เด็กไทยใครว่าโง่





วันนี้ได้รับอาราธนาให้พูดถึงเรื่อง เด็กไทย ใครว่าโง่ จริง ๆ แล้วคนไทยไม่โง่เลย อาตมาคิดว่าประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ความวิริยอุตสาหะในการฝึกฝนอบรมตนเองเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าหากใครมีความพากเพียรพยายามเพียงพอ รู้จักสร้างโอกาสให้กับตัวเอง และรู้จักใช้โอกาสที่มาถึงให้เกิดประโยชน์ เกิดประสิทธิภาพเต็มที่ จะพัฒนาตัวเองได้มาก แล้วชีวีตจะประสบความสำเร็จ

อาตมารู้จักนักศึกษาไทยคนหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น เรียนจบทางด้านสาธารณสุขมาจากวิทยาลัยพละ เธอเป็นคนที่ขวนขวายในการฝึกตัวเอง ถ้าหากเป็นคนอื่น ๆ ทั่วไป จบพละมาก็ไปเป็นครู หรือหางานหาการทำ เป็นชีวีตที่ธรรมดาสามัญมาก ๆ แต่เธอขวนขวายฝึกภาษาอังกฤษ ทั้งที่เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แต่ก็หาลู่ทางลองไปสมัครสอบชิงทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ข้อสอบเป็นภาษาอังกฤษ ถามเรื่องความรู้ทั่วไป ภาษาอังกฤษของเธอค่อนข้างดีก็เลยสอบติด ได้ไปเรียนที่ญี่ปุ่น

แต่พอเรียนภาษาผ่านไปได้ประมาณสัก ๖ เดือน เขาก็ส่งเข้ามหาวิทยาลัยไปเรียนต่อด้านพลศึกษา เธอจบวิทยาลัยพละก็จริง แต่ไม่ได้เรียนด้านพลศึกษา เรียนมาด้านสาธารณสุข หากเป็นคนอื่นอาจจะอยู่ในภาวะจำยอม เพราะถูกส่งไปแล้ว การรับทุนรัฐบาลญี่ปุ่นนี้ หากจะเปลี่ยนวิทยาลัย เป็นเรื่องใหญ่มาก อาจจะถูกตัดทุนได้ แต่นักศึกษาคนนี้ไม่ยอมจำนนต่อภาวะที่เจออยู่ เธออยู่ที่นั่นไปประมาณ ๔ - ๕ เดือน รู้สึกว่าไม่ไหว ไม่ใช่สี่งที่ต้องการ

เธอดั้นด้นเดินทางจากต่างจังหวัดไปโตเกียว ทั้งที่อยู่ญี่ปุ่นยังไม่ถึงปี ภาษาญี่ปุ่นก็เพี่งจะเรี่มต้นเท่านั้น ไปที่มหาวิทยาลัยโตเกียว คณะแพทยศาสตร์ ซึ่งถือเป็นคณะที่สูงสุดในประเทศญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยโตเกียว ก็คือมหาวิทยาลัยอันดับ ๑ ของประเทศ คณะแพทย์ก็เป็นคณะที่สอบเข้ายากที่สุด แต่ในนั้น มีอยู่ ๒ สาขา ๑. เป็นหมอโดยตรง ๒. ศึกษาด้านสาธารณสุข เธอไปหาโปรเฟสเซอร์และแนะนำตัวเอง บอกว่าต้องการศึกษาทางด้านสาธารณสุข เธอขอความเมตตาโปรเฟสเซอร์ให้ช่วยรับเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาให้หน่อย ด้วยความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน แม้ภาษาไม่เก่งเท่าไร ก็ใช้ภาษาอังกฤษช่วยบ้าง ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างนี้ โปรเฟสเซอร์เห็นความตั้งใจจริงว่า เด็กคนนี้กิริยามารยาทเรียบร้อย แล้วก็เป็นคนไม่ยอมแพ้ พยายามหาช่องทางทุกอย่าง แสดงว่าเป็นคนฮึดสู้ ใช้ได้ทีเดียว เลยเกิดเมตตารับเป็นที่ปรึกษาให้ ก็เลยสามารถย้ายมหาวิทยาลัยได้สำเร็จ ย้ายจากมหาวิทยาลัยพละบ้านนอก มาอยู่ มหาวิทยาลัยโตเกียวเลย ผ่านไปอีกปีเธอสอบเข้าปรีญญาโทได้ เรียนจบโทสอบเรียนต่อเอกได้ สู้จนกระทั่งจบปริญญาเอก ทำงานคิดเป็นเงินไทยเดือนหนึ่งหลายแสนบาทเลยทีเดียว

จากเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ซึ่งหากไม่คิดจะสร้างโอกาสหาช่องทางให้ตัวเอง ก็คงเป็นเหมือนกับบัณฑิตจบใหม่ในประเทศไทยที่มีอยู่มากมาย แต่เมื่อฮึดสู้อย่างนี้ ก็สามารถเรียนจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยอันดับ ๑ ของประเทศญี่ปุ่น หรือถือเป็นอันดับ ๑ ของเอเชียได้ ก็เพราะรู้จักสร้างโอกาสให้กับตัวเอง แล้วก็ใช้โอกาสที่มาถึงอย่างเต็มที่ ซึ่งการกระทำอย่างนี้ทุกคนสามารถทำได้ แล้วเราจะพบว่าหนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เจอสิ่งที่ไม่คาดฝันตลอดเวลา แต่ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมจำนน ขอให้ฮึดสู้เท่านั้นเอง นี้ประการที่ ๑

ประการที่ ๒ ที่อยากจะฝากพวกเราก็คือ มีคำอยู่คำหนึ่ง เขาบอกคนไทยไม่โง่หรอก แต่ดูดี ๆ เราจะพบว่า บางทีคนซื่อมักจะแถมคำว่าเซ่อเข้ามาด้วย แต่ขณะเดียวกันคนฉลาดมักจะแถมคำว่าแฉลบ เข้ามาด้วย มันมักจะไปคู่กัน คนไทยไม่โง่ เราฉลาด แต่ฉันฉลาดแบบแฉลบ ๆ หน่อย ๆ ยิ่งเชิงเจ้าเล่ห์เจ้าเหลี่ยมกลโกงแล้วละก็ รู้สึกว่าชาติอื่นจะสู้เราลำบากเหมือนกัน ถ้าอย่างนี้ ก็เป็นทางฉลาดที่ไม่ค่อยถูกเท่าไร แต่คนไหนที่ฉลาดแต่ซื่อ อันนี้สุดยอด จะไปที่ไหนทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร ต้องการคนอย่างนี้ คนที่ทั้งฉลาดด้วยและไว้วางใจได้ด้วยเป็นเพชรที่ใครได้ไปก็เหมือนกับได้อัญมณีล้ำค่าไปอยู่ในมือ ดังนั้นอยู่ที่ว่าเรารู้จักสร้างคุณค่าตัวเองด้วยการเป็นคนที่ฉลาด แล้วก็มีคุณธรรมด้วยหรือเปล่า เราจะเรียกย่อ ๆ ว่าเก่งด้วยดีด้วย ถ้าได้อย่างนี้ก็เยี่ยม คำว่าเก่งและดี ไม่ใช่เฉพาะเด็ก ๆ อย่างเดียว ถ้าผู้ใหญ่เก่งด้วยดีด้วยก็ยิ่งดีใหญ่ คนไทยทั้งประเทศ ถ้าเก่งด้วยดีด้วย ทำงานเป็นทีมได้ด้วย สุดยอด!

เคยมีบางคนบอกว่าคนไทยถ้าไปเดี่ยว ๆ รู้สึกว่าจะชนะเขา แต่พอต้องทำงานเป็นทีม ๒ คนเมื่อไร สูสีกับชาวบ้านเขาแล้ว ถ้าขึ้น ๓ ขึ้น ๔ เมื่อไร รู้สึกว่าสู้เขาไม่ได้ เพราะเรามานั่งทะเลาะกันเองเสียก่อน คือการทำงานเป็นทีมเรายังอยู่ในช่วงที่ต้องปรับปรุง จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนต้องช่วยกันปรับปรุง พัฒนา โดยอาศัยหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ให้เรามีพร้อมทั้งความรู้ ความสามารถ คุณธรรม ซึ่งรวมถึงการทำงานเป็นทีมด้วย

ผู้ใหญ่ทุกคนที่มีเด็ก มีลูก จะต้องตระหนักว่าเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างให้กับลูก สอนอย่างเดียวไม่พอต้องทำให้ดูด้วย ต้องเรียกว่าทั้งแนะ ทั้งนำ แนะก็คือสอน นำก็คือทำให้ดู พ่อแม่คนไหนถ้ารักลูกจริงจะต้องปฏิรูป เรียกว่าปฏิวัติตัวเองก็ว่าได้ พอรู้ตัวว่าตั้งท้อง ทั้งคุณพ่อ คุณแม่สำรวจตัวเองเลย ปฏิวัติตัวเองครั้งใหญ่ เราอยากให้ลูกเป็นอย่างไร เราต้องทำตัวเราให้ได้อย่างนั้นก่อน เพราะลูกอยู่ใกล้ชิดเราที่สุด ถ้ามีเราเป็นแบบอย่างที่ดีแล้วละก็ โอกาสที่ลูกเราจะเป็นคนดี สูงมากเลย การปั้นลูกต้องเริ่มปั้นตั้งแต่อยู่ในท้อง บางทีปั้นตั้งแต่อยู่ในท้องยังช้าเกินไป ที่เขาบอกว่ารอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้วนั้น  ความจริงรอให้ตั้งท้องก็อาจจะสายเสียแล้ว เพราะว่าเด็กที่มาเกิดเป็นเด็กที่ไม่ค่อยจะมีบุญ ถ้าพ่อแม่เกเร กินเหล้า เมายา ได้ลูกที่เป็นขี้เมาเก่ามาเกิด ก็ลำบากเหมือนกัน ดังนั้น ถ้าจะเตรียมตัวให้พร้อม ต้องตั้งใจฝึกตัวเองเสียแต่วันนี้ ถ้าเราอยู่ในบุญ เด็กมาเกิดก็เป็นเด็กมีบุญ โตขึ้นมาก็เลี้ยงง่าย แล้วก็เห็นพ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดี เราก็การันตีได้ว่าลูกเราจะเป็นทั้งคนที่เก่งและดีได้แน่ ๆ นี้ประการที่ ๒

ประการที่ ๓ คือว่า เมื่อเราฝึกตัวเราจนเก่ง และดีในระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่ต้องระวังคืออย่าทะนงตน แล้วก็ไปข่มคนอื่นเขา เดี๋ยวจะเกิดเหตุที่น่าเสียใจตามมา เรื่องเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ดังที่เล่าไว้ใน คัมภีร์ธรรมบทว่า มีพระภิกษุรูปหนึ่งออกบวชตามพี่ชาย พระพี่ชายชื่อว่าพระมหาปันถก ฝ่ายน้องชื่อว่าพระจูฬปันถก พี่เป็นพระอรหันต์แล้ว น้องก็มีศรัทธามาบวช บวชแล้วพี่ก็พยายามสอน แต่ปรากฏว่า คาถาแค่ ๔ บรรทัด ท่องอยู่ ๔ เดือน ยังจำไม่ได้เลย จนพี่ชายเห็นว่าน้องคงไปไม่ไหวแล้ว เลยบอกน้องให้สึก น้องเองก็ยังไม่อยากสึก วันหนึ่งมีโยมมานิมนต์พระไปฉัน นิมนต์ไป ๕๐๐ องค์ เหลือแต่พระจูฬปันถกอยู่เฝ้าวัด ท่านเสียใจนั่งร้องไห้ กรรมอะไรทำให้ปัญญาทึบขนาด ๔ เดือน จำคาถา ๔ บรรทัดไม่ได้ ภพในอดีตพระจูฬปันถกเป็นคนมีปัญญาดี เคยบวชและศึกษาธรรมะแตกฉานมาก มีภิกษุอื่นศึกษาธรรมะด้วยแต่สู้ตัวเองไม่ได้ เลยไปข่มเขา ไปพูดคล้าย ๆ เยาะเย้ยเขา ไปตัดรอนกำลังใจเขา ผลคือภิกษุรูปนั้นเลยหมดกำลังใจเลิกเรียนธรรมะไปเลย

ด้วยวิบากกรรมนั้นเอง ทำให้เกิดมาชาตินี้ปัญญาทึบ แต่ด้วยบุญเก่าที่เคยทำไว้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยข่ายพระญาณ ก็เลยเสด็จมาโปรด และทรงมอบผ้าขาวให้พระจูฬปันถกผืนหนึ่ง ให้ลูบผ้าขาว ให้ท่องคำว่า รโชหรณัง แปลว่าผ้าเช็ดธุลี ท่องไปลูบไป พอเริ่มสายตะวันคล้อยแดดส่องมาถึง เหงื่อก็ออก เมื่อลูบไปนาน ๆ ผ้าขาวก็ชักเปื้อน สีชักจะหมอง ๆ พระจูฬปันถกก็ได้คิดว่า ผ้าขาว ๆ ที่เราลูบ ๆ ไป ยังหมองได้ ในตัวคนเรามีของสกปรกเยอะ ไม่งามเลย พอเริ่มได้คิด ใจก็เริ่มนิ่ง สงบขึ้น จนกระทั่งเป็นสมาธิตั้งมั่นดิ่งเข้าไปในกลางของกลางเลยทีเดียว จนเข้าถึงธรรมะภายใน สุดท้ายได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ วิบากกรรมเก่าที่ปัญญาทึบก็คลาย เหมือนเมฆที่โดนลมพัดหายไป ดวงตะวันก็ส่องแสง สว่างไสวเป็นดวงปัญญาที่กว้างไกลขึ้นมา บุญเก่าสร้างไว้ไม่น้อย มีศรัทธามาบวชข้ามภพข้ามชาติทีเดียว แต่ด้วยวิบากกรรมไปดูถูกคนอื่น ชาตินี้ ๔ เดือน ท่องคาถา ๔ บรรทัด จำไม่ได้

พวกเราอย่าไปทำอย่างนี้ ตั้งใจฝึกตัวเองให้ดี ให้มีความรู้ความสามารถ คนอื่นเขาอาจจะไม่ฉลาดเท่าเรา ไม่เป็นไร ให้กำลังใจกันไป ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไป สนับสนุนกันไป สุดท้ายก็จะทั้งเก่งทั้งดีกันทุก ๆ คน แล้วสังคมเราก็จะน่าอยู่




Cr. พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ (M.D., Ph.D.) จากรายการทันโลก ทันธรรม 
ออกอากาศทางช่อง DMC
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๘๑ ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
เด็กไทยใครว่าโง่  เด็กไทยใครว่าโง่ Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 02:56 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.