ทางกลับดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ
เวลาบนโลกมนุษย์ของนักสร้างบารมีนั้น มีคุณค่าทุกอนุวินาที จึงไม่ควรประมาทในชีวิต ต้องมีสติเตือนตนเองอยู่เสมอ ว่าเราอาจตายเมื่อไรก็ได้ พึงเร่งขวนขวายในการสร้างบารมีในทุกรูปแบบ เมื่อพญามัจจุราชปรากฏขึ้น จะได้ไม่หวั่นไหว มีแต่ความมั่นใจว่าจะได้กลับไปเสวยทิพยสมบัตีในดุสิตบุรีอย่างแน่นอน เหมือนพระอินทร์ผู้เป็นจอมเทพในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อเห็นว่าอีกไม่นานจะต้องจุติ พระองค์ก็ไม่ประมาท หาทางแก้วิกฤตเป็นโอกาสทันที
พระอินทร์กลัวตกสวรรค์
ครั้งหนึ่ง ท้าวสักกเทวราชทรงเห็นบุพนิมิต ๕ ประการ
๑. ดอกไม้เหี่ยวแห้งไม่แย้มบานเหมือนแต่ก่อน
๒. ภูษาอาภรณ์อันเป็นทิพย์ก็ดูเศร้าหมอง
๓. เหงื่อไหลออกจากรักแร้
๔. ผิวพรรณเศร้าหมองลง รัศมีกายที่เคยสว่างไสวในตัวก็ลดลง
๕. ทิพยอาสน์ร้อน ทำให้ไม่ยินดีในเทวโลก
๒. ภูษาอาภรณ์อันเป็นทิพย์ก็ดูเศร้าหมอง
๓. เหงื่อไหลออกจากรักแร้
๔. ผิวพรรณเศร้าหมองลง รัศมีกายที่เคยสว่างไสวในตัวก็ลดลง
๕. ทิพยอาสน์ร้อน ทำให้ไม่ยินดีในเทวโลก
เมื่อทรงเห็นอย่างนั้นก็ทรงทราบว่า ใกล้จะหมดเวลาที่จะเสวยทิพยสมบัติเหล่านี้แล้ว เนื่องจากเทวดา ทั่วไป ผู้มีกำลังบุญไม่มาก ถึงคราวกำลังบุญใกล้จะหมดก็หวาดกลัว แต่ผู้ที่สั่งสมบุญไว้มาก จะไม่รู้สึกสะดุ้งหวาดกลัวเลย เพราะรู้ว่าจะได้ขึ้นไปเสวยบุญในเทวโลกชั้นสูง ๆ ขึ้นไปอีก
ส่วนท้าวสักกเทวราชเมื่อทรงเห็นบุพนิมิต ทรงมองดูสมบัติทั้งหมดในอาณาเขตปกครองของพระองค์ ตั้งแต่เทพนคร สูง ๑๐,๐๐ โยชน์ เวชยันตปราสาท สูง ๑,๐๐๐ โยชน์ สุธรรมาเทวสภา ๓๐๐ โยชน์ ต้นปาริฉัตรสูง ๑๐๐ โยชน์ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ๑๖ โยชน์ เทพอัปสร ๒๕ โกฏิ เทพบริษัทในเทวโลก สวนจิตรลดา และทิพยสถานต่าง ๆ ทรงถูกความกลัวครอบงำ แล้วทรงตรวจดูว่า มีใครบ้างไหม ไม่ว่าจะเป็นสมณพราหมณ์หรือมหาพรหมที่จะสามารถทำให้พระองค์เสวยมหาทิพยสมบัติเหล่านี้อีกต่อไปได้
Cr. พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺสารี ป.ธ. ๙
เมื่อทรงตรวจดูทั่วทั้งเทวโลกและมนุษยโลก ก็ไม่เห็นใครจะช่วยได้ ยกเว้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงชักชวนเหล่าเทพบุตรเทพธิดาลงไปมนุษยโลกทันที สมัยนั้นพระบรมศาสดาทรงประทับอยู่ที่ถ้ำอินทสาล ได้ทรงสนทนากับท้าวสักกะว่า "มหาบพิตร ตามปกติพระองค์เป็นผู้มีกิจมาก เพราะเหตุไรจึงเสด็จมาโลกมนุษย์"
ท้าวสักกะทูลว่า "ข้าพระองค์หลีกไปเสียนาน ตั้งใจจะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ แต่ข้าพระองค์มัวประมาทยุ่งด้วยกรณียกิจบางอย่างของหมู่เทพชั้นดาวดึงส์ จึงไม่อาจจะมาเข้าเฝ้าได้ ข้าพระองค์ยังมีความสงสัยเคลือบแคลงในธรรมอีกมากมาย จึงหวังคำตอบจากพระองค์ในการที่จะช่วยถอนลูกศรคือความโศกในหทัยของข้าพระองค์
จากนั้นท้าวสักกะได้ทูลถามปัญหาที่ค้างคาใจมานาน คำตอบของพระบรมศาสดาแต่ละข้อสามารถแก้ไข ข้อข้องใจของท้าวสักกะได้หมด จนเป็นเหตุให้ท้าวสักกะมีดวงตาเห็นธรรม ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ด้วยบุญที่เกิดจากการบรรลุธรรม ทำให้พระองค์จุติต่อเบื้องพระพักตร์ของพระบรมศาสดา ทำให้พระองค์เป็นท้าวสักกะผู้มีรัศมีกายที่สว่างไสวรุ่งโรจน์กว่าเดิม และได้ครองเทพนครดังเดิม ซึ่งการจุติของพระองค์นั้นไม่มีใครทราบเลย มีเพียงท้าวสักกะและพระบรมศาสดาเท่านั้น
ท้าวสักกะทูลว่า "ข้าพระองค์หลีกไปเสียนาน ตั้งใจจะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ แต่ข้าพระองค์มัวประมาทยุ่งด้วยกรณียกิจบางอย่างของหมู่เทพชั้นดาวดึงส์ จึงไม่อาจจะมาเข้าเฝ้าได้ ข้าพระองค์ยังมีความสงสัยเคลือบแคลงในธรรมอีกมากมาย จึงหวังคำตอบจากพระองค์ในการที่จะช่วยถอนลูกศรคือความโศกในหทัยของข้าพระองค์
จากนั้นท้าวสักกะได้ทูลถามปัญหาที่ค้างคาใจมานาน คำตอบของพระบรมศาสดาแต่ละข้อสามารถแก้ไข ข้อข้องใจของท้าวสักกะได้หมด จนเป็นเหตุให้ท้าวสักกะมีดวงตาเห็นธรรม ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ด้วยบุญที่เกิดจากการบรรลุธรรม ทำให้พระองค์จุติต่อเบื้องพระพักตร์ของพระบรมศาสดา ทำให้พระองค์เป็นท้าวสักกะผู้มีรัศมีกายที่สว่างไสวรุ่งโรจน์กว่าเดิม และได้ครองเทพนครดังเดิม ซึ่งการจุติของพระองค์นั้นไม่มีใครทราบเลย มีเพียงท้าวสักกะและพระบรมศาสดาเท่านั้น
ท้าวสักกะได้ทรงเปล่งอุทานด้วยจิตที่เลื่อมใสถึง ๓ ครั้งว่า นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมา สมฺพุทฺธสฺส ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ จากนั้น ก็ทูลลากลับเทวโลกไปเสวยทิพยสมบัติดังเดิม ตั้งแต่นั้นมาท้าวสักกะก็ไม่ประมาทเหมือนแต่ก่อน จะหาโอกาสลงมาอุปัฏฐากบำรุงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และฟังธรรมเป็นประจำไม่เคยขาดเลย
หนทางกลับดุสิตบุรีของนักสร้างบารมี
จะเห็นได้ว่า การที่ท้าวสักกะทรงได้ครองความเป็นจอมเทพดังเดิม ก็เพราะอาศัยความไม่ประมาท และทรงฉลาดในการหาบุญกุศลเพิ่มเติมให้กับตนเอง ทำให้พิชิตความตายได้กลับมาเกิดใหม่ มีอานุภาพและครองความเป็นใหญ่ที่พิเศษกว่าเดิม
ยอดนักสร้างบารมีทั้งหลาย แล้วหนทางกลับสู่ดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์ของเรา มีความแจ่มชัดปานใด บางท่านยังไม่มั่นใจ และบางท่านก็ยังคลางแคลงใจว่าตัวเองเคยสร้างบารมีกับหมู่คณะที่มุ่งจะปราบมารหรือไม่ ผู้มีบุญทั้งหลาย เราเป็นใคร มาจากไหน ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ที่สำคัญคือ ตอนนี้เรามารวมกันแล้ว มาเคียงบ่าเคียงไหล่สร้างบารมีร่วมกัน และมีเป้าหมายเพื่อปราบมารไปสู่ที่สุดแห่งธรรม
เราล้วนเป็นชาติเชื้อ เดียวกัน
ชาติเชื้อธรรมกายสรร เสกสร้าง
จุติจากดุสิตสวรรค์ มาเกิด
หวังแผ่ธรรมกายกว้าง เพื่อล้าง เมืองมาร
หวังแผ่ธรรมกายกว้าง เพื่อล้าง เมืองมาร
บุญเท่านั้นทำให้พวกเราได้มาสั่งสมบุญทุกบุญด้วยกัน ถ้าบุญน้อยหรือถ้าไม่เคยสร้างบารมีร่วมกันมา คงไม่มีใจทุ่มเทชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันถึงเพียงนี้ เพราะมีผู้คนมากมาย ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้คิดจะร่วมอุดมการณ์กับมหาปูชนียาจารย์เฉกเช่นพวกเรา ตอนนี้เรามีหน้าที่เดียว คือ สร้างบารมีอย่างสุดฤทธี์ เพื่อพิชิตธงชัยคือการได้กลับไปดุสิตบุรี ตามนักสร้างบารมีท่านอื่น ที่ได้เดินทางกลับดุสิตบุรี ทิพยสถานอย่างองอาจสง่างาม
วีธิการก็คือ อย่าประมาท คุณครูไม่ใหญ่ว่าอย่างไรว่าตามกัน หมั่นสั่งสมบุญทุกบุญ อย่าทำตามกำลัง แต่ต้องทุ่มเทสุดกำลัง ไม่ใช่แค่ร่วมบุญ แต่ต้องทุ่มสุดตัว สุดหัวใจ เป็นเหมือนเจ้าของบุญ ไม่เสร็จไม่เลิกรา แม้เหนื่อยเหน็ดแต่จะไม่เหนื่อยหน่าย จะไม่สร้างบารมีตามลำพัง แต่จะยึด "ทีม" เป็นหลัก ไม่ยอมน้อยหน้าคือเอาเปรียบคนอื่น หรือ ชอบสร้างบารมีตามอารมณ์ ไม่ล้ำหน้าคือไม่หวังอยากเด่นอยากดัง อยากเอาบุญเป็นที่ตั้ง มุ่งที่จะไปพร้อมหน้า เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสันติภาพให้บังเกิดขึ้นแก่โลก
งานสร้างบารมีต้องทำกันไปเป็นทีม ให้มีหลวงพ่อ มีธรรมะ มีภารกิจ และมีคำว่าทีมอยู่ในใจเสมอ และหมั่นอธิษฐานจิตตอกย้ำทุกวันบ่อย ๆ ให้จิตหน่วงไปในดุสิตบุรี เมื่อวันสุดท้ายของการสร้างบารมีในโลกมนุษย์มาถึง เราจะบังเกิดใหม่ด้วยทิพยกาย มีเทวรถและทิพยบริวารมาคอยต้อนรับ พาเรากลับสู่ดุสิตบุรี เสวยทิพยสมบัติอันโอฬาร จนกว่าจะลงมาสร้างบารมีกันอีกรอบ และจะร่วมเรียงเคียงบ่าเคียงไหล่กันไปอย่างนี้จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรม..
ปล. แม้รู้จักหนทางกลับดุสิตบุรีแต่อย่ารีบด่วนกลับตอนนี้
Cr. พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺสารี ป.ธ. ๙
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๘๐ ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒
ทางกลับดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
01:46
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: