เฮือกสุดท้าย..แห่งชัยชนะ
"ควรปรารภความเพียรเสียตั้งแต่บัดนี้
ใครจะรู้ว่าความตายจักมีในวันพรุ่งนี้
เพราะการผ่อนผันกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้นย่อมไม่มี"
การมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้ดี
เราจะได้ไม่ประมาท คนส่วนมากเพียรพยายามในการทำมาหากิน โดยไม่รู้ว่าชีวิตเป็นดุจไม้ใกล้ฝั่ง
จะล้มลงในวันใดก็ได้ จึงละเลยต่อการเจริญสมาธิภาวนา
ทำความเพียรเพื่อให้เข้าถึงที่พึ่งภายในคือพระธรรมกาย การทำงานหาทรัพย์
ควบคู่ไปกับการสร้างบุญ ให้ธุรกิจกับจิตใจไปด้วยกัน นับเป็นชีวิตของผู้ไม่ประมาท
เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่า จะมีชีวิตอยู่ยืนยาวแค่ไหน
ความตายเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา ดีที่สุดคือรีบทำความดีตั้งแต่วันนี้..
ก่อนที่วันพรุ่งนี้อาจจะไม่มีสำหรับเราอีกต่อไป
เฮือกสุดท้าย...ใจหมอง...
ในสมัยหลังพุทธกาล
มีหนุ่มชาวทมิฬคนหนึ่ง ชื่อทีฆชยันตะ เป็นคนมีนิสัยหยาบกระด้าง ทำผิดศีล ๕
อยู่เป็นประจำ เพราะคบคนไม่ดีเป็นมิตร ในระหว่างที่ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน
เกิดการทะเลาะวิวาทกับคู่อริ จึงถูกฆ่าตาย เนื่องจากตายเพราะขาดสติ จิตใจเศร้าหมอง
จึงถูกยมทูตนำลงไปยมโลก ให้พญายมราชช่วยตัดสินว่า จะให้ไปเสวยวิบากกรรมที่ทำเอาไว้ในนรกขุมไหนหรือที่ไหนจึงเหมาะสม
พญายมราชเมตตาให้โอกาสนึกถึงบุญที่เคยทำ
แต่ตัวเองเป็นคนใจโหดเหี้ยม ฆ่าสัตว์เป็นอาจิณ จึงนึกถึงบุญไม่ออก
เห็นแต่ภาพของการเข่นฆ่าเป็นนิมิตอยู่ข้างหน้า
พญายมราชจึงพิพากษาให้ไปเสวยทุกข์ในอุสสทนรก ในขณะที่กำลังถูกทัณฑ์ทรมานอยู่นั้น
สัตว์นรกตัวนี้พลันนึกถึงภาพตัวเองสมัยที่เป็นวัยรุ่น
พ่อแม่ใช้ให้นำผ้าแดงไปบูชาเจดีย์ ซึ่งเป็นเจดีย์ระฟ้าที่สุมนคิริมหาวิหาร
จำได้ว่าตอนที่เอาผ้าไปบูชาพระเจดีย์นั้น ตัวเองมีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยมาก
ฉะนั้น เมื่อได้เห็นเปลวไฟที่ลุกวูบวาบไปมา จึงหวนระลึกถึงผ้าแดงที่พัดโบกผืนนั้นได้
เพียงแค่จิตเป็นกุศลนิดเดียวเท่านั้นเอง บุญก็สว่างวาบ ฉุดเอาสัตว์นรกนี้ขึ้นจากขุมนรก
แล้วไปบังเกิดเป็นอากาศเทวาทันที
นึกถึงบุญได้ตอนอยู่ในนรก
ส่วนอีกท่านหนึ่ง
ตลอดชีวิตมัวแต่ทำมาหากิน ไม่สนใจเข้าวัดฟังธรรม แต่ชอบฆ่าสัตว์ทำอาหาร ก่อนตายใจเศร้าหมอง
ตายแล้วบุญไม่ชัดกรรมก็ไม่แจ้งนัก จึงถูกยมทูตนำไปที่ยมโลก
เมื่อผ่านการไต่สวนจากพญายมราชแล้ว จึงถูกส่งให้ไปเสวยทุกข์อยู่ในอุสสทนรก
แต่ในช่วงที่ว่างจากการถูกทรมานแวบหนึ่งนั้น ได้พิจารณาเห็นเปลวไฟใหญ่ไหวไปไหวมา
เสียงดังพึ่บพั่บ ๆ ก็พลันนึกถึงผ้าจีวรโบกสะบัดที่ตัวเองถวายพระลูกชาย
ด้วยจิตที่เป็นกุศล บุญทำงานเต็มที่ ทำให้สัตว์นรกพ้นจากทัณฑ์ทรมาน
เลื่อนจากอัตภาพของสัตว์นรกไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
นับเป็นอานุภาพแห่งบุญที่อัศจรรย์ยิ่ง ต้องถือว่าหนึ่งในล้าน ๆ
คนที่เมื่อตกลงไปในนรกแล้ว จะสามารถหลุดพ้นจากอบายภูมิขึ้นมาได้
เพราะส่วนใหญ่มีแต่ต้องเสวยทุกข์ไปจนกว่ากรรมนั้นจะสิ้นสุดลง
นอกจากนี้ ยังมีอีกท่านหนึ่ง
ในอดีตเคยเป็นอำมาตย์ เป็นคนฉ้อราษฎร์บังหลวง พิจารณาคดีด้วยความลำเอียง
แต่ด้วยบุญที่เคยเอาดอกมะลิ ๑ หม้อ ไปบูชาพระมหาเจดีย์
แล้วได้แบ่งส่วนบุญให้แก่พญายมราช
เมื่อตายไปแล้วได้ถูกควบคุมตัวไปพิจารณาโทษในยมโลก
แม้พญายมราชจะเตือนให้นึกถึงบุญก็นึกไม่ออก เพราะบาปมันบังใจเอาไว้
พญายมราชจึงตรวจดูเอง แล้วเตือนให้ได้สติว่า “ยังจำได้ไหม ท่านเคยบูชามหาเจดีย์ด้วยดอกมะลิ ๑ หม้อ แล้วยังอุทิศส่วนกุศลให้กับเรา” อำมาตย์ท่านนี้จำกุศลกรรมของตัวเองได้
จึงมีใจเลื่อมใส พอจิตเลื่อมใสเท่านั้น ก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลกทันที
เราจะเห็นว่า
การชิงช่วงระหว่างใจหมองกับใจใสมีอยู่ตลอดเวลา เราต้องฝึกทำใจให้ใส ๆ อย่าให้หมอง
และอย่าให้อกุศลมาครอบงำจิตใจของเราได้ การจะทำเช่นนี้ได้ต้องหมั่นสั่งสมบุญอยู่เป็นนิจ
ชำระกาย วาจา ใจให้บริสุทธิ์ และเมื่อทำบุญอะไรไว้แล้ว
ก็ให้หมั่นตรึกระลึกนึกถึงเรื่อย ๆ ให้ใจอยู่ในบุญ อย่าไปนึกถึงบาป
การทำความดีนั้นต้องทำบ่อย ๆ ต้องมีความเพียรพยายามไม่ลดละ บุญแม้น้อยนิดต้องคิดทำ
แม้จะทำยากแต่มีความสุขเป็นผลก็ต้องทนเอา เหมือนเราจำเป็นต้องผ่าตัด ต้องทนเจ็บปวดเพื่อให้หายจากโรค
ต้องฝืนกินยาขมจะได้หายเจ็บป่วยไข้
เฮือกสุดท้าย....ใจใส
เฮือกสุดท้ายของชีวิตนั้นสำคัญมาก เพราะจะไปอบายหรือสบาย
จะไปสุคติหรือทุคติก็อยู่ที่ใจหมองหรือใสนี่แหละ ในสมัยพุทธกาล มีพ่อค้าท่านหนึ่ง
มีอาชีพค้าขายผ้าหลากหลายชนิดด้วยกัน วันหนึ่ง เขาบรรทุกผ้าเต็มเกวียนเดินทางไปเมืองสาวัตถี
เพื่อทำการค้า พระบรมศาสดาเสด็จผ่านมา ครั้นทอดพระเนตรเห็นพ่อค้าท่านนี้แล้ว
ทรงแย้มพระโอษฐ์ เมื่อพระอานนท์ทูลถามจึงตรัสว่า “อานนท์ เธอเห็น พ่อค้าผู้มีทรัพย์คนนั้นไหม” “เห็นพระเจ้าข้า” “พ่อค้า
ไม่รู้ว่าอันตรายถึงแก่ชีวิตจะเกิดขึ้นกับตน
จึงคิดที่จะอยู่ที่นี่ตลอดปีเพื่อทำการค้าขาย พ่อค้าคนนี้จะมีชีวิตอยู่อีกเพียง ๗
วันเท่านั้น”
ด้วยความสงสาร
พระอานนท์จึงทูลขออนุญาตไปบอกพ่อค้า ครั้นพ่อค้าได้ฟัง แทนที่จะมัวแต่วิตก กังวล เขาได้ตั้งใจที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดนี้สร้างบุญให้เต็มที่ด้วยการถวายสังฆทานมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด
๗ วัน ในวันสุดท้าย พระพุทธองค์ได้ประทานโอวาทว่า “อุบาสก ธรรมดา บัณฑิตไม่ควรประมาท อย่ามัวคิดแต่เรื่องทำมาหากิน ควรคิดถึงความตายบ้าง สัตว์ที่เกิดมาล้วนต้องตาย เหมือนผลไม้ที่สุกแล้วร่วงหล่นไป...
เมื่อมนุษย์ถูกมัจจุราชสกัดอยู่ข้างหน้า บิดามารดาก็ต้านทานไว้ไม่ได้
หมู่ญาติก็เอาแต่รำพันโศกศัลย์อยู่นั่นเอง” ขณะที่ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่นั้น พ่อค้าก็ทำใจให้หยุดนิ่งตามไปด้วย จึงได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันทันที
เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จกลับ
พ่อค้าได้เดินตามไปส่ง หลังจากกลับมาถึงที่พัก เขาก็เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นมาอย่างกะทันหัน ตั้งใจว่าจะนอนพักสักหน่อย
แต่โชคร้ายเขาหลับสนิทและหลับตลอดกาล ไม่มีโอกาสตื่นมาดูกิจการค้าอีกแล้ว
ด้วยอานิสงส์แห่งบุญที่ตั้งใจทำก่อนตายและมีดวงตาเห็นธรรม
จึงได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นเทพบุตรที่มีรัศมีกายสว่างไสว
เสวยทิพยสมบัติที่ใหญ่โตโอฬาร
ท่านสาธุชนทั้งหลาย...ชีวิตของเราใกล้ความตายเข้าไปทุกขณะ
จะกำหนดวัน เวลา และสถานที่ ไม่ได้ เหมือนต้นไม้ริมตลิ่งที่ถูกกระแสน้ำเซาะให้พังลงไป
ชีวิตของเราถูกกระแสความแก่ ความเจ็บ พัดพาไปสู่ความตายทุกขณะ
นักสร้างบารมีผู้ไม่ประมาทต้องหมั่นสั่งสมบุญอยู่เป็นนิจ ทั้งทาน ศีล ภาวนา
แม้นลมหายใจใกล้จะสิ้นก็ไม่กลัวต่อความตาย
เพราะมั่นใจว่าลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะต้องเป็นลมหายใจแห่งชัยชนะ พร้อมไปสู่สุคติโลกสวรรค์ตลอดเวลา
....ก่อนชวาลชีวิตดวงนิดน้อย
....จะดับผล็อยเป็นดวงไฟดูไร้ค่า
....อย่าได้ปล่อยให้มันดับไปกับตา
....แต่จงจุดให้เจิดจ้านิรันดร
Cr. เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ. ๙
ภาพประกอบ
: กองพุทธศิลป์
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๑๐ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
เฮือกสุดท้าย..แห่งชัยชนะ
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
01:10
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: