้ ใบไม้ มันก็ทำได้ทีละนิด ๆ แล้วก็ขนเอามาทำรัง
แต่ว่ามันก็ทำของมันไป เผลอแป๊บเดียวเท่านั้น จอมปลวกก็เกิดขึ้นมาจอมเบ้อเร่อ
รังมด บนยอดไม้ก็รังเบ้อเร่อ พวกเราก็เหมือนกัน ตลอด ๓ เดือนของฤดูเข้าพรรษานี้
ตั้งจิตอธิษฐานให้ดีอยู่ ๒ เรื่อง
เรื่องที่หนึ่ง
คือการอธิษฐานจิตเพื่อสะสมการทำภาวนา
ไปทีละเล็กทีละน้อยต่อเนื่องทั้งวันเหมือนกับมดปลวกสร้างรัง
ในระหว่างวันนั้น
เมื่อเราระลึกรู้ตัวขึ้นได้เมื่อไร ก็ให้ภาวนาคำว่า สัมมาอะระหัง
เพื่อสั่งสมความใจหยุดใจนิ่งให้เป็นสมาธิไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ว่าวันหนึ่งจะได้เท่าไร
จะระลึกได้กี่รอบ ก็สะสมกันไปสุดความสามารถของเราเท่านั้น
ซึ่งก็จะเพาะเป็นความคุ้นเคยกับการทำภาวนาไปโดยปริยาย
เมื่อถึงเวลาเลิกจากภารกิจการงานในแต่ละวัน พอลงมือนั่งสมาธิปุ๊บ
ใจก็จะสงบนิ่งได้ไว เพราะฝึกซ้อมมาทั้งวันแล้ว ทำให้มีโอกาสเข้าถึงธรรมได้ไวขึ้น
และจะกลายเป็นการเพาะนิสัยรักการทำภาวนาติดตัวข้ามภพข้ามชาติไปโดยเราไม่รู้ตัว
เรื่องที่สอง
คือการอธิษฐานเพื่อแก้ไขนิสัยที่เป็นข้อบกพร่องของตนเอง
เมื่อสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร พระผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
ท่านยังมีชีวิตอยู่ พอถึงวันเข้าพรรษาเท่านั้น ท่านก็เรียกประชุม ลูกพระ ลูกเณร
รวมทั้งชาววัดทั้งหมด ให้มาพร้อมหน้าพร้อมตากัน แล้วท่านก็สอนให้อธิษฐานจิตว่า
พรรษานี้ให้ทุกคนสำรวจดูตัวเองว่ามีข้อบกพร่องอะไรบ้าง ที่ถือว่าเสียหายมาก ๆ แล้วก็อธิษฐานตั้งใจแก้ไขข้อเสียนั้นให้ได้ภายในพรรษานี
พูดง่าย ๆ ก็คือ ในพรรษานี้
นอกจากจะเป็นการทำภาวนาให้เต็มที่แล้ว ยังต้องแก้ไขนิสัยไม่ดีของตัวเองอย่างเต็มที่ด้วย
หลวงปู่ท่านให้พิจารณาว่า
เรามีนิสัยไม่ดีอะไรบ้าง ซึ่งแต่ละคนก็มีทั้งนิสัยดีและไม่ดีคนละหลาย ๆ อย่าง
แต่ท่านแนะนำว่า ให้ยกเอานิสัยไม่ดีมาแค่ข้อเดียวก่อน
แล้วก็ให้ตั้งจิตอธิษฐานแก้ไขนิสัยไม่ดีนั้นให้ได้ภายในพรรษานี้
โดยอาศัยบารมีของพระรัตนตรัย บารมีของครูบาอาจารย์ ที่อยู่จำพรรษาในวัด
สงสัยอะไรก็จะได้ไปซักถามท่าน แล้วนำกลับมาแก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง
อธิษฐานจิตลงไปเลยว่า พรรษานี้จะต้องแก้ให้ได้ แล้วตั้งใจแก้ไขปรับปรุงตนเองไป
จะแก้ไขได้มากน้อยแค่ไหน ก็ปรับปรุงกันไป ถึงแม้ยังแก้ได้ไม่หมด
ทุเลาเบาบางไปได้บ้างก็ยังดี ซึ่งถ้าตั้งใจจริงอย่างต่อเนื่องตลอด ๓ เดือนนี้
ก็มีโอกาสแก้ไขหมดได้
หลวงปู่ท่านสอนอย่างนี้เป็นประจำในช่วงฤดูเข้าพรรษา
หลวงพ่อก็ขอฝากพวกเราให้ไปพิจารณาว่า เรามีนิสัยไม่ดีอะไรบ้าง
ที่มักจะทำความเสียหายให้เราอยู่เป็นประจำ แล้วก็ยกเอานิสัยไม่ดีนั้น ตั้งเป็นเป้าหมายในการอธิษฐานจิต
เพื่อแก้ไขนิสัยไม่ดีนั้นให้หมดไปให้ได้ในพรรษานี้
การอธิษฐานจิตตามคำแนะนำของหลวงปู่นี้
ไม่ควรจำกัดเฉพาะเราเท่านั้น แม้แต่ลูกหลานว่านเครือเนื้อหน่อในวงศาคณาญาติ
ก็ควรแนะนำให้เขาด้วย เขาจะได้ย้อนกลับมาทำความรู้จักนิสัยทั้งดีและไม่ดีของตนเอง
รู้จักคิดพิจารณาแก้ไขนิสัยไม่ดีของตนเอง ถ้าเราทำอย่างนี้ เมื่อถึงวันออกพรรษา
เราก็จะได้ลูกแก้ว หลานแก้ว ที่เป็นทั้งคนดีและคนเก่งเต็มบ้านเต็มเมือง โดยมีเรา
เป็นต้นแบบของผู้นำในการทำความดี
ในช่วงฤดูเข้าพรรษาแห่งการฝึกฝนอบรมตนเองนี้
หลวงพ่อก็ขออนุโมทนาบุญกับพวกเราที่มาสร้างบุญใหญ่เนื่องในโอกาสวันเข้าพรรษา
และที่กำลังจะสร้างบุญใหม่ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปตลอดทั้งพรรษา ขอให้อำนาจบุญนั้น
จงดลบันดาลให้พวกเราทุกคนแตกฉานในธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยง่ายดายและเข้าถึงพระธรรมกายกันทั่วหน้าทุกคนเทอญ
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๐๖
เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
คุณค่าของฤดูกาลเข้าพรรษา
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
01:04
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: