มิตรแท้ในปรโลก
ท่อธารแห่งบุญย่อมหลั่งไหลสู่นรชนผู้ให้ข้าว น้ำ เครื่องนุ่งห่ม ที่นอน ที่นั่ง ฉันนั้น
ในสมัยพุทธกาล มีพระเถระ ๓ รูป จำพรรษาในอาวาสแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากพระวิหารเวฬุวัน เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้ชักชวนกันไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ขณะที่พระเถระทั้ง ๓ รูป เดินทางผ่านไร่อ้อย คนเฝ้าไร่ผู้มีจิตใจงดงามเห็นพระภิกษุเดินทางผ่านมาก็ดีใจ รีบออกไปต้อนรับ ครั้นทราบว่าพระเถระกำลังเดินทางเพื่อจะไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความห่วงใย และอยากได้บุญ จึงกราบเรียนท่านว่า "กรุงราชคฤห์ อยู่ห่างจากที่นี่มาก ถ้าเดินทางด้วยเท้าก็ต้องใช้เวลาเดินทางอีกพอสมควร ที่พักระหว่างทางก็หายาก ขอนิมนต์พระคุณเจ้าพักที่ไร่แห่งนี้สักคืนหนึ่งเถิด โยมจะขอรับบุญอุปัฏฐากพวกท่านเอง พรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อเถิดพระคุณเจ้า"
พระเถระทั้ง ๓ รูป จึงรับนิมนต์ เพราะเห็นว่าคนเฝ้าไร่แม้จะยากจน แต่ก็ไม่แล้งน้ำใจ คนเฝ้าไร่ดีใจมากที่พระเถระทั้ง ๓ รูป เมตตาอยู่เป็นเนื้อนาบุญ จึงรีบไปเอาน้ำอ้อยมาถวาย จากนั้นจึงนิมนต์ท่านเข้าไปจำวัดในที่พัก
พอรุ่งเช้า คนเฝ้าไร่รีบตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อถวายภัตตาหาร เมื่อพระเถระฉันเสร็จแล้ว ก็แนะนำให้เขาหมั่นนึกถึงบุญบ่อย ๆ และให้ใจอยู่ในบุญจะได้ช่วยหนุนนำให้พ้นจากความยากลำบาก เพราะสิ่งที่เขาทำถือว่าเป็นกาลทาน คือ ได้ถวายการต้อนรับภิกษุที่มาจากทิศทั้งสี่ และการถวายทานแด่ภิกษุผู้เตรียมจะไปนั้น ได้ชื่อว่าปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสเอาไว้ว่า
"ผู้มีปัญญา รู้ความประสงค์ของผู้มาเยือน ปราศจากความตระหนี่ ย่อมให้ทานในกาลที่ควรให้ ผู้ให้ทานตามกาลในพระผู้ปฏิบัติตรง ผู้มีใจผ่องใส ทานย่อมมีผลไพบูลย์ จะส่งผลใหญ่นับประมาณมิได้ เพราะฉะนั้น ผู้ปรารถนาบุญควรให้ทานในบุญเขตที่มีผลมาก บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก"
คนเฝ้าไร่ฟังสัมโมทนียกถาจากพระเถระแล้ว ก็เกิดมหาปีติในบุญที่ได้ต้อนรับพระอาคันตุกะ เขาได้ถวายอ้อยแด่พระเถระทั้ง ๓ รูป ที่กำลังจะออกเดินทาง ซึ่งอ้อยที่เขาถวายไปนั้นเป็นอ้อยของเขาเอง เขาได้เดินไปส่งพระเถระ แล้วกลับมาเฝ้าไร่อ้อยด้วยความปลื้มปีติในบุญ
ขณะเดียวกัน พราหมณ์ผู้เป็นมิจฉาทิฐิซึ่งเป็นเจ้าของไร่อ้อย กำลังเดินทางไปไร่ ได้เห็นอ้อยในมือของพระเถระทั้ง ๓ รูป ที่เดินสวนทางมา จึงถามว่า "พวกท่านได้อ้อยมาจากไหน" เมื่อรู้ว่าคนเฝ้าไร่เป็นผู้ถวายมาก็โกรธมาก เพราะพราหมณ์คิดว่าคนเฝ้าไร่ขโมยอ้อยในไร่ไปถวายพระเถระ จึงรีบเดินไปที่ไร่อ้อย พอไปถึงก็ไม่ได้ซักถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น คว้าท่อนไม้ได้ก็เดินไปทางด้านหลังของคนเฝ้าไร่ แล้วฟาดท่อนไม้ลงบนศีรษะเขาอย่างแรง ทำให้คนเฝ้าไร่เสียชีวิตทันที ในขณะที่เขากำลังนั่งระลึกนึกถึงบุญอยู่ แม้ตายแล้วก็มีสติรู้ว่าตัวเองตาย ไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นเจ้าของไร่เลย ในใจนึกถึงแต่บุญเพียงอย่างเดียว ทำให้เขาไปบังเกิดในสุธรรมาเทวสภา มีช้างพลายทิพย์เป็นยานพาหนะ ซึ่งบังเกิดขึ้นด้วยบุญญานุภาพของเขา
ฝ่ายพ่อแม่และหมู่ญาติของคนเฝ้าไร่ ได้ข่าวการตายของเขาก็เสียใจ ร้องไห้ฟูมฟายด้วยความสงสาร เย็นวันนั้น เพื่อนบ้านได้พากันไปมุงดูศพ แล้วช่วยกันหามไปทำฌาปนกิจในป่าช้า ขณะนั้นเทพบุตรใหม่ได้ขี่ช้างทิพย์แวดล้อมด้วยเทพผู้ชำนาญในการบรรเลงดนตรีลงมาจากเทวโลกพร้อมด้วยบริวารจำนวนมากด้วยเทพฤทธิ์ยิ่งใหญ่ ปรากฏกายในอากาศให้ประชุมชนนั้นเห็นเป็นบุญตา
ชาวบ้านเห็นแล้วก็ตื่นเต้นดีใจ ต่างชี้ชวนกันดูช้างตัวใหญ่ที่มีเทพบุตรนั่งอยู่ด้านบน ฟังทิพยบรรเลงที่ไพเราะจนลืมความโศกไปทันที ชาวบ้านพากันถามเทพบุตรว่า "ท่านเป็นใคร เป็นเทวดาหรือคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะ จึงได้มีช้างเผือกเป็นยานทิพย์ มีดนตรีประโคมกึกก้องฉลองกันอยู่ในอากาศ"
เทพบุตรได้ตอบกลับไปว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกะ ข้าพเจ้าเป็นเทพองค์หนึ่ง ในบรรดาเหล่าเทพที่ชื่อสุธรรมา" พวกเทพสุธรรมา ก็คือเทพบุตรผู้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลสุธรรมาเทวสภาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั่นเอง
เทพบุตรได้บอกบิดามารดาและหมู่ญาติว่าตัวเองก็คืออดีตคนเฝ้าไร่อ้อย แม้จะถูกตีตาย แต่ก็ไม่ตายจากความดีที่ได้ทำบุญไว้กับพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า จากนั้นจึงเล่าบุพกรรมที่ได้ทำก่อนตายให้ทุกคนได้อนุโมทนาบุญ แล้วประกาศคุณของพระรัตนตรัยให้เห็นประจักษ์ และชักชวนให้ทุกคนได้ทำบุญกับภิกษุสงฆ์ เพราะเป็นเนื้อนาบุญอันเลิศของโลก
เมื่อชาวบ้านได้ฟังคำของเทพบุตรแล้ว ก็เกิดความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย จึงไปถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์ โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข และได้กราบทูลเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ทรงทราบ พระบรมศาสดาจึงทรงแสดงธรรมให้มหาชนตั้งอยู่ในศีล เมื่อกลับไปชาวบ้านก็ได้ช่วยกันสร้างวิหารบริเวณที่คนเฝ้าไร่ถูกฆ่าตาย เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับเขา บุญนั้นได้หนุนส่งให้เทพบุตรมีวิมานสว่างไสวยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนชาวบ้านเมื่อสั่งสมบุญอยู่เป็นนิตย์ ละโลกแล้วก็มีสุคติเป็นที่ไปกันถ้วนหน้า
ท่านสาธุชนทั้งหลาย ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ที่น่ากลัวคือตอนยังมีชีวิตแต่ไม่คิดทำความดีต่างหาก ในทางตรงกันข้ามถ้าเราหมั่นสั่งสมบุญไว้ดีแล้ว แม้ต้องตายจากโลกใบนี้ไป แต่จะมีชีวิตใหม่ที่สดใสกว่าเดิม บุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลายในปรโลก เวลาเราตายก็ไม่สามารถนำอะไรติดตัวไปได้เลย มีเพียงบุญเท่านั้นที่จะหนุนนำให้เราเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าทวยเทพ
ขณะเดียวกัน ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นในชีวิต มักเกิดจากความผิดพลาดในอดีต ซึ่งเป็นวิบากที่คอยติดตามเราเหมือนเงาตามตัว ถ้ากำลังบุญเราหย่อน กำลังบาปก็ได้ช่องส่งผล เราจึงประสบกับอุปสรรคในการดำเนินชีวิต ผู้ที่มีกำลังใจสูงเมื่อประสบกับปัญหาก็จะไม่ตีโพยตีพาย ไม่โทษว่าบุญไม่ช่วย และจะไม่โทษใครทั้งนั้น แต่จะมีสติใช้ปัญญาหาวิธีแก้ไข ด้วยใจที่สงบ หาทางเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสและจะเร่งสั่งสมบุญให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อเอาบุญไปสู้กับบาป
บุญจะช่วยตัดรอนวิบากกรรม จากหนักเป็นเบา เบาเป็นหาย แม้ตายก็ไปดี
จากที่เคยยากจน ก็จะก้าวข้ามไปสู่ความเป็นคนจนยาก จากไม่มีอันจะกิน ก็จะมีเหลือกินเหลือใช้
อีกประการหนึ่ง ชีวิตคนเรานั้นจะถูกชิงช่วงระหว่างความเป็นและความตาย ระหว่างบุญและบาปเสมอ เพราะฉะนั้น เมื่อโอกาสแห่งการสั่งสมบุญมาถึงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุญเล็กบุญใหญ่ หรือบุญอะไรก็ตาม อย่าได้ลังเลใจ อย่ามัวมีข้อแม้ข้ออ้างและเงื่อนไข ให้รีบใช้สิทธิ์นั้น ก่อนที่จะหมดสิทธิ์ อย่าได้กลัวบุญกันเลย เพราะบุญเป็นชื่อของความสุข
"ความสุขในโลกนี้และโลกหน้าย่อมเกิดกับผู้ทำบุญไว้ ผู้ปรารถนาเป็นสหายแห่งเทพ พึงทำบุญกุศลไว้ให้มาก เพราะผู้ทำบุญเป็นนิตย์ย่อมบันเทิงใจอยู่ในสวรรค์"
เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ. ๙
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๘๔ ประจำเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
มิตรแท้ในปรโลก
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
22:55
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: