วันต่อต้านยาเสพติดโลก





วันต่อต้านยาเสพติดโลก


สมัชชาใหญ่ องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ ๒๖ มิถุนายน ของทุกปีเป็นวันต่อต้านยาเสพติดโลก

เวลาพูดถึงยาเสพติด คนทั่วไปมักจะนึกถึง ยาบ้า ฝิ่น เฮโรอีน หรือยาเสพติดที่ร้ายแรงทั้งหลาย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ได้มีการกล่าวถึงกันค่อนข้างมากแล้ว และโดยทั่วไปเราก็เห็นโทษเห็นภัยกันอย่างชัดเจน เหลือแต่เพียงว่าจะทำอย่างไรจึงจะป้องกันไม่ให้ระบาด ไม่ให้แพร่หลายออกไป หรือจำกัดขอบเขตให้เหลือน้อยที่สุด

ที่จริงยาเสพติด ไม่ได้มีเพียงยาเสพติดในความหมายที่คนทั่วไปเข้าใจ แต่ยังมีอีก ๒ เรื่อง ที่เราต้องใส่ใจ นั่นก็คือ บุหรี่ เหล้าและแอลกอฮอล์ทั้งหลาย ซึ่งความจริงก็คือ สิ่งเสพติดนั่นเอง คนเคยสูบ เคยดื่ม ถึงคราวก็อยากจะสูบอีก อยากจะดื่มอีก สิ่งเหล่านี้ถือเป็นยาเสพติด แต่มีฤทธิ์เบากว่ายาบ้า ฝิ่น เฮโรอีน หรือยาเสพติดที่ร้ายแรง และเพราะว่ามีฤทธิ์เบากว่า จึงทำให้กลายเป็นสิ่งเสพติดที่ถูกกฎหมาย สามารถซื้อหาได้ทั่วไป ผลก็คือ คนที่สูบบุหรี่ เฉพาะในประเทศไทยมีเป็นสิบ ๆ ล้านคน คนดื่มเหล้า ดื่มเบียร์มีเป็นสิบ ๆ ล้านคน  มูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดจาก เหล้า บุหรี่ รวมกันแล้วประมาณปีละ ๒๐๐,๐๐๐ - ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งมากยิ่งกว่า ฝิ่น เฮโรอีน และยาบ้ารวมกัน

เพราะฉะนั้นเราจะต้องตระหนักถึงโทษภัยของสิ่งเสพติดอย่างอ่อน ๆ ทั้งเหล้าและบุหรี่ให้ดี แล้วรีบหาทางป้องกันแก้ไข อย่าดูเบาเพียงเพราะว่า เป็นยาเสพติดอย่างอ่อน เพียงเพราะว่าเป็นสิ่งเสพติดที่ถูกกฎหมาย เพราะถ้าคิดแค่เรื่องความถูกกฎหมาย แค่นั้นแล้วละก็ ในบางประเทศอย่างสวิตเซอร์แลนด์ สามารถหาซื้อเฮโรอีนได้เลย แค่เดินเข้าไปในร้านขายยาก็ซื้อเฮโรอีนมาฉีดได้เลย ถือว่าถูกกฎหมาย ถ้าประเทศไหนตีตรายาเสพติดว่าถูกกฎหมาย เราจะถือว่ายาเสพติดเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือ ในยุคหนึ่ง ประเทศตุรกีถือว่าการปลูกฝิ่นเป็นเรื่องถูกกฎหมาย ใครก็ปลูกได้ เราจะยอมรับอย่างนั้นหรือ ในเมืองไทย ยุคหนึ่งก็เคยปลูกฝิ่นได้ ตามโรงฝิ่นมีคนไปสูบฝิ่นมากมาย ทำให้คนติดฝิ่นกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เรื่องถูกกฎหมายหรือไม่ เป็นแค่ส่วนประกอบ แต่ประเด็นหลักที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ในความเป็นจริงนั้น สิ่งเสพติดสร้างโทษภัยให้กับทั้งคนเสพและทอนกำลังสังคมให้อ่อนแอลง ดังนั้นจึงต้องหาทางป้องกันแก้ไขให้ดี และไม่ดูเบา ขอฝากไว้เป็นประเด็นแรก

ประเด็นที่ ๒ คือ สิ่งที่ทำให้คนเสพติดแทบจะ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ทั้งโลก เป็นสิ่งเสพติดอย่างอ่อน ๆ ที่ติดกันมาข้ามภพข้ามชาติ สิ่งนั้นก็คือ กิเลสในใจของเรา เบญจกามคุณ ๕ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ สิ่งนี้คนทั้งโลกได้เสพคุ้น และติดกันมา ข้ามภพข้ามชาติ ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ราคะ โทสะ โมหะ เราเสพติดกันมาข้ามภพข้ามชาติ แต่มันเป็นการมัดแล้วออกฤทธิ์ให้โทษอย่างอ่อน ๆ ซึ่งถ้าไม่สังเกตก็จะไม่เห็น เวลาพูดถึงเหล้า บุหรี่ คนส่วนใหญ่ยังพอมองเห็นโทษภัยได้ แต่เมื่อกล่าวถึงเรื่องเบญจกามคุณ ๕ คนที่จะรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ให้โทษให้ภัยจะมีถึง ๕ เปอร์เซ็นต์หรือเปล่า หรือจะถึง ๑ เปอร์เซ็นต์หรือเปล่า ก็ยังไม่ทราบเลย เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้แก้ได้ยากกว่า ลึกกว่า แต่ก็เป็นหน้าที่ของเรา เพราะกิเลสเป็นสิ่งที่มัดเราเอาไว้กับภพ ๓ ตรึงเราอยู่ตรงนี้ ถ้าหากขจัดกิเลสหมดจากใจได้เมื่อไร ก็เข้านิพพาน





วิธีแก้เรื่องสิ่งเสพติดทั้ง ๓ ระดับ ที่หนักสุดคือ ยาเสพติดทั่วไปที่รู้จักกัน รองลงมาก็คือเหล้า บุหรี่ อ่อนที่สุด คือ กิเลส มีหลักในการแก้ไข คือ

๑. ตัวเราแต่ละคนจะต้องรู้จักคิด ต้องคิดเป็น

๒. ต้องมีกัลยาณมิตร ต้องอยู่ใกล้กับคนที่ให้คำแนะนำ ให้กำลังใจเรา ให้ตัวเราสามารถปรับปรุงแก้ไขตัวเอง ไปสู่สิ่งที่ถูกต้องได้


สรุปก็คือ ต้องอาศัยตัวเราเองกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุด คือ คน ถ้าหากมี ๒ ประการนี้ ก็เห็นช่องทางสว่างไสวว่าจะแก้ได้ 

ถ้าถามว่า ทำอย่างไรเราแต่ละคนจึงจะคิดเป็น จับประเด็นเป็น ขณะเดียวกันทำอย่างไรสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา โดยเฉพาะคนที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุด คือ ครอบครัวของเรา จะเป็นกัลยาณมิตรให้กับเราได้ 


ปัจจุบันปัญหามีอยู่ว่า พ่อแม่กับลูกบางทีก็คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะมีความสนใจคนละอย่างกัน พ่อแม่ไม่รู้จะเอาหัวข้ออะไรมาคุยกับลูก เจอหน้าลูกก็ได้แค่ทักทาย กลับมาแล้วหรือ? ทำการบ้านหรือยัง? มีอะไรไหม? คุยกันคำสองคำก็เสร็จแล้ว จะให้พูดต่อยาว ๆ บางทีก็ไม่รู้จะคุยอะไรกันดี เพราะพ่อแม่สนใจอย่างหนึ่ง ลูกสนใจอีกอย่างหนึ่ง เวลาลูกพูดถึงสิ่งที่ตัวเองสนใจ พ่อแม่ก็คุยด้วยไม่รู้เรื่อง ไม่มีความรู้เรื่องนั้น ครั้นพ่อแม่พูดถึงเรื่องที่สนใจ ลูกก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน เลยกลายเป็นช่องว่างในครอบครัว ถึงอยู่บ้านเดียวกัน แต่ก็เหมือนต่างคนต่างอยู่ ทำให้เด็กต้องไปหาเพื่อนซึ่งอยู่ในวัยใกล้ ๆ กัน บางทีก็ชักชวนกันไปในทางที่ไม่ค่อยถูกต้อง จากเหล้า บุหรี่ ต่อไปก็ยาอี ยาบ้า หนักขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วก็พากันไปในทางเสื่อมเสีย พ่อแม่เองก็กลุ้มใจ แต่ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร

สำหรับเรื่องนี้ อาตมาอยากจะขอเสนอช่องทางซึ่งจะสามารถช่วยได้ทั้ง ๒ ประเด็น คือ ทั้งในเรื่องแง่คิดของตัวเอง และในเรื่องการสร้างเสริมสิ่งแวดล้อมที่ดี สร้างความอบอุ่นในครอบครัวได้ด้วย นั่นคือ จานดาวธรรม หรือ DMC


            

ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า ถ้าใครได้ดู DMC เป็นประจำสม่ำเสมอ ประการแรก ตัวเองจะเริ่มเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม รู้ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และจะมีกำลังใจในการทำความดี มีกำลังใจในการละเลิกสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง ขณะเดียวกัน ผลพลอยได้ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ พ่อ แม่ ลูก ถ้าดู DMC ด้วยกัน ถึงแม้จะคนละวัย แต่จะเริ่มมีจุดร่วมเดียวกัน เพราะเรื่องของธรรมะ เรื่องความจริงของโลกและชีวิต เป็นเรื่องที่คุยกันได้ทุกเพศทุกวัย อย่าว่าแต่ลูกที่เป็นวัยรุ่นเลย แม้ลูกอายุแค่ ๓ ขวบ ๔ ขวบ กับคุณปู่คุณย่าอายุ ๘๐-๙๐ ปี ก็คุยกันรู้เรื่อง เพราะเรื่องธรรมะเป็นความจริงสากล ที่คนทุกเพศทุกวัยสามารถเข้าใจได้เหมือนกันหมด

ตรงนี้จะเป็นเครื่องลดช่องว่างระหว่างวัยของบุคคลในครอบครัวได้ด้วย เมื่อช่องว่างนี้ถูกลบไปแล้ว พ่อแม่จะแนะนำอะไรก็ง่าย ลูกกับพ่อแม่จะมีความอบอุ่น สนิทสนมกันมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็จะมีมาตรฐานทางความคิดที่ใกล้เคียงกัน คือ รักในเรื่องบุญกุศล รักในเรื่องความดี ไม่อยากทำสิ่งที่ไม่ดี นี่คือสิ่งที่อยากจะฝากไว้เนื่องในโอกาสวันต่อต้านยาเสพติด มาเลิกสิ่งเสพติดกันทุกระดับ ทั้งอย่างหนักที่สุด คือ ยาบ้า ฝิ่น เฮโรอีน อย่างกลาง คือ เหล้า บุหรี่ และประการสุดท้าย คือ เรื่องของกิเลส

ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ หรือแม้จะเป็นคนที่นับถือศาสนาใดก็ตาม การลด ละ เลิก ยาเสพติด เป็นเรื่องของความดีสากล ลองมาศึกษาธรรมะผ่านจานดาวธรรม ผ่าน DMC ช่องนี้ช่องเดียว เพื่อศึกษาความจริงของโลกและชีวิต เราจะได้มีมาตรฐานความคิดที่ถูกต้อง มีกำลังใจในการทำความดี และพร้อมจะเป็นกัลยาณมิตร เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีให้แก่กันและกันต่อไป



Cr. พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ (M.D.,Ph.D.)
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๘๐ ประจำเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒
วันต่อต้านยาเสพติดโลก วันต่อต้านยาเสพติดโลก Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 01:37 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.