พรรษาพิสุทธิ์
ช่วง
๓ เดือนนี้ มีอะไรที่ควรทำ นอกจาก ลด ละ เลิกอบายมุขตามที่สื่อต่าง ๆ โฆษณาเชิญชวน?
ช่วงเข้าพรรษาทุกคนจะรับรู้กันว่า
พระสงฆ์จะอยู่ประจำวัดตลอด ๓ เดือน เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย
และปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ ช่วงนี้จึงมีพระเยอะ ทั้งพระที่บวชช่วงเข้าพรรษาและพระที่อยู่ประจำวัด
ฉะนั้น คนก็จะไปทำบุญเลี้ยงพระ ไปฟังเทศน์ฟังธรรมกันมากกว่าปกติ
และถือโอกาสนี้ปฏิบัติธรรมด้วย บางคนกินเหล้าตลอดปี แต่เลิกกินช่วงเข้าพรรษา ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา
แต่ก่อนก็เป็นมนุษย์ปกติเหมือนกับเรา ท่านเกิดแรงบันดาลใจตั้งความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าชาติแรกตอนเป็นพ่อค้าไปค้าขายทางทะเล
แล้วเรือสำเภาเกิดเจอพายุ ล่ม ท่านเอาแม่ขึ้นหลังแล้วว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทร ๗ วัน
๗ คืน ครั้งนั้น ท่านเห็นว่าชีวิตมนุษย์เป็นทุกข์จริง ๆ ท่านจึงตั้งความปรารถนาว่าจะเป็นผู้ค้นพบหนทางพ้นทุกข์ให้ได้
คือจะเป็นพระพุทธเจ้า และเมื่อพ้นทุกข์แล้วจะไม่พ้นเพียงคนเดียว แต่จะสอนให้คนอื่น
ๆ รู้ แล้วพ้นทุกข์ตามไปด้วย ท่านมาคลิกเกิดแรงบันดาลใจตอนลอยคอในมหาสมุทร ได้ ๗
วัน ๗ คืน จากนั้น ท่านก็สร้างบารมีต่อเนื่อง มาทุกชาติเป็นเวลานานถึง ๒๐
อสงไขยกับแสนมหากัป ในชาติสุดท้ายก็ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เห็นไหมว่าก่อนที่จะมีจุดเริ่มต้นนั้น ก็ต้องมีจุดสร้างแรงบันดาลใจเสียก่อน
เพราะฉะนั้น
ช่วงเข้าพรรษาจึงเป็นตัวสร้างแรงบันดาลใจที่ดีมาก ปกติไม่รู้จะเอาวันไหนเป็นตัว
คลิก แต่พอเข้าพรรษา จะต้องเอาให้ได้ ยิ่งมีกระแส สื่อโปรโมตยิ่งดี คนไหนดื่มเหล้า
สูบบุหรี่ พรรษานี้ก็งดเหล้า งดบุหรี่ และจะต้องรักษาศีล ๕ ให้ได้
จะต้องไหว้พระก่อนออกจากบ้าน จะต้องสวดมนต์ นั่งสมาธิทุกคืนก่อนนอน
วันละครึ่งชั่วโมง หรือ ๑ ชั่วโมงก็ได้ แล้วแต่เราจะตั้งปณิธาน เรียกว่าปรับนิสัย
เดิมที่เคยทำมาคุ้น ๆ และเราก็รู้ว่าไม่ค่อยดีเท่าไร ตั้งใจทำสิ่งที่ดี
ถ้าเป็นเด็กก็ตั้งใจเลย พรรษานี้จะทำการบ้านทุกวัน งดเล่นเกม ๓ เดือน ไม่แตะเลย
อย่างนี้เป็นต้น อาศัยจังหวะช่วงนี้เป็นตัวคลิกขึ้นมา
แม้กลางพรรษาแล้วก็ยังไม่สายเกินไป บางคนบอกอย่างนี้น่าจะตั้งง่ายกว่า
เพราะกลางพรรษาเหลือแค่ เดือนครึ่ง พอสู้ไหว ก็ให้เริ่มตั้งปณิธานตอนนี้เลยว่า
เราจะทำสิ่งที่ดี ๆ ในพรรษานี้ แล้วเราจะพบว่า
สิ่งนั้นให้ประโยชน์กับชีวิตของเรามากอย่างไม่น่าเชื่อ
การตั้งเป้าเพื่อฝึกตัวในช่วงเข้าพรรษา
เช่น ตั้งใจจะปฏิบัติธรรมทุกวัน ควรจะตั้งอย่างไรจึงจะเป็นไปได้?
ให้ตรวจสอบตัวเราเอง
แล้วตั้งเป้าที่เราคิดว่าพอไหว ไม่มากเกินไป ตั้งแล้วก็ต้องให้เข้าเป้า คือ
เมื่อตั้งแล้วให้ตั้งใจทำ พยายามทำให้ได้ อย่าไปเหลวกลางคัน
วิธีการให้กำลังใจตัวเองคือ เมื่อตั้งใจแล้ว วันอาทิตย์ไปวัดเลย ไปสวดมนต์
นั่งสมาธิเป็นพิเศษ เติมพลังชาร์จแบต ๗ วันครั้ง จะได้เป็นการตอกย้ำ
ถ้าอย่างนี้ก็พอไหว แล้วก็ตั้งใจทำให้ตลอดรอดฝั่ง ปีหน้าก็ยกเป้าขึ้นไปเรื่อย ๆ
ทีละสเต็ป อย่างนี้จะดีมาก
ถ้า
๓ เดือน ผ่านไปแล้ว เราควรจะทำต่อเนื่องไปอีก หรือว่ากลับมาเป็นคนเดิมดีกว่า?
เราเคยได้ยินชื่ออริสโตเติลใช่ไหม
เขาเป็นนักปราชญ์ชาวกรีก เขาเคยบอกว่า Excellence is not an act but a habit. หมายความว่า คนที่เก่งมาก เยี่ยมยอดมาก
ๆ ไม่ใช่คนที่ทำนั่นทำนี่เก่ง เรื่องนี้เป็นแค่ส่วนประกอบ แต่ที่สำคัญคือนิสัย อริสโตเติลสรุปได้จากการสังเกต เนื่องจากเขาเป็นผู้มีปัญญามากจึงสามารถหาข้อสรุปได้อย่างนี้
ซึ่งก็เป็นอย่างที่เขาสรุปจริง ๆ เพราะคนเราจะเก่งหรือไม่ขึ้นอยู่กับนิสัย คนไหนมีนิสัยขยันขันแข็ง
เก็บหอมรอมริบ ละเอียดรอบคอบ นิสัยเหล่านี้จะทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตได้
วิธีทำใจให้มุ่งมั่นทำสิ่งดี
ๆ ต่อไป ต้องทำอย่างไร?
เชื่อหรือไม่ว่าที่เรารู้สึกว่าอุปสรรคเยอะเหลือเกินนั้น
เราคิดไปเอง พอเราตั้งใจจะทำความดีจริง ๆ ไม่เห็นมีอะไรเลย วันนี้
อาตมาเพิ่งเจอโยมผู้หญิงท่านหนึ่ง ท่านมีคนรู้จักมาก ปกติท่านต้องแต่งหน้าทุกวัน
พรรษานี้ท่านตั้งใจรักษาศีล ๘ แต่งหน้าทาปากไม่ได้
คนเคยแต่งแล้วไม่แต่งเรื่องใหญ่เลย เพราะท่านต้อง เข้าสังคม แต่ดูหน้าตาท่านผ่องใสมีความสุข
ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย ถ้าคนไม่ทำจะรู้สึกว่าไม่ได้หรอก เดี๋ยวคนนั้นทัก คนนี้ทัก
เดี๋ยวจะเคอะ ๆ เขิน ๆ แต่พอตั้งใจทำจริง ๆ แล้วไม่เห็นมีปัญหาอะไร ทุกอย่างราบรื่น
ปัญหาต่าง ๆ เราคิดไปเอง พอตั้งใจจะทำแล้วไม่ยากเหมือนที่คิด ฉะนั้น
ยังไม่ช้าเกินไป พรรษานี้จะเอาอย่างไรดีก็เริ่มเลย แล้วจะพบสิ่งดี ๆ
เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
ประเพณีการหล่อเทียนพรรษามีไว้เพื่ออะไร
จะสืบทอดอย่างไรถึงจะเหมาะสมและถูกต้อง?
แต่ก่อนไม่มีไฟฟ้าใช้
เวลาพระภิกษุท่านศึกษาพระธรรมวินัยก็ต้องอาศัยแสงสว่างในการอ่านตำรับ ตำรา
เพราะฉะนั้น ชาวบ้านก็จะช่วยกันหล่อเทียนพรรษาต้นโต ๆ ที่คิดว่าสามารถใช้ได้ตลอด ๓
เดือน แล้วเอาไปถวายวัด กลางคืนพระจะได้จุดเทียนอ่านหนังสือธรรมะ
เป็นการให้ความสะดวกในการศึกษาพระธรรมวินัยแก่พระภิกษุสามเณร
และเนื่องจากสิ่งที่ถวายพระเป็นสิ่งที่ควรทำให้ประณีต จึงมีการแกะสลักและพัฒนาจนกระทั่งสวยงาม
บางครั้งเป็นปราสาทผึ้ง หรือเป็นรูปอะไรต่าง ๆ ที่งดงาม
ซึ่งบางคนถามว่าทำอย่างนี้จะดีหรือ ต้องตอบว่าเป็นสิ่งที่ดี อยากให้เรามองว่า
พระพุทธศาสนาเปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ มีทั้งส่วนที่เป็นแก่น เป็นกระพี้ และเปลือก
ตัวเนื้อหาคำสอน การสวดมนต์ การนั่งสมาธิ คือแก่นคำสอน แต่ถ้ามีแต่แก่นอย่างเดียว
ไม่มีประเพณีอะไรมาช่วยเลย มาถึงก็จับนั่งสมาธิอย่างเดียว บางคนทำไม่ได้
แต่พอมีเปลือก มีกระพี้ คือมีพิธีกรรมมาประกอบเข้าไปด้วย เป็นตัวทำให้มีสีสัน
สร้างความคึกคัก ก็จะช่วยดึงคนที่มีระดับใจทั้งสูงทั้งต่ำหลายระดับเข้ามาได้
พอมาถึงวัดแล้วเขาก็จะนึกถึงบุญกุศล
ใจเขาจะเริ่มอินกับบุญกุศลแล้ว เขาก็จะไปทำบุญสักหน่อยหนึ่ง หยอดตู้บ้าง
ไหว้พระบ้าง เวียนเทียนบ้าง หรืออาจจะสวดมนต์แล้วนั่งสมาธิสักหน่อย ค่อย ๆ
ขยับขึ้นไป ถ้าไม่มีการแห่เทียนพรรษา บางคนอาจจะไม่ได้เข้าวัดเลย
พอมีขบวนแห่ก็ไปดูสักหน่อย เห็นเขาว่าสวยดี ไปดูแล้วก็ได้ทำบุญ ได้สวดมนต์
ได้เวียนเทียน ได้ไหว้พระ ได้นั่งสมาธิ ขยับขึ้นมาตามลำดับ จากเปลือกจากกระพี้ก็มาถึงแก่น
ใครบอกว่าเปลือกและกระพี้ของต้นไม้ไม่สำคัญ ลองไปลอกเปลือกลอกกระพี้ออกให้หมด
ผลก็คือต้นไม้ตาย เพราะฉะนั้น แม้แก่นสำคัญที่สุดก็จริง
แต่ต้องรู้ว่าเปลือกและกระพี้ก็เป็นตัวสนับสนุน เช่นเดียวกับพิธีกรรมต่าง ๆ เทศกาลต่าง
ๆ งานบุญต่าง ๆ ที่ช่วยดึงใจคนเข้ามาสู่พระรัตนตรัยได้
ปัจจุบันนี้
หลายคนนิยมถวายหลอดไฟในเทศกาลเข้าพรรษา อย่างนี้เรียกว่าผิดวัตถุประสงค์เดิมหรือไม่
และจะมีผลอย่างไรบ้าง?
ไม่ผิดเลย
เวลาทำอะไรก็ตามเราจะดูที่วัตถุประสงค์หลัก ถ้าวัตถุประสงค์หลักคือการให้แสงสว่างเพื่อให้ความสะดวกพระภิกษุในการศึกษาพระธรรมวินัย
การถวายหลอดไฟต่าง ๆ ถือว่าใช้ได้ ส่วนการถวายเทียนก็ไม่ได้ผิดอะไร พระท่านก็นำไปใช้ในกิจกรรมต่าง
ๆ เช่น นำไปจุดในโบสถ์บ้าง ในศาลาบ้าง เพราะฉะนั้นเราสามารถปรับได้โดยมุ่งเน้นที่ประโยชน์ใช้สอย
ถ้าใครมีกำลังทรัพย์พอจะไปสร้างระบบไฟฟ้า ไปตั้งหม้อแปลง ไปเดินระบบไฟฟ้าให้วัดต่าง
ๆ ยิ่งดีใหญ่
ปัจจุบันนี้
เขาบอกว่าถวายหลอดไฟก็ต้องมีอุปกรณ์ให้ครบ ทั้งบัลลาสต์ สตาร์ทเตอร์ ขาหลอด
บางครั้งมีแต่หลอดเต็มวัด
ถ้าจะให้ดีละก็ ถวายหลอดเสร็จแล้ว ถวายปัจจัยเป็นค่าไฟให้วัดด้วยก็ยิ่งดี
และเผื่อท่านเอาไปใช้ในสิ่งที่ยังขาดอยู่ จะได้ตรงวัตถุประสงค์มากที่สุด
เป็นประโยชน์ที่สุด
เราจะได้อานิสงส์อะไรจากการถวายหลอดไฟ?
ผู้ให้ประทีปโคมไฟชื่อว่าให้จักษุ
เพราะฉะนั้น ชาติต่อไปจะเป็นคนที่ตาสวย แวววาว แล้วก็มองเห็น ได้ไกล แล้วยังเป็นผู้มีปัญญาดีอีก
เพราะอำนวยความสะดวกให้พระท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัย เราก็จะได้ปัญญาบารมี
เป็นคนฉลาด ได้ทั้งปัญญาจักษุ และ มังสจักษุ
การตักบาตรดอกไม้แตกต่างจากการตักบาตรประเภทอื่น
ๆ อย่างไรบ้าง?
การตักบาตรดอกไม้ในประเทศไทยที่ถือว่า
มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักมากที่สุดก็คงจะเป็นที่วัดพระพุทธบาท สระบุรี
ที่มาของการตักบาตรดอกไม้มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล คือ ที่กรุงราชคฤห์
ซึ่งมีกษัตริย์คือพระเจ้าพิมพิสาร
ในครั้งนั้นจะมีนายมาลาการทำหน้าที่ดูแลเรื่องดอกไม้ เขาจะเอาดอกมะลิไปถวายพระเจ้าพิมพิสารวันละ
๘ กำ มีอยู่วันหนึ่งนายมาลาการกำลังจะเอาดอกมะลิ ๘ กำ ไปถวายพระราชา
ระหว่างทางเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีฉัพพรรณรังสีงดงามเหลือเกิน
ก็เกิดปีติศรัทธาขึ้นมา เอาดอกมะลิไปถวายบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด
พอกลับถึงบ้าน เล่าให้ภรรยาฟัง ภรรยาบอกว่า “อย่างนี้มีโทษแน่ คอขาดแน่นอน
ฉันไม่ได้เห็นด้วยกับพี่ ถ้าอยู่กับพี่ต่อไป สงสัยฉันโดนประหารไปด้วย”
นางจึงหนีออกจากบ้านไปเลย
พอเรื่องราวรู้ไปถึงพระเจ้าพิมพิสาร
ซึ่งเป็นพระโสดาบันแล้ว พระองค์ไม่ได้พิโรธเลย กลับทรงคิดว่า นายมาลาการฉลาดมาก มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเหมือนที่พระองค์ศรัทธา
จึงพระราชทานทรัพย์ให้มากมาย และเลื่อนตำแหน่งให้
เรียกว่าบุญส่งผลทันตาเห็นเดี๋ยวนั้นเลย จุดนี้เอง
ที่เป็นที่มาของการตักบาตรดอกไม้ในยุคปัจจุบัน
ที่วัดพระพุทธบาท ในวันเข้าพรรษา
คณะสงฆ์จะออกมาบิณฑบาต ญาติโยมก็จะเอาดอกไม้ ธูป เทียน ไปใส่บาตรกัน
และเอาดอกเข้าพรรษา ซึ่งเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ออกดอกปีละครั้งเดียวในช่วง
เข้าพรรษา มีสีขาว สีเหลือง สวยมาก ไปเก็บกันมา จากรอบ ๆ เขาพระพุทธบาท
แล้วก็เอาไปใส่บาตร เมื่อพระท่านรับดอกไม้เสร็จ ก็จะเอาไปบูชารอยพระพุทธบาทและพระบรมสารีริกธาตุ
พอบูชาเสร็จเรียบร้อย เวลาพระออกมาจากมณฑปจะมีญาติโยมผู้ชายมานั่งรอเอาน้ำล้างเท้าให้ก่อนที่ท่านจะเข้าโบสถ์ไปอธิษฐานพรรษา
หลายคนบอกว่าถ้าไปทำบุญกับวัดที่มีชื่อเสียงและมีคนเยอะ
ๆ จะได้อานิสงส์มาก แบบนี้คิดถูกไหม?
พิธีกรรมเป็นเหมือนกับเปลือกหรือกระพี้
เพื่อน้อมนำใจเราให้เข้าใกล้พระรัตนตรัย เช่น ได้ยินเขา บอกว่ามีการตักบาตรดอกไม้
ก็อยากจะไปดูสักหน่อย ว่าเป็นอย่างไร รู้สึกมีแรงบันดาลใจอยากจะไป หรือ
อยากจะไปดูหน่อยว่าเทียนพรรษาเป็นอย่างไร ทำให้เราได้เข้าวัด
พิธีกรรมจึงเป็นเครื่องหนุนส่ง แต่ถ้าเรา เป็นคนที่หนักแน่นในธรรมอยู่แล้ว
และปฏิบัติธรรมสม่ำเสมออยู่แล้ว อย่างนี้ไปที่ไหนก็ได้ วัดใกล้บ้านก็ได้
หรือว่าวัดไหนสอนให้เราได้ปฏิบัติธรรม ได้ทำความดีเต็มที่ เราก็ไป
ถ้าอย่างนี้ก็เหมือนกับว่าพิธีกรรมมีบทบาทรองลงมา เพราะเราเองพร้อมอยู่แล้ว
แต่ถ้าเราจะชวนคนใหม่มาสวดมนต์นั่งสมาธิ
ได้เลยก็ให้ชวน แต่คนไหนชวนไปตักบาตรดอกไม้หรือไปแห่เทียนพรรษาง่ายกว่า
ก็ชวนเขาไปเลย ถือว่าเป็นอุบายจูงคนให้เข้าสู่พระรัตนตรัย
หลังจากครบ
๓ เดือน นอกจากจะทำความดีต่อเนื่องแล้ว ยังมีกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาอะไรที่พุทธศาสนิกชนต้องไปร่วมปฏิบัติหรือต้องทำอย่างต่อเนื่อง?
ถ้าเป็นในยุคก่อน
พอออกพรรษาเสร็จแล้วกิจกรรมที่รออยู่แน่ ๆ คือการทอดกฐิน การทอดกฐินจะทำได้ในช่วง
๑ เดือน หลังจากออกพรรษา จะทอดวันไหนก็ได้ ออกพรรษาแล้วรุ่งขึ้นรับกฐินเลยก็ได้
จนถึงวันสุดท้ายคือวันลอยกระทง พอเสร็จกฐินแล้ว ส่วนใหญ่พระภิกษุจะเดินธุดงค์กัน
แต่ระยะหลังมานี้ พระธุดงค์เริ่มไม่ค่อยมี
ต้องบอกว่าตอนนี้เรากำลังเอาของเก่ามาเป่าฝุ่น เดี๋ยวพอออกพรรษาแล้ว
พระธรรมทายาทที่บวชพร้อมกันทั้งประเทศก็จะมีการเดินธุดงค์กัน
จะคึกคักสนุกสนานกันมาก ในระหว่างพรรษานี้ ให้พวกเราตั้งใจสวดมนต์ นั่งสมาธิ
เตรียมตัวเตรียมใจไว้เลย ถึงช่วงเดินธุดงค์ของพระแล้วละก็ ใครพร้อมก็เป็นลูกศิษย์ไปเดินธุดงค์กับท่านได้
หรือถ้าใครยังไม่สามารถลางานได้ครั้งละ ๗ วัน จะไปรอใส่บาตรก็ได้
แล้วก็ไปฟังเทศน์ฟังธรรม อยู่ใกล้ที่ไหนให้ทำที่นั่น เพราะจะมีการเดินธุดงค์กันทั้งประเทศ
จะสนุกสนานคึกคักมาก และเป็นการยอยกพระพุทธศาสนาให้สูงเด่น กลับมาเป็นหลักใจของชาวพุทธอย่างมั่นคงทั้งประเทศไทย
ทำไมต้องธุดงค์และทำไมคนอยากจะใส่บาตรกับพระธุดงค์มาก?
พระธุดงค์มีข้อดีคือจะต้องมักน้อยสันโดษ
เพราะว่าจะต้องแบก คนเราถ้าต้องแบกที่พักติดตัวไปด้วยจะเป็นอย่างไร
อยากจะเอาของไปเยอะ ๆ ไหม ถ้าอยู่บ้านอันนี้เราก็เสียดาย อันนี้ก็จำเป็น
ของจำเป็นเยอะไปหมด แต่ถ้าต้องแบกขึ้นหลังเดินไปเองเป็นอย่างไร อันนี้ก็ไม่ค่อยจำเป็น
อันนั้นก็ไม่ค่อยจำเป็น เพราะมันหนัก ต้องเดินวันหนึ่งเป็นสิบ ๆ กิโลเมตร สุดท้ายจะเหลือเฉพาะของที่จำเป็นต้องใช้จริง
ๆ
การธุดงค์ทำให้เราแยกออกระหว่างคำว่า “จำเป็น
หรือ Need” กับคำว่า “ต้องการ หรือ Want” ปกติคนเรามักแยกไม่ออก อะไรก็จำเป็นไปหมด
จริง ๆ ไม่จำเป็นหรอก เป็นแค่ความอยากมากกว่า แต่พอต้องเดินธุดงค์แล้วจะแยก ๒
อย่างนี้ออก แล้วระหว่างที่เดินไปนั้น เชื่อไหมว่า การย่ำในผืนแผ่นดินไทยทีละก้าว
ๆ ให้รู้จักทรายทุกเม็ดบนแผ่นดินที่ย่างไป
จะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างเรากับแผ่นดินมากขึ้น แต่ถ้าเรานั่งรถจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง
นั่งไป ๑๐๐ รอบ จะรู้จักแผ่นดินดีเท่าเดินด้วยเท้าสัก ๑ รอบก็ไม่ได้
นอกจากนี้
เราจะสัมผัสใกล้ชิดชาวบ้านมาก แล้วเวลาเดินไปเราก็ทำสมาธิไปด้วย เหมือนกับเดิน
จงกรมไปด้วย พออย่างนี้แล้วเรื่องอื่น ๆ มันหลุดไปจากใจ ข้าวของก็ใช้เท่าที่จำเป็น
เดินธุดงค์ไป สิ่งที่ห่วงพะวงในใจมันก็หลุดไปด้วย เหลือแค่คุมใจตัวเอง
ถ้าทำถูกหลักแล้วละก็ การปฏิบัติธรรมก็จะก้าวหน้าได้เร็วด้วย ฉะนั้น
ญาติโยมเขาเห็นพระท่าน ตั้งใจอย่างนั้น เขาก็มีศรัทธาเป็นพิเศษ จึงมาใส่บาตร
ให้การอุปถัมภ์บำรุง
อย่างสมัยก่อน
บางช่วงพระธุดงค์เดินผ่านภูเขามาไม่มีคนใส่บาตร เพราะมีแต่ป่า
บางครั้งท่านอดข้าวมา ๓ วัน ท่านก็สู้ พอมาถึงหมู่บ้าน
ชาวบ้านก็ตั้งใจอุปถัมภ์บำรุงเต็มที่ให้ท่านแข็งแรง เพราะเวลาที่ท่านเดินต่อไปข้างหน้า
บางหมู่บ้านอาจจะไม่มีคน ท่านจะได้สู้ไหว การเดินธุดงค์จึงไม่ใช่เรื่องสบาย
ต้องอดทน ต้องฝึกตน ทนหิว บำเพ็ญตบะ
Cr. พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๐๖
เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
พรรษาพิสุทธิ์
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
01:28
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: