การตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่
"โลกพร่องอยู่เป็นนิจไม่รู้จักอิ่ม
มีความอยากไม่มีที่สิ้นสุด สัตว์โลกเมื่อถูกความแก่ทำลาย
ก็ต้องตกตายไปเหมือนผลไม้ร่วงหลุดจากขั้ว อาตมภาพรู้เหตุนี้แล้วจึงออกบวช
เพราะชีวิตสมณะ เป็นชีวิตที่ประเสริฐอย่างแท้จริง" (เถรคาถา)
การตัดสินใจออกบวชนั้น
ไม่ใช่เป็นเพียงความคิดดีชั่ววูบ แต่ต้องเกิดจากการที่บุคคลนั้นได้สั่งสมบุญและอธิษฐานจิตมาดีข้ามชาติ
ต้องมีปัญญา ความคิดที่เป็นมหากุศลนี้จึงได้ผุดขึ้น ในท่ามกลางชีวิตที่เจอแต่วิกฤต
มีหลายคนที่อะไร ๆ ก็ไม่ค่อยจะพร้อม แต่หัวใจกลับพร้อมที่จะออกบวช และ ถึงแม้บางคนจะมีชีวิตทางโลกที่พรั่งพร้อมทุกอย่าง
หากตัดสินใจบวช
ก็นับเป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่กว่าการปรารถนาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ถือว่าดำเนิน ตามรอยบาทพระศาสดาเมื่อครั้งที่พระองค์ยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
พอตัดสินพระทัยออกผนวชเท่านั้น ก็มีพญามารเอาสมบัติพระเจ้าจักรพรรดิมาล่อ
เพื่อให้เลิกล้มการออกบวช แต่พระองค์ปฏิเสธ
เพราะสมบัติเหล่านี้ไม่อาจทำให้หลุดพ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร
ดังนั้น
ผู้ที่ตัดสินใจออกบวชจึงเป็นบุคคลมหัศจรรย์ของโลก
เพราะเป็นบุคคลที่จะไม่ยอมให้กิเลสมาบังคับให้ทำบาปอกุศล แต่จะพยายามยกตนขึ้นสู่หนทางสวรรค์
นิพพาน ท่ามกลางชาวโลกที่ปล่อยใจตามกระแสกิเลส แต่ท่านเหล่านี้จะสวนกิเลส
เหมือนพายเรือทวนกระแสน้ำ ด้วยการมาฝึกตน ทนหิว บำเพ็ญตบะ
เอาชนะกิเลสที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจ
มุ่งธำรงตนเป็นเนื้อนาบุญและสืบอายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาว
ในสมัยพุทธกาล
กุลบุตรผู้มีบุญชื่อรัฐปาละได้โอกาสไปฟังธรรมกับเพื่อนแล้วเกิดศรัทธาอยากบวชจึงทูลขอบวชขณะนั้นเลย
แต่พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธเพราะยังไม่ได้รับอนุญาตจากบิดามารดา เขาจึงกลับบ้านไปขออนุญาตบวช
ก็ถูกพ่อแม่ปฏิเสธอีก "ลูกรัก...เจ้ายังหนุ่มแน่น ควรหาความสุขใส่ตัวดีกว่า
แม้ครองเรือนอยู่จะทำบุญไปด้วยก็ยังได้ พ่อแม่ให้ลูกบวชไม่ได้หรอก"
แต่เขามิยอมล้มเลิกความตั้งใจ จึงเอาแต่นอนอยู่บนเตียง อดข้าว อดน้ำ เพื่อน ๆ
ได้มาเกลี้ยกล่อมพ่อของเขาว่า "ถ้าเขาไม่ได้บวช เขาอาจตายฟรี
แต่ถ้าท่านให้เขาบวช ก็จะมีโอกาสได้เห็นเขาบ้าง การบวชนี้มันลำบาก การอยู่ การกิน
การนอนไม่สะดวก รัฐปาละเป็นสุขุมาลชาติ ถ้าเขาทนไม่ได้เดี๋ยวก็สึกออกมาเอง"
ท่านทั้งสองอยากให้ลูกมีชีวิตอยู่ต่อไปจึงยอมอนุญาต
รัฐปาละพอทราบ ก็ดีใจมาก ลุกขึ้นกราบเท้าขอขมาและลาบวชทันที
จากนั้นก็ปลีกวิเวกตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรม ในไม่ช้า ก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
ต่อมาพระรัฐปาละได้เดินทางกลับมาที่บ้าน
ขณะนั้นบิดาเห็นท่านเดินมาแต่ไกล แต่ก็จำหน้าไม่ได้
เพราะไม่อยากมองหน้าพระเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เนื่องจากผูกใจเจ็บในเหล่าสมณะ
ที่ทำให้ท่านต้องเสียลูกชายสุดที่รักไป จึงพูดขับไล่ว่า "สมณะพวกนี้ บวชให้ลูกของเรา
เราก็ไม่เคยได้เห็นเขาเลยแม้สักครั้งเดียว แถมยังกล้ามาบ้านนี้อีกหรือ" พระเถระจำต้องเดินออกไปก่อนโดยไม่ได้บอกว่าตนคือลูกชาย
ขณะนั้นมีสาวใช้คนหนึ่งกำลังจะเอาขนมแป้งบูดเน่าไปทิ้ง พระเถระจึงพูดขึ้นว่า "ถ้าจำเป็นต้องทิ้ง
ขอให้ใส่ลงในบาตรของอาตมาเถิด" นางจำน้ำเสียง
พระเถระได้จึงรีบวิ่งเข้าไปบอกคนในบ้าน เศรษฐีพอรู้ว่าผู้ที่ตนขับไล่เป็นพระลูกชายก็รีบออกมาเชื้อเชิญเข้าบ้าน
เมื่อได้รับคำเชิญแล้ว พระเถระจึงเดินเข้าไปในบ้าน แต่ท่านก็ทำตนเป็นผู้ใหม่เสมอ
ไม่มีฆราวาสสัญญาว่าเคยเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านหลังนี้มาก่อนเลย มีความสำรวม สงบ
เสงี่ยม สง่างามน่าเลื่อมใสอยู่เสมอ
วันต่อมา
เศรษฐีอยากให้พระลูกชายสึกมาก จึงสั่งให้คนใช้ขนกองเงิน กองทอง สูงท่วมศีรษะ
มากองไว้ต่อหน้า แล้วบอกว่า "ทรัพย์กองนี้เป็นส่วนของแม่
กองนี้เป็นส่วนของพ่อ ท่านจงสึกมาใช้สอย สมบัตินี้ให้เต็มที่เถิด" แต่ท่านก็ตอบแบบไม่มีเยื่อใยกลับไปว่า "ถ้าเป็นไปได้
ท่านควรเอาทิ้งลงแม่น้ำ เพราะทรัพย์เหล่านี้ล้วนแต่จะทำให้ทุกข์กังวล" คำพูดนี้ทำให้เศรษฐีอึ้ง แต่ก็หาอุบายใหม่
โดยไปเรียกบรรดาอดีตภรรยาของท่านให้มาล้อมเอาไว้ พวกนางพากันถามท่านว่า "ที่ท่านออกบวชเพราะอยากได้นางฟ้าหรือ"
พระเถระได้บอกโยมบิดาว่า
"ท่านอย่าเอาทรัพย์มาล่อหรือส่งสตรีมาเบียดเบียนอาตมาเลย
ร่างกายที่ดูเหมือนสวยงามนั้นล้วนไม่จีรังยั่งยืน หญิงพวกนี้ทาหน้าประแป้ง
มีนัยน์ตาหยาดเยิ้ม พอจะหลอกผู้ไม่รู้ให้ลุ่มหลงได้ แต่จะหลอกผู้แสวงหาฝั่งพระนิพพานไม่ได้
ตอนนี้ท่านก็เหมือนนายพรานดักบ่วงไว้ แต่ไม่มีมฤคตัวใดติดบ่วงเลย" เมื่อท่านกล่าวจบก็เหาะออกไปต่อหน้าทันที
เนื่องจากรู้วาระจิตของเศรษฐีว่าได้สั่งให้พวกนักเลงเตรียมจับท่านสึก
ท่านจึงใช้ฤทธิ์เหาะไปที่ราชอุทยานของพระเจ้าโกรัพยะ พระราชาแห่งแคว้นกุรุ
ซึ่งทั้งสองได้เคยรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน
พระราชาเมื่อทรงทราบว่าพระเถระมาเยี่ยม
จึงเสด็จไปตรัสถามถึงข้อสงสัยที่ว่าทำไมคนที่ถึงพร้อมเช่นท่านจึงออกบวช
ซึ่งคนส่วนมากมักจะออกบวชด้วยเหตุผล ๔ ประการ คือ
๑. ต้องแก่ชราก่อนถึงจะบวช
๒. ต้องเจ็บป่วยก่อนถึงจะบวช
๓. ต้องสิ้นโภคทรัพย์ก่อนถึงจะบวช
๔. ต้องถูกญาติมิตรทอดทิ้งก่อนถึงจะบวช
พระเถระได้แสดงธรรมซึ่งมีนัยลึกซึ้งให้ฟังว่า
"อาตมามองเห็นทุกข์ในโลกแล้วจึงออกบวชทันที เนื่องจากอาตมาได้ฟังธัมมุทเทส ๔
ประการจากพระบรมศาสดา คือ
๑. โลกนี้ถูกชราครอบงำ
ในที่สุดแล้วทุกคนต้องแก่ชราลง
๒. โลกนี้ไม่มีผู้ต้านทาน
ไม่เป็นใหญ่ในตัวเอง ไม่มีใครหยุดโรคภัยหรือเจ็บป่วยแทนกันได้
๓. โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของตน
อำนาจ ทรัพย์สมบัติใด ๆ ล้วนต้องสละทิ้งคืนไว้ในโลกตามเดิม
๔. โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจไม่รู้จักอิ่ม
มนุษย์ตกเป็นทาสตัณหา ไม่เคยสิ้นสุดความทะยานอยาก
จากนั้นพระราชาจึงตรัสขอให้ท่านอธิบายธรรมทั้ง
๔ หัวข้อนั้น ดังต่อไปนี้
๑. พระราชา "ท่านผู้เจริญ
ที่กล่าวว่าโลกนี้ถูกชราครอบงำเป็นอย่างไร"
พระเถระ "เมื่อพระองค์ยังหนุ่มทรงชำนาญเพลงอาวุธเป็นอย่างดี
ทั้งทรงมีพละกำลังมาก แต่เมื่อล่วงเข้าวัยปูนนี้แล้ว
ยังจะทรงทำอย่างนั้นได้อีกหรือไม่"
พระราชา "เดี๋ยวนี้โยมแก่แล้ว ล่วงเข้าวัย ๘๐ ปี
แม้สั่งร่างกายให้ทำตามก็ไม่ได้ดั่งใจเลย"
พระเถระ "นั่นแหละ
เพราะว่าโลกใบนี้ล้วนมีแต่ความเสื่อมชรา หามีสิ่งใดยั่งยืนเลยไม่"
๒. พระราชา "ท่านผู้เจริญ
ที่กล่าวว่าโลกนี้ไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่ในตัวเองนั้นเป็นอย่างไร"
พระเถระ "ครั้งที่พระองค์เคยทรงพระประชวรหนัก
ทรงขอร้องพระญาติหรือบริวารมาช่วยกันหยุดต้านโรคหรือแบ่งเบาความเจ็บก็ไม่ได้
พระองค์เท่านั้นที่ต้องรับความเจ็บทุกขเวทนาแต่เพียงผู้เดียว"
๓. พระราชา "ท่านผู้เจริญ
ที่กล่าวว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของตนนั้นเป็นอย่างไร"
พระเถระ "พระองค์ทรงถึงพร้อมไปด้วยโภคสมบัติ
แต่จะทรงแน่ใจได้หรือว่า แม้โลกหน้าเราจะพรั่งพร้อมได้เหมือนอย่างนี้
เมื่อถึงเวลาพระองค์ก็จะเสด็จไปตามยถากรรม ไม่อาจนำสิ่งใด ติดตัวไปได้เลย"
๔. พระราชา "ท่านผู้เจริญ
ที่กล่าวว่าโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่มนั้นเป็นอย่างไร"
พระเถระ "หากพระองค์ได้ทราบข่าวว่ามีเมือง
ๆ หนึ่งซึ่งมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย
พระองค์จะทรงคิดเห็นอย่างไร"
พระราชา "โยมก็จะไปตีเอาเมืองนั้นมาครอบครองให้ได้"
พระเถระ "นี่แหละ
อาตมาถึงพูดว่าโลกพร่องอยู่เป็นนิจไม่รู้จักอิ่ม เพราะความอยากได้ อยากมี อยากเป็น
ไม่มีที่สิ้นสุด
สัตว์โลกเมื่อถูกความแก่ทำลายก็ต้องตกตายไปเหมือนผลไม้ร่วงหลุดจากขั้ว
อาตมภาพรู้เหตุนี้แล้วจึงออกบวช เพราะชีวิตสมณะเป็นชีวิตที่ประเสริฐอย่างแท้จริง"
คำตอบของพระเถระทำให้พระเจ้าโกรัพยะทรงเลื่อมใสประจักษ์แจ้งว่า
สมณะ คือ ผู้ที่เห็นทุกข์ภัยของการเกิด
ท่านได้สร้างทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเชื่อในการบวชให้ชาวโลกได้รับรู้ว่า
ผู้ที่ออกบวชนั้นล้วนเป็นผู้มีความคิดที่ยิ่งใหญ่
มิได้เสื่อมในทางโลกดังที่ผู้ไม่รู้เข้าใจกัน
ในช่วงนี้เป็นจังหวะพอดีที่เรานักสร้างบารมีจะมาช่วยกันทำให้วิกฤตของพระพุทธศาสนา
ซึ่งมีผู้บวชน้อยลงทุกปี กลายมาเป็นโอกาส
ด้วยการปลูกฝังให้ชาวโลกเห็นคุณค่าของชีวิตสมณะ และชักชวนให้เขามาบวชเพิ่มมากขึ้น
ให้ยุคนี้เป็นยุคที่จะช่วยกันสร้างทัศนคติที่ดีงามให้เกิดขึ้นมาใหม่
ให้พวกเขารู้ว่า สมณะ คือ
ผู้ตั้งใจแน่วแน่แสวงหาทางพ้นทุกข์และเป็นที่พึ่งให้แก่ชาวโลก
ซึ่งพระรัฐปาละท่านได้พิสูจน์ให้เห็นชัดว่าชีวิตสมณะสูงส่งเพียงใด
เพราะพระภิกษุหรือสามเณรแม้บวชเพียงวันเดียว ก็ต้องมีหน้าที่ติดตัว
คือเรียนรู้คำสอน ไม่ว่างเว้นจากการพัฒนาตน มิได้เป็นชีวิตที่ข้องแวะกับการงานอันวุ่นวาย
เพราะนักบวชมีงานหลักเน้นหนักไปในงานที่ไม่วุ่นวาย นั่นก็คือ
งานทางใจ...บำเพ็ญไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นที่พึ่งทางใจให้กับชาวโลก
ดังนั้น โครงการอุปสมบทหมู่เข้าพรรษา
๑๐๐,๐๐๐ รูป ทุกหมู่บ้านทั่วไทยที่จะถึงนี้
เป็นจังหวะชีวิตที่ลงตัวอย่างยิ่ง ในการมาพิสูจน์ชีวิตสมณะ
เพื่อคุณค่าอานิสงส์ติดตัว ..คุ้มเกินคุ้มกับการเกิดมาเป็นลูกผู้ชาย
ฉะนั้นอย่าให้โอกาสดี ๆ อย่างนี้ล่วงเลยตนเองไป ..ใครบวชได้ให้มา บวช
..ใครไม่มีคุณสมบัติในการบวชให้ช่วยกันไปตามผู้ชายแมน ๆ มาเป็นหนึ่งในแสนบวช
เข้าพรรษาให้ได้ ความรุ่งโรจน์ของพระพุทธศาสนา
อยู่ในความรับผิดชอบของทุกท่านแล้ว..
Cr. เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ.๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ. ๙
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๙๓
เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
การตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
01:05
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: