ทำไมเวลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ผู้ฟังจึงสามารถบรรลุธรรมได้ ทั้งที่ไม่ได้นั่งหลับตาทำสมาธิ


ถาม : หลวงพ่อเจ้าคะ ลูกสงสัยว่า ทำไมเวลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ผู้ฟังจึงสามารถบรรลุธรรมได้ ทั้งที่นั่งฟังเทศน์ ไม่ได้นั่งหลับตาทำสมาธิเจ้าค่ะ ?

ตอบ : เรื่องการนั่งสมาธิอย่างชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันนั้น ก็มีความจำเป็นไม่น้อย แต่ว่าในสมัยพุทธกาลผู้ที่เกิดในยุคนั้น เขาเกิดในยุคที่มีการฝึกสมาธิเป็นเรื่องปกติธรรมดา เขาฝึกกันจนกระทั่งเกิดความชำนาญ

เมื่อฝึกจนกระทั่งชำนาญ เวลามาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เลยทำให้ฟังเทศน์แล้วเข้าใจได้ง่ายขึ้น เพราะใจของเขาหยุดนิ่งมาก่อนนั่นเอง

เพราะฉะนั้น โดยภาพรวม ๆ แล้ว ไม่ว่าการศึกษาทางธรรม หรือการศึกษาทางทางโลกก็ตาม ผู้ที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ สำเร็จสมความมุ่งหมายกันจริง ๆ ต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย ๔ ประการด้วยกัน คือ

๑. มีครูดี คือ ต้องได้ครู หรือได้พระอาจารย์ดี ที่เป็นต้นแบบได้จริง ๆ มาเป็นหลักไว้ก่อน
๒. มีหลักวิชาดี คือ หลักวิชาที่นำมาสอนนั้น เป็นหลักวิชาที่ถูกต้อง และลึกซึ้งจริง ๆ
๓. มีวิธีการสอนที่ดี ถึงแม้จะมีครูดี มีหลักวิชาดี แต่ถ้าวิธีการสอนไม่ดี ก็ไปไม่รอดเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ จึงต้องมีความเชี่ยวชาญในการสอนอย่างดีด้วย
๔. มีลูกศิษย์ดี ลูกศิษย์ก็ต้องมีสติปัญญา พร้อมจะรับฟังคำสอน ไม่ใช่ลูกศิษย์ประเภทปัญญาอ่อน หรือลูกศิษย์ที่ขี้เกียจ อย่างนี้ไปได้ไม่ถึงไหนหรอก

เมื่อนำองค์ประกอบทั้ง ๔ ประการนี้ มาเปรียบเทียบกับการบรรลุธรรมของคนในสมัยพุทธกาล จะพบว่า

ประการที่ ๑ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นบรมครู เป็นศาสดาเอกของโลก เป็นผู้เดียวที่ตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง ไม่ได้ไปลอกใครมา ทรงรู้จริง ทำได้จริง นี่คือคุณสมบัติของบรมครูของเรา

ประการที่ ๒ ธรรมะ หรือหลักวิชาที่พระองค์ทรงค้นพบนั้น ไม่ใช่ค้นพบได้ง่ายๆ พวกเราคงจำกันได้ว่าแต่เดิมพระองค์ก็ประทับอยู่ในวัง พอถึงเวลาจะค้นคว้าหาธรรมะ ทรงยอมสละบ้านเมือง สละบัลลังก์ สละทุกสิ่ง ทุกอย่าง

พระองค์ทรงเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการเข้าถึงธรรมะ แล้วนำธรรมะนั้นมาสอนพวกเรา

ประการที่ ๓ วิธีการสอนของพระพุทธองค์นั้น ทรงเป็นเลิศกว่าใคร ๆ ถ้าเราศึกษาพุทธประวัติ มาอย่างดีจะพบว่า ความจริงเมื่อ ๔ อสงไขยกับแสนกัปก่อนนั้น ถ้าพระองค์ปรารถนาเพียงแค่จะหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ ก็คงทำได้ไม่ยากนัก

แต่ว่าตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งถึงวันตรัสรู้ พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาถึง ๔ อสงไขยกับแสนกัป ในการฝึกวิชาครู เพื่อที่จะถ่ายทอดความรู้ให้กับลูกศิษย์ลูกหา

เมื่อทรงฝึกวิชาครูมาขนาดนี้ เพราะฉะนั้น หลังจากตรัสรู้แล้ว เวลาสอนธรรมะใคร คำพูดจะเกินสักคำก็ไม่มี จะขาดสักคำหนึ่งก็ไม่มี พอเหมาะพอดีไปหมด นี้คือความเป็นเลิศ ความเป็นอัจฉริยะในการสอนธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา

ประการที่ ๔ ลูกศิษย์ที่มาเรียนธรรมะกับพระพุทธองค์ในสมัยพุทธกาล ไปค้นประวัติดูเถอะ ลูกเอ๊ย แล้วจะพบว่า ท่านเหล่านั้น ก็ได้ฝึกตัว เตรียมตัวกันมาตลอดชีวิตเหมือนกัน

ยกตัวอย่าง พระอัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งมีอายุมากกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเสียอีก ในวันที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ พระโกณฑัญญะท่านนี้แหละ ที่เป็นโหรประจำราชวงศ์ และยังเป็นผู้พยากรณ์ว่า พระราชโอรสพระองค์นี้ ต่อไปภายภาคหน้าไม่ครองราชสมบัติหรอก พระองค์จะเสด็จออกบวช แล้วบรรลุธรรมเป็นศาสดาเอกของโลก มาช่วยโปรดสัตว์โลกให้พ้นทุกข์

พยากรณ์เสร็จ ท่านโกณฑัญญะก็ตั้งใจรักษาศีล ตั้งใจฝึกสมาธิ ปฏิบัติธรรมของท่านเรื่อยมา เมื่อทราบว่าเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวช ท่านก็ออกบวชบ้าง และต่อมาได้ตามไปอุปัฏฐากรับใช้อยู่ถึง ๖ ปี

เมื่อเตรียมตัวมาดีอย่างนี้ พอได้ฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเทศน์เพียงครั้งเดียว ท่านก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันทันที

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะนั่งหลับตา หรือจะนั่งลืมตาก็ตาม ถ้าฝึกตัวมาดีล่ะก็ สามารถเข้าถึงธรรมได้โดยง่ายทั้งนั้นแหละ

หรืออย่างพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ก่อนที่จะมาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านสำเร็จการศึกษามาถึง ๑๘ ปริญญา

พระอรหันต์แต่ละท่านในยุคต้นพุทธกาล ท่านเตรียมตัวของท่านมาดี ไปค้นประวัติดูเถอะ แต่ละท่านสำเร็จการศึกษาดี ๆ กันทั้งนั้น

พระอรหันต์บางรูป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเทศน์ข้างถนนแท้ ๆ ตรัสสั้น ๆ เพียง ๒-๓ คำ ท่านก็บรรลุธรรม แต่นั่นแหละ กว่าจะมาถึงขนาดนี้ได้ ท่านฝึกตัวเองมาตลอดชีวิต ฝึกมาในระดับเอาชีวิตเป็นเดิมพันกันทีเดียว

ก่อนหน้านั้น ที่ท่านเหล่านี้ยังไม่สามารถบรรลุธรรมได้ก็เพราะว่าท่านปฏิบัติมรรคไม่ครบองค์ ๘ คือ
๑. มีความเข้าใจถูกในเรื่องบุญ เรื่องบาป ยังไม่พอ
๒. มีความเข้าใจถูกในเรื่องวิธีวางใจให้พอเหมาะพอสม ยังไม่พอ

เพราะฉะนั้น พอมาได้ฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสย่อ ๆ สั้น ๆ ว่าเรื่องบุญ เรื่องบาปเป็นอย่างนี้ การวางใจที่พอเหมาะพอสมเป็นอย่างนี้ก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กันข้างทางนั่นเอง

สำหรับพวกเราในยุคนี้ แม้สภาพสิ่งแวดล้อมจะไม่ค่อยดี ไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อการบรรลุธรรมนัก ก็อย่าเพิ่งท้อแท้ ให้ตั้งใจฝึกตัวเองเรื่อยไป

ถึงแม้ว่าฝึกแล้ว จะยังไม่ได้ผลดีเหมือนในยุคพุทธกาลก็ตาม แต่อย่างน้อยเราก็ได้เพาะนิสัยรักการฝึกสมาธิ เพาะนิสัยรักการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เป็นชีวิตจิตใจ ติดตัวของเราไปในภายภาคหน้า ซึ่งไม่ว่าจะชาตินี้ หรือชาติไหนก็ตาม เมื่อการอบรมบ่มนิสัยของเราดีพอ บารมีแก่กล้าพอ เมื่อไปพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเหล่าพระอรหันต์ในเบื้องหน้า เราก็สามารถจะบรรลุธรรมได้ง่าย ๆ เช่นเดียวกับพระอรหันต์ในยุคพุทธกาลเหมือนกัน เพราะว่าเราได้เดินตามรอยของท่านมานั่นเอง

เรื่อง : หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๕๙ ประจำเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐
ทำไมเวลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ผู้ฟังจึงสามารถบรรลุธรรมได้ ทั้งที่ไม่ได้นั่งหลับตาทำสมาธิ ทำไมเวลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ผู้ฟังจึงสามารถบรรลุธรรมได้ ทั้งที่ไม่ได้นั่งหลับตาทำสมาธิ Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 02:49 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.