กล้าดี นักรบกล้าพันธุ์ตะวัน
..กุญชรเอย เจ้าเคยเข้าสงคราม
เคยแกล้วกล้าและมีกำลังมาก ความอาจหาญของเจ้าไปไหนเสีย
พวกเราอุตส่าห์ฝ่าจนใกล้จะเข้าประตูเมืองได้แล้ว ทำไมเจ้าจึงกลับถอยออกไปแบบนี้
ชื่อว่าการล่าถอยอย่างนี้ไม่สมควร..
ความกล้าหาญ..เป็นสัญชาตญาณประจำนักรบ
ความกล้าจะเป็นคู่ปรับกับความกลัว ในการตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่างหากไร้ซึ่งความกล้าก็ไม่อาจทำสำเร็จได้
การที่จะเอาพลังศักยภาพที่สะสมอยู่ในตัวทั้งหมดมาใช้นั้น
จำเป็นต้องได้ความกล้าเป็นตัวดึงมันออกมา
เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์
ทรงได้รับอาราธนาให้เสด็จเข้าไปในพระราชวัง หลังจากเสวยพระกระยาหารแล้ว
ก่อนเสด็จออกจากวังทรงได้ประทานบาตรแก่เจ้าชายนันทะพุทธอนุชาต่างพระมารดา และเจ้าชายนันทะนั้นกำลังจะอภิเษกสมรสกับนางชนบทกัลยาณีในวันนั้นพอดี
ด้วยความเคารพในพระบรมศาสดา เจ้าชายนันทะจึงไม่กล้าทูลคืนบาตร จำต้องเสด็จตามไปอย่างไม่เต็มใจและทรงครุ่นคิดไปตลอดทางว่า
"อีกสักพัก พระพุทธองค์คงจะขอบาตรคืนเป็นแน่ "
แทนที่พระศาสดาจะทรงรับบาตรคืน
กลับตรัสถามว่า “นันทะ เธออยากบวชไหม” ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า
จึงทรงตอบตกลงไปว่าจะบวช เมื่อบวชแล้วจิตใจของพระนันทะก็รัญจวนถึงนางชนบทกัลยาณีโดยตลอด
จึงไปทูลขอลาสิกขากับพระศาสดา พระพุทธองค์จึงทรงพาท่านไปเที่ยวชมสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อให้ดูความงามของเหล่าเทพธิดาบริวารท้าวสักกะ
๕๐๐ นาง พระนันทะตะลึงในความงดงามของพวกนาง จนถึงกับลืมนางชนบทกัลยาณีทีเดียว
พระพุทธองค์จึงทรงใช้กุศโลบายโดยสัญญาว่าหากพระนันทะต้องการนางเทพธิดาเหล่านี้จริง
ๆ ก็ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมให้ดีเถิด แล้วจะได้ครอบครองนางเทพธิดาเหล่านั้นสมปรารถนา
เมื่อท่านลงมือปฏิบัติธรรมเพื่อการนี้
จึงถูกเพื่อนภิกษุแกล้งเย้าแหย่ว่าที่ท่านตั้งใจบำเพ็ญเพียร
ก็เพียงเพื่ออยากได้นางเทพธิดา ทำให้พระนันทะอึดอัดและละอายใจ
แล้วปลีกตัวออกไปทำความเพียรแต่เพียงผู้เดียว
ไม่นานนักก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
หมู่สงฆ์สดับเรื่องราวนั้นจึงพากันสนทนาในธรรมสภาว่า
"ท่านพระนันทะอดทนต่อคำสอนของพระศาสดา ตั้งอยู่ด้วยพระโอวาทเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
แล้วบำเพ็ญสมณธรรมก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้" ครั้นพระบรมศาสดาเสด็จมา
และทรงทราบหัวข้อสนทนาแล้ว จึงตรัสเล่าถึงบุพกรรมในอดีตชาติของพระนันทะซึ่งเคยเกิดเป็นช้างสงคราม
ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาลเมื่อพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นนายหัตถาจารย์
คือ ครูช้าง มีความรอบรู้เจนจบในคชศาสตร์หรือการฝึกช้าง
ท่านเข้ารับราชการในวังของพระราชาพระองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามของพระเจ้าพรหมทัตแห่งกรุงพาราณสี
ท่านยังได้ฝึกหัดช้างมงคลเชือกหนึ่ง จนเป็นช้างศึก คู่บ้านคู่เมือง ซึ่งเป็นทั้งพาหนะของพระราชาและเป็นทั้งอาวุธทรงพลังที่มีชีวิต คราวหนึ่งพระราชาพระองค์นี้จะยกทัพบุกเมืองพาราณสี
จึงเสด็จขึ้นช้างมงคลเชือกนี้ และทรงชวนพระโพธิสัตว์ไปด้วย ทรงยกทัพไปโอบล้อมเมืองไว้โดยส่งราชสาส์นไปก่อนว่า
"จะยกสมบัติให้หรือจะรบกับเรา" ทว่าพระเจ้าพาราณสีทรงเลือกที่จะทำสงคราม
โดยรับสั่งระดมพลทหารกล้าตายทุกหน่วยเต็มอัตราศึก
ไปประจำการรักษาประตูกำแพงและป้อมค่ายตามจุดต่าง ๆ
ฝ่ายพระราชาแห่งเมืองของพระโพธิสัตว์ทรงประกาศก้องแก่เหล่าทหารหาญของพระองค์ว่า
"ในวันนี้ พวกเราจะต้องเอาชัยให้ได้"
แล้วทรงเอาเกราะหนังสวมให้ช้าง ทรงถือพระแสงขออันคมกริบ แล้วไสช้างมงคลคู่พระทัยพร้อมกับโห่ร้องสนั่นเคลื่อนทัพไปจนเข้าประจันหน้ากับกำแพงค่ายของฝ่ายตรงข้าม
แต่ทว่าทหารเมืองพาราณสีเจ้าบ้านก็เปิดฉากกระหน่ำข้าศึกด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ
อย่างหนักหน่วง
ในขณะที่ช้างมงคลได้เห็นแสนยานุภาพแห่งยุทโธปกรณ์ของฝ่ายพาราณสี
ไม่ว่าจะเป็นห่าลูกศร ธนูไฟ การสาดทรายร้อน หินเหวี่ยงจากเครื่องเหวี่ยง
หินให้ลอยตกลงมาทับอีกฝ่าย และเห็นภาพที่ทหารฝ่ายตนร้องโอดครวญเจ็บปวดและล้มตายกันมากมาย
ทำให้ช้างรู้สึกสับสนอลหม่านในจิตใจ และตื่นตระหนกกลัวตายขึ้นมา
จึงไม่กล้าเข้าไปใกล้ ๆ กลับเยื้องเท้าถอยร่นห่างออกทีละเล็กละน้อย หมายจะหนีออกไปจากสนามรบ
คุณสมบัติช้างศึกคู่สมรภูมิ
๑. มีความตั้งใจเด็ดเดี่ยว ทำใจให้พร้อมรบทุกเมื่อ
และทำตามในสิ่งที่คนบังคับช้างสั่ง
๒. ทำลายแสนยานุภาพศัตรู สามารถกำจัด ช้างศึก ม้าศึก รถศึก พลรถ
และพลเดินเท้าได้
๓. รักษาตัวรอด สามารถป้องกันตัวเอง เท้าทั้งสี่ ศีรษะ หู งา
งวง แม้กระทั่งชีวิตคนบังคับช้าง
๔. มีความอดทนสูง ทนต่ออาวุธทุกชนิดหรือต่อเสียงกลองรบที่ตีกระหึ่มเขย่าขวัญอยู่
๕.
เคลื่อนย้ายตัวได้เร็ว หากถูกคนบังคับช้างไสไปทางใด
ต้องวิ่งไปทางนั้นให้ไวตามต้องการ
พระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นครูช้างเห็นช้างเสียขวัญ
ก็ทราบทันที จึงพูดปลอบให้กำลังใจว่า "กุญชรเอย เจ้าเคยเข้าสงคราม
เคยแกล้วกล้าและมีกำลังมาก ความอาจหาญของเจ้าไปไหนเสีย พวกเราอุตส่าห์ฝ่าจนใกล้จะยันเข้าประตูเมืองได้แล้ว
ทำไมเจ้าจึงกลับถอยออกไปดื้อ ๆ แบบนี้ ชื่อว่าการล่าถอยอย่างนี้ไม่สมควร ดังนั้น
เจ้าจงพังกลอน ถอนเสาค่าย ทำลายประตูเมือง เผด็จศึกให้เร็วที่สุดเถิด"
ช้างมงคลเมื่อได้คำปลุกใจจากพระโพธิสัตว์
ผู้เป็นนายของตน ก็หวนระลึกถึงความกล้าที่เคยมี กลับฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง แล้วหันกลับตามคำของพระโพธิสัตว์
ประจันหน้ากับข้าศึก กระทืบเท้าวิ่งจู่โจมฝ่าเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิต
และแสดงพละกำลังอันมหาศาลของตน
ใช้งวงถอนเสาหลายต้นที่ใช้ปักเป็นค่ายออกอย่างง่ายดาย ดั่งเอามือถอนดอกเห็ด
จากนั้น ช้างได้พุ่งชนประตูเมืองวิ่งฝ่าวงล้อมจนหมู่ข้าศึกแตกกระบวน
แล้วนำหน้ากองทัพกรีฑาบุกเข้าไปยึดเมืองพาราณสีของพระเจ้าพรหมทัตได้ในที่สุด
ความกลัว..เหมือนเสียงหลอกให้วิ่งวนสับสนที่อยู่ภายนอก
ความกล้า..เหมือนเสียงบอกฟันธงว่าใช่
ที่อยู่ลึกภายในและซ่อนขุมพลังเอาไว้
นักรบกองทัพธรรม..หากต้องการหาความกล้าหาญในตัว
ก็พึงนำใจไปหาแหล่งที่มันซ่อนอยู่ ซึ่งแหล่งแห่งความกล้าที่แท้จริง
ก็คือ...สติตั้งมั่นกลางกาย
เมื่อใดที่ใจเกิดวิตกหวั่นไหว
ให้ถอยกลับไปจุดเริ่มต้นเพื่อฟังเสียงจากภายในกลางกาย
แล้วใช้โยนิโสมนสิการเป็นหลักในการตัดสินใจ บวกกับความเชื่อมั่นในความดีที่จะทำนี้
เรียกว่ามีความกล้าดี แม้อาจไม่สำเร็จในครั้งแรกก็อย่าล้มเลิกกลางคัน
ให้ถือเป็นบทเรียนต่อไปจนกว่าจะพบช่องทางที่ใช่ แล้วความสำเร็จจะเป็นของเรา
ดังนั้น
สิ่งใดที่เป็นคำสั่งคำสอนครูบาอาจารย์ หรือภารกิจที่ท่านมอบหมาย เราต้องเชื่อมั่นในผังสำเร็จ
และว่าอย่างไรก็ต้องว่าตามกัน แล้วใช้ความกล้าดีของเราสร้างบารมีอย่างไม่เว้นวรรค
และ ไม่ท้อ นักรบกองทัพธรรมต้องฝึกจิตให้กล้าในการทำความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
เพราะว่ามีศึกในสมรภูมิธรรม รออยู่ข้างหน้าอีกมากมาย
...ความเหน็ดเหนื่อยของพวกเราในวันนี้ คือ
บารมีที่เพิ่มพูน
...ชัยชนะของพวกเราทุกคน คือ สันติสุขของมนุษยชาติ
...ดังนั้น
การนำพามวลมนุษยชาติให้เข้าถึงพระธรรมกาย คือ
ภารกิจของพวกเรานักรบกองทัพธรรมทุกคน..
Cr. เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ.๙
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๙๑
เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
กล้าดี นักรบกล้าพันธุ์ตะวัน
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
00:27
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: