ชีวิตอันประเสริฐ ..ของผู้ที่ได้เกิดเป็นชาย
ฤดูเข้าพรรษาปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ นี้
ได้เกิดปรากฏารณ์ครั้งสำคัญของประเทศชาติและพระพุทธศาสนาที่จักต้องจารึกเอาไว้ในแผ่นดิน
เพราะมีลูกผู้ชายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจำนวนมาก ได้หลั่งไหลสมัครเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาอย่างน่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง
บางท่านกำหนดในใจเงียบ ๆ ว่าจะขออยู่ในเพศนักบวชนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าชีวิตจะหาไม่
บางท่านแม้จะมาบวชเพียงระยะสั้น แต่ก็ปรารภกับตนเองว่า
จะขอประพฤติปฏิบัติมุ่งฝึกฝนอบรมตนเองให้เป็นพระแท้... แต่อย่างไรก็ตาม ลูกผู้ชายตัวจริงที่มาจากทุกสารทิศเหล่านี้ แม้จะมาจากหลากหลายฐานะ อาชีพ และวัย
แต่ทุกคนล้วนมีความปรารถนาตรงกันคือ การเป็นพระภิกษุผู้มีชีวิตอันประเสริฐ สมกับที่ตนได้เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย..
และที่ได้เกิดมาเป็นชาวพุทธ.. อยู่ใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา
๙ กรกฎา...มหาปีติ
หลังจากที่ผ่านกระบวนการสมัคร
ตรวจร่างกาย
และฝึกฝนอบรมเบื้องต้นของเหล่าธรรมทายาทผู้สมัครเข้าบวชในทุกจังหวัดทั่วประเทศเรียบร้อยแล้ว
ทุกคนก็ได้เดินทางไปพร้อมเพรียงกัน ณ วัดพระธรรมกาย โดยเช้ามืดของวันที่ ๙ กรกฎาคม
ที่ผ่านมา เหล่านาคธรรมทายาทผู้ตั้งความปรารถนาจะเข้าสู่เพศสมณะ
ก็ได้ตั้งขบวนแปรแถวอันยาวสุดลูกหูลูกตา
เวียนประทักษิณและวันทาเจดีย์รอบมหาธรรมกายเจดีย์
โดยมีเหล่าคหบดีและสาธุชนจากทั่วประเทศได้ร่วมเดินในขบวนอันยิ่งใหญ่
เพื่อแสดงออกถึงใจที่เปี่ยมไปด้วยความปลาบปลื้มปีติและอนุโมทนา
ต่อมาเหล่านาคธรรมทายาทก็ได้เข้าสู่พิธีบรรพชา ณ สภาธรรมกายสากล
โดยมีพระธรรมกิตติวงศ์ (ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม
เป็นพระอุปัชฌาย์ และยังมีพระมหาเถรานุเถระจากทั่วประเทศเมตตาไปร่วมคล้องอังสะ เป็นการแสดงถึงการออกจากเพศฆราวาสเข้าสู่เพศภาวะของการเป็นสามเณร
และในภาคบ่าย หลังจากนาคธรรมทายาทได้นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์เป็นสามเณรเรียบร้อยแล้ว
ได้มีการประกอบพิธีขอศีลและสรณคมน์ และสรณคมน์ พิธีขอนิสสัย และตอนเย็น
ได้ไปพร้อมเพรียงกันบันทึกภาพประวัติศาสตร์อย่างพร้อมเพรียงกัน ณ ลานธรรม
มหาธรรมกายเจดีย์ และทันทีที่การบันทึกภาพเสร็จเรียบร้อย สายฝนอันชุ่มเย็นก็โปรยปรายประดุจน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ประพรมพร่างพราว
ยังความชุ่มฉ่ำให้เกิดขึ้นทั่วทั้งบริเวณ
ก่อนที่เหล่าสามเณรธรรมทายาทจะแยกย้ายเดินทางกลับไปสู่ศูนย์อบรมในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ
เพื่อเข้าสู่พิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุต่อไป
สู่ชีวิตสมณะ...เป็นพระแท้
ชีวิตสมณะเป็นชีวิตที่ประเสริฐ
เป็นชีวิตที่สามารถประพฤติปฏิบัติตนให้ถึงความบริสุทธิ์ในตนยิ่ง ๆ ขึ้นไปได้
และยังเป็นชีวิตที่เป็นไปเพื่อตนเองที่จะเข้าถึงความหลุดพ้นได้
ดังที่หลวงพ่อธัมมชโย ได้เคยกล่าวไว้ว่า
“เพราะเราเล็งเห็นว่า ชีวิตของฆราวาสมีสุขน้อย
มีทุกข์มาก มีปัญหาร้อยแปด ถ้าเราอยู่ทางโลกจะแสวงหาหนทางไปนิพพานก็ยาก
เพราะมีเครื่องกังวลมาก ทำให้ขาดเวลาและอารมณ์ในการปฏิบัติธรรม
ซึ่งหลวงพ่อมองว่า
การปฏิบัติธรรมเป็นกรณียกิจ คือ กิจที่เราจะต้องทำอย่างแท้จริง เป็นงานที่แท้จริงของเรา
เพื่อแสวงหาหนทางพระนิพพาน เราจึงได้สละทิ้งทุกอย่างมาบวช”
และพระเดชพระคุณหลวงพ่อยังกล่าวอีกว่า
“ชีวิตนักบวชเป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุด
เป็นชีวิตที่เอื้ออำนวยต่อการบรรลุธรรมมากกว่าชีวิตทางโลก
เพราะปลอดจากเครื่องกังวลต่าง ๆ ทางโลก จึงมีเวลาทำความเพียรมากกว่าฆราวาส
และได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีหมู่คณะที่คิด พูด และทำเหมือนกัน
มีเป้าหมายที่จะไปนิพพานเหมือนกัน”
อย่างไรก็ตาม ผู้เข้ามาบวชในครั้งนี้
แม้หลายท่านยังมีภารกิจหน้าที่ในทางโลก แต่สละเวลาเข้ามาบวชในช่วงสั้นในพรรษา
จึงควรจะต้องรำลึกถึงความตั้งใจอันสูงส่งที่จะทำตนให้บริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่เสมอ
ดังที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านกล่าวไว้อีกว่า
“การบวชของเรา
ไม่ว่าเราจะบวชช่วงสั้นหรือบวชช่วงยาวก็ตาม
หรือบางคนอาจจะลาพักชั่วคราวจากการทำงาน จากการศึกษาเล่าเรียน
ที่เราเรียกว่าบวชช่วงสั้นนั้น เราจะต้องมีความคิดอยากจะเป็นพระเป็นเณรที่แท้จริง
มีความตั้งใจทำพระนิพพานให้แจ้งเหมือนกัน การบวชคราวนี้จึงจะมีอานิสงส์มาก
อย่าคิดว่าบวชเพียงแค่ให้ผ่าน ๆ ไปวันหนึ่งคืนหนึ่ง กระทั่งครบ ๓ เดือน แล้วจะได้อานิสงส์ใหญ่
อย่าพึงคิดอย่างนั้น”
บุญกุศลที่จะเกิดขึ้นจากการบวชนั้น
มีมากมายมหาศาล ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านกล่าวไว้อีกว่า
“บุญกุศลจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเราคิดอยากเป็นพระเป็นเณรที่แท้จริง
แล้วก็ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัย
ทุ่มเทชีวิตจิตใจประพฤติข้อวัตรปฏิบัติตามแบบแผนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงวางเอาไว้
และได้มีพุทธานุญาตไว้ ซึ่งเป็นทั้งคำสั่งและคำสอนอย่างนี้ บวชเข้ามาแล้วต้องมีความนึกคิด
มีจิตสำนึกอย่างนี้
การบวชในครั้งนี้จึงจะเกิดอานิสงส์อันยิ่งใหญ่...ไม่ใช่เป็นนักบวชแล้ว
แต่ยังมีการกระทำอย่างชาวโลก คิดอย่างชาวโลก ทำแบบชาวโลก อย่างนั้นเขาเรียกว่า
เอาผ้าเหลืองมาห่อ ๆ เอาไว้ ยังไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผ้ากาสาวพัสตร์”
ชีวิตที่เปลี่ยนไป...เมื่อได้บวช
การบวชในโครงการอุปสมบทหมู่ ๑๐๐,๐๐๐ รูป
ทุกหมู่บ้านทั่วไทยนี้ พระภิกษุผู้เข้าฝึกฝนอบรมในโครงการ จะได้รับการอบรมตามหลักสูตรที่ได้กำหนดไว้ทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติ
กล่าวคือ มีการสอนและถวายความรู้เนื้อหาหลักธรรม โดยเฉพาะหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี
ซึ่งมีหมวดธรรมที่ว่าด้วย “คิหิปฏิบัติ”
อันเป็นความรู้ที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตของการเป็นฆราวาสได้ด้วย นอกจากนั้นยังมีการฝึกอบรมด้านธรรมปฏิบัติ
คือการเจริญจิตภาวนา ฝึกสมาธิให้ใจตั้งมั่น
และเข้าถึงประสบการณ์แห่งความสุขและความสงบภายใน
และจากการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องก็ได้เกิดผลแห่งการเรียนรู้และปฏิบัติ
จนมีพระธรรมทายาทหลายรูปได้เปิดเผยถึงความรู้สึก ทัศนคติ และประสบการณ์ของการใช้ชีวิตนักบวช
ที่ทำให้เกิดความประเสริฐในตนตามกำลังแห่งความเพียร ดังเช่น
พระกิตติพันธ์ สุปาโมชฺโช
อายุ ๓๙ ปี
จากศูนย์อบรมวัดภาวนาภิรตาราม เขตบางกอกน้อย
กรุงเทพมหานคร
“อาตมาเคยบวชแล้วครั้งหนึ่ง เมื่ออายุ
๒๖ ปี ตอนนั้นโยมแม่ป่วยหนักด้วยเส้นเลือดในสมองแตก
ไม่รู้จะช่วยท่านได้อย่างไร อยู่ ๆ
ก็แวบขึ้นมาว่า น่าจะบวชเอาบุญให้แม่ ให้ท่านเห็นผ้าเหลืองก่อนที่จะสิ้นลม พอบวชได้ ๓ วัน โยมแม่ก็เสียชีวิต อาตมาขอสารภาพตามตรงว่าการบวชในครั้งนั้น
แทบไม่ได้ศึกษาอะไรเลย
“วันหนึ่งอาตมาเห็นป้ายชวนบวชพระ
เห็นปุ๊บก็นึกถึงโยมแม่ทันที รู้สึกอยากบวชให้ท่านอีกสักครั้ง พอรู้ว่าเป็นโครงการของวัดพระธรรมกาย อาตมาก็อึ้งไปนิดหน่อย
เพราะเคยได้ยินแต่ข่าวในแง่ลบของวัดพระธรรมกาย ทำให้ใจของอาตมาติดลบไปด้วย
ถึงจะไม่ชอบวัดแต่ก็ยังไม่แรงเท่ากับใจที่อยากบวช
“เมื่อเข้าโครงการแล้ว ได้มาวัดพระธรรมกาย
อาตมาประทับใจมาก เห็นญาติโยมมาวัดเป็นจำนวนมากก็ปลื้ม
เห็นนาคธรรมทายาทมาบวชด้วยกันเป็นจำนวนมากก็ปลื้ม
ตอนนั้นอาตมาอยากก้มกราบขอขมาหลวงพ่อที่เคยคิดไม่ดีกับวัด ตอนนี้รู้แล้วว่า
เงินที่คนทำบุญมาไม่ได้หายไปไหน
มันไปอยู่กับสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ โครงการต่าง ๆ และอยู่ในตัวธรรมทายาทนี่เอง
“วันแรกที่ได้นั่งสมาธิใจฟุ้งซ่านมาก
จนผ่านไป ๓ วัน ก็เริ่มสัมผัสได้กับความสงบ
จนถึงวันที่ ๔ ในขณะที่กำลังภาวนา สัมมาอะระหัง ก็รู้สึกว่า ใจมันค่อย ๆ
ดิ่งลงไป เหมือนตกจากที่สูง อยู่ ๆ
ก็เห็นจุดสว่างจ้าผุดขึ้นมาตรงกลางท้อง
อาตมาก็เอาจิตไปจับตรงจุดนั้น ใจนิ่งอยู่กับจุดนั้นอย่างเดียว
แล้วความสว่างก็เพิ่มขึ้น สว่างเกือบจะเท่ากับแสงของดวงอาทิตย์เลย
“วันต่อมา พระเพื่อนแนะนำให้ทำตามเสียงนำนั่งของหลวงพ่อ
อาตมาก็ทำตามทุกขั้นตอน แล้วไม่นานก็รู้สึกสบายมาก รู้สึกเหมือนตัวเรายืดขยายขึ้นในขณะที่ใจก็ดิ่งลงไป แล้วก็เห็นองค์พระขนาดหน้าตักกว้าง ๕ นิ้ว
นั่งสมาธิอยู่ตรงกลางของความสว่างจ้าในกลางท้อง องค์พระสว่างมาก ๆ
เป็นเงาแวววาวเหมือนสเตนเลสที่สะท้อนแสงดวงอาทิตย์ ตอนนั้นอาตมามีความสุขมาก ใจมันอิ่ม
จิตมันยิ้มเองเลย ยิ่งเอาสติไปจับที่องค์พระ ยิ่งมองก็ยิ่งปลื้ม อาตมานั่งดูองค์พระจนหมดเวลา
พอลืมตาแล้วความสว่างก็ยังอยู่ และถ้าจรดใจนิ่ง ๆ ก็จะเห็นองค์พระอีก
“การได้พบกับองค์พระภายในเป็นสิ่งที่เกินคำบรรยาย
อาตมาไม่เคยรู้มาก่อนว่าในตัวเราจะมีสิ่งที่พิเศษแบบนี้อยู่ ตอนนี้ถ้าชีวิตต้องพบเจอกับอุปสรรคหรือเรื่องขุ่นข้องหมองใจ อาตมาก็จะหลบไปนั่งสมาธิ พอเห็นองค์พระแล้ว ความทุกข์ ความกังวลใจ
ก็จะหมดไป และจะรู้สึกเย็นกาย
เย็นใจได้ทั้งวันเลย”
พระสมเจตน์ ญาณรตโน
อายุ ๒๔ ปี
จากศูนย์อบรมวัดภาวนาภิรตาราม เขตบางกอกน้อย
กรุงเทพมหานคร
“อาตมาเป็นคนเรียบร้อย
แต่มีหัวใจรักและหวงแหนแผ่นดินไทยอย่างแรงกล้าชนิดเข้าเส้นเลย ตั้งแต่เกิดมามีความใฝ่ฝันว่า วันหนึ่งจะต้องเป็นรั้วของชาติให้ได้ อยากทดแทนพระคุณพ่อแม่และประเทศชาติ หลังจากที่เรียนจบ ปวส. จึงไม่รอช้า
ไปสมัครเป็นทหารเกณฑ์ทันที
“ชีวิตในค่ายทหาร
เหมือนได้เจออะไรที่หัวใจเรียกร้องมานาน
และที่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้อาตมาสนใจเรื่องการทำสมาธิ อาตมาฝึกนั่งสมาธิเอง
โดยไปหาซื้อเทปสอนสมาธิตามร้านขายเทปทั่วไป
แต่พอฝึก ๆ ไป อาตมาชักรู้สึกกลัว
ๆ กล้า ๆ ประมาณว่า ร่างจ๋า...จิตลาก่อน จึงทำให้หยุดฝึกไปชั่วคราว
“หลังจากที่ปลดประจำการ อาตมาตั้งใจว่า จะไปสมัครเป็นทหารพราน แต่เผอิญว่าช่วงนั้นยังไม่เปิดรับสมัคร จึงไปสมัครเป็น รปภ. อยู่ที่ร้านเจ๊เล้ง แล้วก็มาพบกับสามีภรรยาคู่หนึ่ง มาชวนอาตมาบวช
โดยเอาเรื่องการนั่งสมาธิมาเป็นแรงจูงใจ
ใจหนึ่งก็อยากเรียนสมาธิ อีกใจก็อยากเป็นทหารพราน แต่แล้ววันที่ต้องไปสอบคัดเลือกทหารพราน
อาตมากลับไปไม่ทัน จึงตกลงได้ว่า “ไปบวชดีกว่า”
“พอเข้าโครงการอาตมาพบว่า
โครงการนี้เน้นเรื่องการฝึกฝนอบรมตนเอง ก็รู้สึกถูกใจมาก และที่ชอบเป็นพิเศษ
คือการได้ฝึกนั่งสมาธิ ตอนแรกที่พระอาจารย์บอกให้นึกถึงองค์พระ
นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกเลย แต่พอพระอาจารย์บอกให้นึกถึงดวงแก้ว จึงพอจะนึกได้บ้าง
แล้วภาวนา สัมมาอะระหัง ไปเรื่อย ๆ แต่นึกไปนึกมา อยู่ ๆ
องค์พระก็ขึ้นมาจากกลางท้อง องค์พระเป็นแก้วใส ๆ สวย ๆ อาตมาเห็นท่านนั่งสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับอาตมา
แล้วท่านก็ขยายใหญ่ขึ้นจนรู้สึกเหมือนตัวเองนั่งอยู่ในความสว่าง อยู่ในที่โล่ง ๆ
ว่าง ๆ เหมือนอยู่ในจักรวาลเลย
“ตั้งแต่อาตมามีองค์พระ
ชีวิตมีความสุขทั้งกายและใจ
อาตมารู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เข้ามาบวช
อาตมาตั้งใจจะบวชให้ดีที่สุด แม้จะไม่ได้เป็นทหารทางโลก แต่ก็ขอเป็นทางธรรม
..เป็นกำลังให้กับพระพุทธศาสนาเพื่อฟื้นฟูให้กลับมาเฟื่องฟูเหมือนย้อนยุคพุทธกาลให้ได้”
การบวชมีอานิสงส์มาก...หากตั้งใจปฏิบัติ
การบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์
นอกจากจะทำให้มีเวลาเพื่อการฝึกฝนอบรมขัดเกลานิสัยตนเองแล้ว ยังได้ประพฤติปฏิบัติธรรม
และจะสามารถทำให้เข้าถึงธรรมได้ตามกำลังความเพียรแห่งตน
และอานิสงส์ที่เกิดขึ้นก็ย่อมมากมายมหาศาล ดังที่หลวงพ่อธัมมชโยเคยให้โอวาทไว้ตอนหนึ่งว่า
“เพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมมีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่
หากเราทำใจหยุดแค่ประเดี๋ยวเดียว ชั่วระยะช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น
ที่พบความสว่างภายใน อานิสงส์นั้นก็จะยิ่งใหญ่ไพศาล ยิ่งกว่าการสร้างโบสถ์
สร้างวิหารหลายหลังทีเดียว
เพราะฉะนั้นแม้บวชเพียงวันเดียวก็ให้มีความคิดอย่างนี้...ลูก ๆ ที่ลามาบวช ๓ เดือน
ควรจะตระหนักให้ยิ่งกว่านั้นเข้าไปอีก หรืออย่างน้อยก็คิดอย่างนั้น
จึงจะได้อานิสงส์ใหญ่ติดตัวเราไป เมื่อลาสิกขาไปแล้ว จะได้มีความปีติ ภาคภูมิใจ
และมีความสุขใจทุกครั้งที่นึกถึง…ยามใดได้ระลึกย้อนหลังว่า เราได้ลาครอบครัว
ลาที่ทำงานมาบวชเป็นเวลา ๓ เดือน ตลอดพรรษาเราได้เป็นพระแท้
ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัย ปฏิบัติตามข้อวัตรปฏิบัติ
ตามคำสั่งคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเต็มที่ นึกถึงทีไรก็นำมาซึ่งความชื่นใจ
ปลื้มใจ แล้วก็ภาคภูมิใจทุกครั้ง เพราะเราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า
คนอย่างเรานี่หรือจะทำอย่างนี้ได้ แต่เราก็ได้ทำไปแล้ว และทำได้ด้วยความชื่นบาน”
“ตื่นจากจำวัดเห็นผ้าเหลืองห่มคลุมกาย
วิญญาณของความเป็นพระเป็นเณรก็สวมใส่อยู่ในกายในใจของเราตลอดเวลา
ทั้งวันเราก็ประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกระทั่งเข้าจำวัด
ภาพเหล่านี้ก็พรั่งพรูฉายมาให้เห็น เป็นภาพการสร้างบารมีอันงดงาม
นึกถึงทีไรเราก็ปลื้มปีติ มีความชื่นบานร่ำไป”
บทสรุป...ภาพแห่งความปีติของนักบวช
แม้ยามนี้จะเป็นช่วงกลางพรรษา
แต่อีกไม่นานก็จะออกพรรษา ซึ่งภารกิจหลังจากออกพรรษาแล้ว
พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ฝากให้พระภิกษุธรรมทายาททุกศูนย์ฝึกอบรมอยู่รับกฐินและเดินธุดงค์
ก่อนที่หลายท่านจะลาจากเพศสมณะนี้ไป และเมื่อถึงวันนั้น
อยากจะขอให้พระธรรมทายาททุกรูปได้ตระหนักถึงคุณค่าแห่งการบวช
และภาพอันงดงามของตนเองในเพศสมณะอันประเสริฐ
ดังที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเคยให้โอวาทไว้ว่า
“ในยามที่เรานึกถึงว่า
ครั้งหนึ่งในชีวิตที่เราได้มีโอกาสมาบวชในพระพุทธศาสนาเป็นเวลา ๑ พรรษา
เราได้ตั้งใจสละชีวิตประพฤติปฏิบัติธรรมกันอย่างเต็มที่ ไม่ได้เป็นยอมตายทีเดียว
ยามใดที่เราระลึกนึกถึงอย่างนี้
ขนในกายของเราที่ราบเรียบนั้นจะลุกชูชันขึ้นมาด้วยความปีติปราโมทย์ใจทีเดียว
ความปีตินี้จะเกิดขึ้นทุกครั้งที่เราระลึกถึง จนกระทั่งวันใกล้จะหลับตาลาโลก
แม้ในวาระสุดท้ายของชีวิตที่เราจะต้องทิ้งร่างกาย ทิ้งขันธ์ ๕ นี้ไป
เมื่อระลึกนึกถึงภาพที่เราได้สละชีวิตปฏิบัติธรรม เพื่อเข้าถึงธรรม
ภาพนั้นจะยังความปีติเบิกบานให้เกิดขึ้น ทำจิตของเราให้สะอาด บริสุทธิ์ สว่างไสว
มีสุคติเป็นที่ไปอย่างแน่นอน
“นอกจากนั้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวอย่างจริงที่จะสร้างกำลังใจ
และเป็นเนติแบบแผนอันงดงามให้รุ่นลูกรุ่นหลานที่จะเข้ามาบวชในภายหลังได้เอาเยี่ยงเอาอย่าง
นี้ก็จะเป็นส่วนบุญของเราในการเป็นต้นแบบ เป็นตัวอย่างในการสละชีวิตเพื่อให้เข้าถึงธรรมะ”
ขออนุโมทนาสาธุการกับพระธรรมทายาทในโครงการบวชพระหนึ่งแสนรูปทุกจังหวัดทุกวัดทั่วไทย
รุ่นเข้าพรรษา ที่ได้เข้ามาฝึกฝนอบรมและมุ่งทำตนให้เป็นพระแท้
และขอผลานิสงส์แห่งบุญอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ จงเป็นพลวปัจจัยให้พวกเราทั้งหลาย
ได้สร้างบารมีร่วมกันเพื่อกอบกู้และฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ให้ปรากฏเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่จะจารึกในดวงใจของพวกเราทั้งหลายไปตลอด...ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม
Cr. พระสมศักดิ์
จนฺทสีโล
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๐๖
เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
ชีวิตอันประเสริฐ ..ของผู้ที่ได้เกิดเป็นชาย
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
23:58
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: