เปลี่ยนแปลง "ใจ" ให้ใส "ชีวิต" เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี




จุดเปลี่ยนทั้งปวงของชีวิตหรือของโลก เริ่มต้นที่  "ใจ"  "ใจใส"  พาชีวิตไปในทางดี  "ใจหมอง"  เป็นบ่วงคล้องพาชีวิตไปในทางร้าย มนุษย์ทุกคนจึงควรเอาใจใส่กับดวงใจของตนเองโดยหมั่นสำรวจตรวจตราเสมอว่า ใจเราหมองหรือผ่องใส เมื่อรู้ว่าใจหมองเจ้าของใจดวงนั้นพึงต้องรีบพาใจไปสู่กระบวนการแห่งการเปลี่ยนแปลง เพราะเมื่อดวงใจถูกเปลี่ยนแปลง เพราะเมื่อดวงใจถูกเปลี่ยนแปลงให้ใส ความเป็นไปแห่งชีวิตจึงจะถูกต้องร่องรอย...

ดังเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้หันเหสู่สิ่งที่ไม่ใช่สาระมาสู่ความมีสาระ จากสิ่งที่ไม่ใช่แก่นสารมาสู่ความมีแก่นสาร ของพระภิกษุธรรมทายาท ทั้งหลายเหล่านี้




พระพรเทพ  อคฺโคภาโส
อายุ ๓๓ ปี  ศูนย์อบรมวัดราษฎร์นิยมธรรม จังหวัดสมุทรปราการ

ชีวิตของท่านก่อนบวช เกือบถูกจัดเข้าอยู่ในบัญชีกลุ่มมนุษย์เร่ร่อน เพราะตั้งแต่เรียนจบ ปวช. ที่โคราช ใจของหนุ่มน้อยหน้ามนที่ยังโสดและไฟแรง ก็ร้อนรุ่มอยากออกไปโลดแล่นหาประสบการณ์ชีวิต แม้ว่าจะได้งานดีเงินดีสักแค่ไหน แต่กลับอยู่ไม่ได้นาน ย้ายงานบ่อยเสียจนทางบ้านแขวนป้ายว่า “เป็นห่วง” มีอยู่ช่วงหนึ่งโยมพ่อกับโยมแม่ของท่านช่วยออกเงินประกันให้ไปทำงานที่โรงงานทำชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศไต้หวัน วางเงินประกันให้ร่วม ๙๐,๐๐๐ บาท แถมหาพ็อกเก็ตมันนี่อีก ๕๐,๐๐๐ บาทเศษ เพื่อให้นำไปเป็นทุนรอนใช้จ่ายในที่ทำงาน

แต่อยู่ได้ไม่กี่เดือนก็มีอันต้องเจออุบัติเหตุโดนเครื่องยิงน็อตเจาะนิ้วหัวแม่มือ เป็นแผลอักเสบติดเชื้ออย่างหนัก ท่านจึงขอลาออกจากงานกลับมาเมืองไทย โดยไม่ได้บอกพ่อแม่ให้ทราบสักคำ พร้อมตอกย้ำความล้มเหลวให้ชีวิตด้วยการทำตัวเป็นไอ้หนุ่มพเนจร ย้ายที่อยู่เป็นว่าเล่น คล้าย ๆ จะตามหาความฝันอะไรสักอย่าง จนกระทั่งคิดได้ในวันหนึ่งว่า “เราควรจะกลับไปหาแม่” แต่ระหว่างนั่งรถจะไปหาแม่ จู่ ก็เปลี่ยนใจกะทันหัน กลับเข้ากรุงเทพฯ ซะงั้น! พอ มาอยู่กรุงเทพฯ ก็เหมือนชะตาฟ้าลิขิตให้ไปสมัครงานกับบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าของบริษัทเป็นครอบครัวที่ไปวัดพระธรรมกาย ในวันนัดสัมภาษณ์งาน ท่านถูกชวนให้บวชทันที “ต้องบวชก่อนจึงจะรับเข้าทำงาน” ตอนนั้นไม่รู้ว่าคิดอย่างไรท่านจึงตอบตกลงบวชไปง่าย ๆ แล้วเจ้าของบริษัทก็จัดการเรื่องการบวชให้หมดทุกอย่าง

เมื่อเข้าโครงการอบรม ท่านรวบรวมความกล้า โทรศัพท์หาโยมแม่ ซึ่งพอรู้ว่าท่านกลับมาแล้วและกำลังจะบวช โยมแม่ร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจจนท่านแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ท่านกล่าวว่าโครงการนี้เป็นโครงการบวชเพชรน้ำหนึ่งของเมืองไทย เพราะผู้บวชจะได้ปฏิบัติธรรม ซึ่งจะทำให้ได้พบความสุขภายในและการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต

"ช่วงแรกที่อาตมานั่งสมาธิ อาตมาจะฟุ้งซ่าน คิดถึงบ้านมาก แต่เพราะมาได้เสียงนำนั่งสมาธิของ หลวงพ่อช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย หายกังวล และมีกำลังใจ จนมีอยู่คืนหนึ่งประมาณ ๔ ทุ่ม อาตมาได้ลุกขึ้นมานั่งสมาธิ โดยตั้งปณิธานกับตัวเองว่า วันนี้ จะต้องเข้าถึงธรรมให้ได้ ถ้าวันนี้ไม่ได้ จะไม่ลุก สว่างเป็นสว่าง คืนนี้เป็นไงเป็นกัน พอเริ่มนั่งแรก ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่พอนั่งไป..นั่งไป ก็รู้สึกตัวชา ขาชา เหน็บกินไปทั้งเนื้อทั้งตัว ตัวมันเริ่มหนักขึ้น ๆ แล้วสักพัก ตัวก็เริ่มเบาขึ้น โล่งขึ้นและสบายขึ้น ต่อมาก็เห็นเป็น ดาวดวงเล็ก ๆ อยู่ไกล ๆ ค่อย ๆ ลอยมาใกล้ ๆ จนมาอยู่ตรงหน้า จนเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเป็น ดวงแก้วขนาดเท่าลูกฟุตซอล (เล็กกว่าลูกฟุตบอลเล็กน้อย) พอมองไปสักพักก็เห็นเป็นองค์พระผุดขึ้นมาในดวงแก้ว อาตมาจึงนึกน้อมท่านเข้าไปไว้ที่ศูนย์กลางกาย แล้วเห็นท่านค่อย ๆ ลอยเข้ามา จากนั้นเหมือนมีลมดูดดวงแก้วเข้าไปอยู่ในกลางท้องของอาตมา มองเห็นองค์พระชัดมาก มีแสงสว่างออกมาสวยมาก ส่วนดวงแก้วก็ใสมาก รู้สึกมีความสุขมากเลย ตอนนี้ขนาดออกจากสมาธิแล้ว ก็ยังเห็นองค์พระ ชัดใสแจ่มติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายตลอดเวลา องค์พระ ทำให้อาตมาเดินยิ้มได้ อารมณ์ดีได้ทั้งวัน ตอนนี้อาตมาขอหยุดชีวิตไว้ตรงนี้ ขอหยุดที่ศูนย์กลางกาย และขอบวชแบบนี้ไปวันต่อวัน เพราะนี่คือความฝันคือชีวิตแท้ที่ตามหามานาน"



พระญาณเดช  อนนฺตาโภ
อายุ ๒๒ ปี  ศูนย์อบรมวัดพระธรรมกาย จังหวัดปทุมธานี

ท่านเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์สักเท่าไร พ่อไปทางแม่ไปทาง คุณอาจึงรับไปอุปการะ เลี้ยงดู พอโตเป็นวัยรุ่นจึงได้ย้ายไปอยู่กับพ่อ แต่ก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกัน เพราะห่างกันไปนาน และพ่อก็ดุมาก ๆ เนื่องด้วยฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี ท่านจึงสู้ชีวิตด้วยการเรียนหนังสือไปด้วย ทำงานพิเศษไปด้วย ตั้งความหวังเอาไว้ว่า สักวันหนึ่งจะต้องมีอนาคตที่สดใสและมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบมากกว่านี้

แต่ก่อนโยมพ่อของท่านชอบเล่นการพนันและตีไก่ แต่พอโยมพ่อได้มาบวชในโครงการบวชพระ แสนรูปของวัดพระธรรมกาย โยมพ่อก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เลิกเล่นการพนัน และไม่ไปตีไก่อีกเลย วันหนึ่งโยมพ่อมาบอกกับท่านว่า "เดี๋ยวจะให้ไปบวชนะ"  คำพูดประโยคนี้เหมือนสายฟ้าฟาดที่กลางใจ เพราะท่านยังเรียนไม่จบและยังไม่อยากบวช แต่พ่อก็พูดอีกว่า “นี่ขนาดแค่เรียนยังบอกว่าไม่มีเวลา ถ้าทำงานแล้วจะมีเวลาหรือ ยังไง ก็ต้องบวช ถ้าได้บวชเดี๋ยวก็ดีเองแหละ” แล้วก็เล่าเรื่องการบวชให้ฟัง สุดท้ายท่านก็ตกลง เพราะลึก ในใจอยากบวชให้พ่อ อยากทำให้ท่านมีความสุข หลังจากที่ได้บวชและได้ปฏิบัติธรรม จึงทำให้ท่านรู้ว่า ชีวิตได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

"อาตมาเคยฝึกนั่งสมาธิมาบ้าง แต่พอมาเข้าโครงการแล้วต้องนั่งทุกวัน มันก็เลยปวดไปหมด พอหลวงพ่อสอนว่า "ใสในใส"  อาตมาก็นึกในใจตามว่า "ปวดในปวด"  ใจวอกแวกเหมือนมีใครเอาโปรเจกเตอร์ มาฉายอยู่ในหัว ทำให้เห็นภาพเหตุการณ์อะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด พอวันต่อ ๆ มาได้ยินหลวงพ่อสอนว่า "มีอะไรให้ดูก็ดูไป"  อาตมาก็ไม่รู้จะดูอะไรเพราะมันมืดมิดไปหมด นั่งปวดแล้วปวดอีก มืดแล้วมืดอีก จนผ่านไปเป็นเดือนจึงลองนึกถึงดวงแก้ว ก็เห็นเป็นลูกปิงปอง บางทีลูกปิงปองก็กลายเป็นดวงแก้วใส บางทีก็เด้งมาอยู่ข้างหน้าบ้าง เด้งไปอยู่ในกลางท้องบ้าง แต่ก็มีสมาธิขึ้นเรื่อย ๆ

"จนวันหนึ่ง ลองนึกถึงองค์พระและภาวนา "สัมมา อะระหัง"  อาตมารู้สึกว่าใจมันนิ่งมาก นิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ว่าง โล่ง ความปวดเมื่อย หายไปหมด ตอนนั้นได้ยินเสียงอะไรก็ไม่สะทกสะท้าน แล้วเสียงนั้นก็ค่อย ๆ หรี่ลงจนหายไป ทุกอย่างเงียบมาก แล้วอาตมาก็เห็นดวงแก้วอยู่ในองค์พระ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเห็นได้อย่างไร พอลืมตาแล้วองค์พระก็ยังอยู่ ไม่ว่าจะทำอะไรท่านก็ไม่หายไปไหนเลย และปัจจุบันนี้ องค์พระก็ใสมาก ใสยิ่งกว่าแก้ว บางเบาจนเหมือนจะกลืนไปกับอากาศ ตอนนี้อาตมามีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เป็นความสุข ที่บริสุทธิ์มาก ๆ อาตมาอยากขอบคุณโยมพ่อที่ทำให้อาตมาได้บวช การบวชในครั้งนี้เป็นเหมือนของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตที่โยมพ่อได้มอบให้กับอาตมา ตั้งแต่ได้เห็นองค์พระอาตมาก็ได้ค้นพบวิธีเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์ อาตมารู้แล้วว่า เราเกิดมาทำไมและเราสามารถแก้ไขชีวิตของเราให้ดีขึ้นได้ด้วยการสั่งสมบุญ"



พระพิเชษฐ์   จนฺทาโภ
อายุ ๓๐ ปี  ศูนย์อบรมวัดโบสถ์ อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย

เมื่อก่อนใคร ๆ ต่างให้ฉายาท่านว่า "นายเหยาะแหยะ"  เพราะท่านเป็นคนไม่เอาไหน ซ้ำร้าย ยังชอบคบเพื่อนที่เกเร ดื่มเหล้าและติดยา ตั้งแต่เรียน อยู่ชั้น ม.๒ ถูกคุณครูเชิญให้ออกจากโรงเรียน พ่อกับแม่ต่างเอือมระอาจนไม่อยากมองหน้า แต่กระนั้น หนุ่มใจแตกอย่างท่านก็ยังไม่สำนึกและอวดดีต่อไป เริ่มขยับจากคนเสพยามาเป็นคนขาย เพราะมันเป็นอะไรที่ซื้อง่ายขายคล่องมาก ๆ และยังบันดาลความสุขอันจอมปลอมให้แบบสุด ๆ กล่าวคือ ทำให้ชีวิตมีพร้อมทุกอย่าง ทั้งเงินทอง รถยนต์ และบ้าน แต่สุดท้ายถึงแม้ว่าจะมีครบทุกอย่าง แต่ก็เป็นทุกข์หลายอย่าง เพราะต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ใจเต้นระส่ำไม่เป็นสุข และทุกครั้งที่กลับบ้านไปหาพ่อกับแม่ ทั้งสองท่านก็ไม่เคยมองหน้าเลยสักครั้ง

กระทั่งมีอยู่คืนหนึ่งท่านได้ไปเยี่ยมยายของท่าน ซึ่งเป็นแฟนขาประจำ DMC ทำให้ท่านได้ดูและได้ฟังหลวงพ่อธัมมชโยกำลังเทศน์อยู่ และขณะที่มองอยู่เพลิน ๆ จู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกอยากจะบวชขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงบอกกับยายเดี๋ยวนั้นเลยว่า “ผมอยากจะบวช" ซึ่งยายก็เกิดอาการไม่คิดว่าจะได้ยินคำ นี้จากหลานชายจอมเกเร ยายได้ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรติดต่อพระอาจารย์ พาไปสมัครบวช และได้พาไปกราบเท้าขอขมาพ่อกับแม่ เพื่อลาบวช ท่านทั้งสองต่างรู้สึกตกใจ ประหลาดใจ และปลื้มใจมากจนน้ำตาไหล เพราะไม่เชื่อว่าลูกชาย จะเป็นคนดีกับเขาได้...

"อาตมาดีใจที่ได้มาอยู่ใต้ร่มบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เมื่อได้นั่งสมาธิโดยมีเสียงนำนั่งของหลวงพ่อ อาตมารู้สึกเบาสบาย เพียงแค่หลับตาเบา ๆ ก็เห็นองค์พระแก้วใสมาอยู่ตรงหน้าเลย ตอนแรกที่เห็นองค์พระรู้สึกตกใจเล็กน้อยจนต้องลืมตา แต่พอหลับตาลงอีกครั้ง องค์พระก็ยังอยู่ องค์พระ สวยงามมากและสว่างมาก อาตมาค่อย ๆ นึกน้อมท่านมาไว้ที่ศูนย์กลางกาย จากนั้นท่านก็มาอยู่ที่กลางท้องจริง ๆ พอมองลงไปก็เห็นมีดวงแก้วคลุมองค์พระอยู่ด้วย ตอนนั้นเหมือนกับว่าร่างกายไม่มีอวัยวะอะไรสักอย่าง มันทั้งเบาทั้งสบายมีความสุขอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะรู้สึกว่ามีองค์พระอยู่ในตัวตลอดเวลา อาตมาอบอุ่นใจมากและรู้ว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว และที่ประทับใจคือ อาตมารู้สึกดีใจว่า คนร้าย ๆ อย่างเราก็สามารถเห็นองค์พระกับเขาได้เหมือนกัน

ตั้งแต่อาตมาเข้าโครงการบวช และได้นั่งสมาธิมาได้เพียง ๓ วัน อาตมาคนเก่าก็ได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว โครงการของหลวงพ่อสามารถเปลี่ยนอาตมาให้เป็นคนดี เป็นคนใหม่ ซึ่งตัวเองก็อดที่จะแอบภูมิใจไม่ได้ว่า ทำไมคนอย่างเรา ถึงได้มีบุญขนาดนี้ที่ได้มาเจอกับหลวงพ่อ หลวงปู่ และคุณยาย อาจารย์ฯ อาตมาอยากจะบอกว่า ถ้าตายลง ณ ตอนนี้ วินาทีนี้ ชีวิตก็คุ้มเกินคุ้มแล้ว อาตมาอยากจะฝากข่าวดีไปถึงทุก ๆ คนที่อยู่ทางบ้านว่า ไม่ต้อง เป็นห่วง อาตมาไม่มีกำหนดสึก จะอยู่อย่างนี้ไป นาน ๆ จะช่วยงานหลวงพ่อไปแบบชาติต่อชาติ ช่วยทุกอย่างเท่าที่จะทำได้




เรื่องราวที่เป็นตัวอย่างสู่การเปลี่ยนแปลงอันประเสริฐของพระภิกษุธรรมทายาททั้งหลายเหล่านี้ ล้วนมีจุดเริ่มต้นตัวแปรสำคัญ คือ  "ใจที่ผ่องใส"  ใจที่ผ่องใสย่อมมีพลัง ทำให้สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ เป็นไปได้ เปลี่ยนสิ่งที่ร้ายให้กลายเป็นดี ใจที่พร้อมสู่กระบวนการแห่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความใส คือ ใจที่ไม่แกว่งไกวหรือส่ายซัด มีคำจำกัดความง่าย ๆ ว่า  "หยุดกับนิ่ง"  "หยุด"  คือ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องจินตนาการ ไม่ต้องอยากได้ อยากมี อยากเห็น อยากเป็นอะไร  "นิ่ง" คือ ไม่ติง ไม่ส่าย ไม่หวั่นไหว ปักใจแน่วแน่ที่ศูนย์กลางกาย ยิ่งรักตัว ยิ่งกลัวตาย ยิ่งต้องรักศูนย์กลางกายยิ่งชีวิต หากกล้าหยุด กล้านิ่ง กล้าทิ้ง กล้าตาย ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ชีวิตจึงจะเปลี่ยนไปสู่สุดยอดแห่งความสำเร็จ คือ มรรคผลนิพพาน



Cr. ธัมม์  วิชชา
วารสารอยู่ในบุญ  ฉบับที่ ๑๐๘  เดือนตุลาคม  พ.ศ. ๒๕๕๔
เปลี่ยนแปลง "ใจ" ให้ใส "ชีวิต" เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เปลี่ยนแปลง "ใจ" ให้ใส  "ชีวิต" เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 01:14 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.