ทำงานอย่างไรจึงจะมีกำลังใจ ไม่ท้อแท้ ไม่ท้อถอย ?
ถาม : ทำงานอย่างไรจึงจะมีกำลังใจ ไม่ท้อแท้ ไม่ท้อถอย ?
ตอบ : ในเรื่องนี้หลวงพ่อขอนำคุณธรรมคุณยายอาจารย์ฯ มาเป็นแบบอย่าง ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลวงพ่อเห็นคุณยายท่านทำงานสร้างวัดพระธรรมกายด้วยความกระตือรือร้นมาโดยตลอด ไม่ว่าจะมีอุปสรรคยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด ก็ไม่เคยเห็นท่านท้อแท้ท้อถอยแม้แต่ครั้งเดียว เราลองมาศึกษาและพิจารณาหลักการทำงานของท่าน เพื่อเป็นแนวทางในการทำงานและการสร้างกำลังใจให้ตัวของเราเอง
ตอบ : ในเรื่องนี้หลวงพ่อขอนำคุณธรรมคุณยายอาจารย์ฯ มาเป็นแบบอย่าง ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลวงพ่อเห็นคุณยายท่านทำงานสร้างวัดพระธรรมกายด้วยความกระตือรือร้นมาโดยตลอด ไม่ว่าจะมีอุปสรรคยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด ก็ไม่เคยเห็นท่านท้อแท้ท้อถอยแม้แต่ครั้งเดียว เราลองมาศึกษาและพิจารณาหลักการทำงานของท่าน เพื่อเป็นแนวทางในการทำงานและการสร้างกำลังใจให้ตัวของเราเอง
เริ่มตั้งแต่ ประการแรก คือ “หลักคิดในการทำงาน”
ของคุณยายอาจารย์ฯ
เมื่อครั้งที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำตั้งคำถามกับลูกศิษย์ที่นั่งสมาธิอยู่ในโรงงานทำวิชชาว่า
“พวกเราที่นั่งทำวิชชากันอยู่ที่นี้
ทำเพื่อใคร ?”
คำถามสำคัญของพระเดชพระคุณหลวงปู่นี้
ท่านไม่ได้ถามใครทั่วไป แต่ถามผู้ที่นั่งสมาธิทำวิชชาธรรมกายได้แล้ว
และไม่ใช่เพิ่งจะเริ่มทำวิชชา แต่เป็นผู้ที่ทำวิชชากันมานานเป็นปี ๆ
จนมีความก้าวหน้าในการทำวิชชากันแล้ว นั่นแหละคือบุคคลที่หลวงปู่ตั้งคำถามนี้ให้ตอบ
การทำวิชชานั้นเป็นการทำงานทางใจที่มีเป้าหมายคือปราบกิเลสในตัวเอง
และปราบมารซึ่งเป็นต้นตอที่ทำให้กิเลสมนุษย์กำเริบด้วย ผู้ที่ทำวิชชาปราบมารจะต้องมีคุณสมบัติ
คือ เข้าถึงพระธรรมกายได้ชัด เข้ากลาง ๑๘ กายได้ชำนาญ ระลึกชาติตัวเองได้
ระลึกชาติคนอื่นได้ ระลึกชาติได้ไกลขนาดไหนก็ปราบกิเลสไปได้เท่านั้น
คำถามนี้แหละที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำท่านถามบรรดาเหล่าผู้ทำวิชชาซึ่งมีทั้งฝ่ายพระภิกษุ
อุบาสก อุบาสิกา ฝ่ายละ ๓๐ รูป/คน ว่ากำลังทำเพื่อใคร บ้างก็ตอบว่าทำเพื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่
บ้างก็ว่าทำเพื่อพระพุทธศาสนา
บ้างก็ตอบว่าทำเพื่อพระพุทธเจ้า บ้างก็ว่าทำเพื่อให้ได้บุญมาก ๆ
แต่คุณยายอาจารย์ฯ ท่านตอบว่า “ทำเพื่อตัวเอง”
ซึ่งเป็นคำตอบที่พระเดชพระคุณหลวงปู่พอใจที่สุด
การปราบกิเลสในตัวเอง
ก็เพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นบ่าวเป็นทาสของกิเลสที่คอยบังคับควบคุมใจให้คิด-พูด-ทำ ก่อบาปอกุศลกรรมต่าง
ๆ และถ้าจะให้ดีกว่านั้น ก็ต้องปราบมาร ซึ่งควบคุมกิเลสอีกที เมื่อปราบมารสำเร็จก็จะไม่มีกิเลสมาบีบคั้นบังคับใจของใครได้
งานทั้งหมดนี้เป็นการทำเพื่อตัวเอง แต่ผลพลอยได้นั้นได้ทั่วถึงทุกคนหมดทั้งโลก
หลวงพ่ออยากให้ดูตรงนี้ให้ชัด การทำงานทุกอย่างมุ่งหวังให้เกิดผลลัพธ์
ซึ่งแบ่งออกได้เป็น “ผลหลัก” และ “ผลพลอยได้” ผลหลักเกิดขึ้นต่อตัวผู้ทำ
ส่วนผลที่เกิดแก่คนอื่น ๆ ด้วยนั้นจัดเป็นผลพลอยได้ คุณยายท่านมีหลักคิดในการทำงานตรงนี้ชัดว่า
การงานทุกอย่างล้วนทำเพื่อตัวเอง ผลหลักหรือผลแรกที่เกิดขึ้นย่อมเกิดแก่ผู้ทำก่อนเป็นคนแรก
การทำงานนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องเหน็ดเหนื่อย
แต่นั่นเป็นแค่ส่วนของร่างกายเท่านั้น เพราะกล้ามเนื้อทำงานมากย่อมล้าต้องการการพักผ่อน
แต่ไม่เหนื่อยใจ ไม่หน่ายที่จะทำต่อไป มีแต่ความกระตือรือร้นที่จะทำให้ยิ่ง ๆ
ขึ้นไป คุณยายท่านมีหลักในการคิดหรืออาจจะเรียกว่าทัศนคติที่ถูกต้องต่อการทำงาน
ท่านจึงไม่เหนื่อยหน่ายในการที่จะทำงานคือการสร้างบุญสร้างบารมีของท่าน
ประการที่ ๒ คือ “หลักในการทำงาน”
ของคุณยายอาจารย์ฯ
คุณยายมีหลักในการทำงาน คือ “เอาบุญของเราเป็นตัวตั้ง”
นอกนั้นเป็นผลพลอยได้ หมายความว่า ผลหลักที่เกิดจากงานคือบุญ
นี่เป็นสิ่งที่คุณยายท่านจะเก็บเกี่ยวไปเป็นของท่าน ส่วนผลงานที่เกิดขึ้น ใครจะได้ใช้ประโยชน์ต่อไปจัดเป็นผลพลอยได้จากการทำงานของท่าน
หลวงพ่อขอยกตัวอย่างการทำงานของคุณยายสักเรื่องหนึ่ง
ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์คุณยายก็ได้อาศัยทุกอย่างที่คุณยายทำเอาไว้ให้ แม้อาสนะที่พระนั่งฉันในหอฉันทุกวันนี้ก็เป็นผลงานของคุณยาย
เรื่องการเลือกอาสนะที่นั่งของพระเวลาฉันภัตตาหารในหอฉัน
คุณยายท่านมองว่าอาสนะที่นั่งฉันของพระจะก่อให้เกิดบุญได้เต็มที่ ควรจะดูแลให้ครอบคลุมถึงผลทุกอย่างที่จะเกิดจากการใช้อาสนะนั้น
คุณยายท่านมองอย่างไร
ข้อแรก ท่านมองถึงความสะดวกสบายของพระภิกษุผู้ขบฉัน ข้อที่สอง ท่านมองถึงความสะดวกสบายของญาติโยม
และ ข้อที่สาม ซึ่งเป็นประการสำคัญ ท่านมองถึงความน่าเลื่อมใส น่าศรัทธา ในตัวพระภิกษุและพระพุทธศาสนา
เริ่มต้นท่านก็ประชุมหารือกันในหมู่คณะว่า
เวลาพระฉันจะนั่งกันอย่างไร
ต่างก็ช่วยกันคิดหาทางเลือกที่เป็นไปได้ซึ่งมีอยู่หลายทาง เช่น ปูเสื่อนั่งฉันสบาย
ๆ หรือนั่งเก้าอี้ก็สะดวกดี หรือจะให้มีอาสนะทำเป็นตั่งเป็นแท่นนั่ง
ที่ประชุมถกเถียงกันไปมาตามแต่ความรู้และประสบการณ์ที่มีมาต่าง ๆ กัน
คุณยายท่านเป็นผู้ตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดให้
ท่านบอกว่าพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำท่านทำต้นแบบไว้ดีแล้ว
คือยกเป็นแท่นเป็นอาสนะขึ้นมา
แล้วคุณยายก็เมตตาแจกแจงเหตุผลข้อดีข้อด้อยของแต่ละทางเลือก
เพื่อให้ทุกรูปทุกคนได้เข้าใจชัดเจนตรงกันว่า
ถ้านั่งกับพื้น
ระดับก็เสมอกันกับญาติโยม เวลาที่ญาติโยมจะเข้ามาประเคนก็จะลำบาก
ดูไม่เรียบร้อย ดูไม่งาม
ส่วนการนั่งเก้าอี้นั้น
เวลาถวายของพระจะหันหน้าไปคนละทางสองทาง
หันหน้าให้โยมบ้าง หันหลังให้โยมบ้าง แม้ได้ความสะดวกสบาย แต่ขาดความศักดิ์สิทธิ์ อย่าไปทำ
คุณยายท่านให้ทำอย่างที่หลวงปู่ท่านทำไว้ดีแล้ว
คือยกแท่นขึ้นมา เวลาถวายสังฆทาน ไม่ว่าใครจะนั่งอยู่ตรงอาสนะไหน
ก็หันหน้าให้ญาติโยมได้ทุกทิศ มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย น่าเลื่อมใส
แต่ในส่วนขนาด ความสูง ความกว้าง ความยาว หรือรูปแบบการจัด รายละเอียดต่าง ๆ นั้น เนื่องจากเป็นคนละสถานการณ์
ให้ไปคำนวณหากันเอาเอง ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกับที่วัดปากน้ำ
การที่ท่านคิดอย่างนี้
สั่งอย่างนี้ ท่านได้บุญเพื่อตัวท่านไปแล้ว ผลพลอยได้ก็คือ พระมีที่ฉันที่ใช้กันอย่างสะดวกสบาย
ญาติโยมมาทำบุญได้สะดวก เพิ่มพูนกุศลศรัทธาให้แก่พุทธบริษัท ทั้งฝ่ายพระภิกษุ
ฝ่ายญาติโยม และพระพุทธศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนาสืบทอดไปได้อีกยาวไกล
งานครั้งนี้ของคุณยายเป็นการช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาได้
ท่านจึงได้บุญเต็มที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะการทำงานของท่านมีวิธีทำโดยยึดบุญเป็นหลัก
ลูกศิษย์ต่างได้อาศัยผลพลอยได้นี้ไปทำสิ่งต่าง ๆ
ที่จะเป็นผลหลักคือบุญเกิดแก่ตัวเองต่อไป
เมื่อทำเช่นนี้จึงจะเป็นบุญต่อบุญกันเรื่อยไปไม่รู้จบ
ในการคิดทำงานโดยเอาบุญเป็นตัวตั้งอย่างนี้ เป็นความอัศจรรย์ที่จะไม่มีใครบดบังรัศมีใคร
จะทำงานไปด้วยกันได้ทุกฝ่าย ไม่มีใครขัดใคร ไม่มีใครได้ประโยชน์แล้วอีกฝ่ายเสียประโยชน์
ทุกคนทุกฝ่ายจะมีแต่ได้ประโยชน์กับได้ประโยชน์ เหมือนกับการเอาดวงอาทิตย์เป็นตัวตั้งในเวลากลางวัน
เราเดินทางไปที่ใด ดวงอาทิตย์ก็ตามไปด้วย ไม่ว่าองศาดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนไปอย่างไร ดวงอาทิตย์ก็ยังส่องสว่างอยู่เหนือศีรษะเราทุกคน
ดังนั้น
เมื่อเราทำการงานใดก็ตาม ถ้าเอาบุญเป็นตัวตั้งอย่างแท้จริงแล้ว ก็จะมีแต่ได้กับได้กันทุกคน
และก็ทำให้ทุกคนปลื้มใจ อิ่มใจในบุญ และจะไม่รู้สึกท้อแท้ท้อถอยในการทำความดี
แม้บางครั้งร่างกายอาจจะเหนื่อยล้า แต่เพราะเมื่อเรามีหลักคิดแล้วว่า
เมื่อเราทำความดี คนที่ได้บุญก็คือตัวเรา ส่วนผลพลอยได้ที่ตามมานั้นก็คือผลดีที่เกิดขึ้นกับส่วนรวม เราทำมากเท่าไร
ก็เป็นผลบุญที่เกิดขึ้นกับตัวเราและผลดีที่เกิดขึ้นกับส่วนรวมมากเท่านั้น ทำให้ไม่ว่าจะมีอุปสรรคยากลำบากใด
ๆ เกิดขึ้น เราก็ยกใจข้ามอุปสรรคไปได้
เพราะมีผลบุญที่เราจะได้รับเป็นตัวตั้งนั่นเอง
เรื่อง : หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๒๐๔ ประจำเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
คลิกอ่านบทความได้ที่นี่ https://dhamma-media.blogspot.com/2019/11/lp1262.html
คลิกอ่านวารสารอยู่ในบุญในรูปแบบของ E-book
http://dhammamedia.org/YNB%202562/204%20YNB_6212/YNB204_1262.html
คลิกอ่านแต่ละบทความของวารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๒๐๔ ประจำเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้ที่นี่
คลิกอ่านบทความได้ที่นี่ https://dhamma-media.blogspot.com/2019/11/lp1262.html
***สามารถนำไปเผยแพร่ได้ แต่ขอให้ใส่ Cr. ผู้เขียนด้วย***
คลิกอ่านวารสารอยู่ในบุญในรูปแบบของ PDF
https://drive.google.com/file/d/18gu8XlvlXseruh8QaZ6CvVADzjt75MbO/view
https://drive.google.com/file/d/18gu8XlvlXseruh8QaZ6CvVADzjt75MbO/view
คลิกอ่านวารสารอยู่ในบุญในรูปแบบของ E-book
http://dhammamedia.org/YNB%202562/204%20YNB_6212/YNB204_1262.html
คลิกอ่านแต่ละบทความของวารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๒๐๔ ประจำเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้ที่นี่
- การปฏิวัติเพื่ออิสรภาพที่แท้จริง
- Unseen ปฏิปทาพระพ่อ (คุณครูไม่เล็ก)
- ปลื้มใจที่ได้ทอดกฐิน สร้างมหากาลทานแห่งปี
- อานิสงส์ของการให้ในยามคับขัน
- Change the Mind...Change the World
- เชื่อมสัมพันธ์พุทธไทย-เมียนมา พิธีเปิดอาคารเรียนพระปริยัติ พระครูบาไชยบูลย์ ธมฺมชโย
- พิธีมุทิตาสักการะครั้งประวัติศาสตร์
- สิ่งใดที่คุ้ม.. สิ่งนั้นจึงควร..
- ข่าวสารเครือข่ายคณะศิษย์
- หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๕๓)
- ลอยกระทง ตรงสู่ธรรม ฉลองชัยชิตัง เม ๑,๘๑๑,๑๑๑,๑๑๑ จบ
- ทำงานอย่างไรจึงจะมีกำลังใจ ไม่ท้อแท้ ไม่ท้อถอย ?
- ย้อนอดีต...ท่องประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา (ตอนที่ ๒๔)
- ความก้าวหน้าที่แท้จริง
คลิกที่รูป หรือ สแกน QR-CODE เพื่ออ่านบทความนี้
ทำงานอย่างไรจึงจะมีกำลังใจ ไม่ท้อแท้ ไม่ท้อถอย ?
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
19:36
Rating:
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุครับ
ตอบลบอนุโมทนาบุญกับบทความดีๆที่ให้ข้อคิดด้วยครับ
ตอบลบกราบอนุโมทนาสาธุๆๆเจ้าค่ะ
ตอบลบกราบอนุโมทนาสาธุเจ้าค่ะ
ตอบลบ