ปัจจุบันคุณฐานิดาทิพย์ ประกอบอาชีพบิวตี้แอนด์สปา เธอได้เล่าเรื่องราวที่เปรียบดั่งบทเพลงแห่งชีวิตให้ฟังว่า "ดิฉันเคยแต่งงานกับคู่ชีวิตที่วัยแก่กว่านับสิบปี เพราะคิดว่าผู้ใหญ่ย่อมรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี ช่วงแรก ๆ เหมือนคิดไม่ผิด เพราะเขาทั้งรักครอบครัว ไม่ดื่ม ไม่สูบ ไม่เล่นการพนัน ชีวิตคู่ดูดีเป็นสีชมพู อยู่อย่างสุขสบาย หรูหรา มั่งคั่ง ในบ้านหลังใหญ่มีบริวารรายล้อม กระทั่งมีพยานรักด้วยกัน ๓ คน ดิฉันทำหน้าที่เป็นแม่ศรีเรือนสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังเป็นคนรักสวยรักงามใส่ใจตัวเอง เสื้อผ้า หน้า ผม ต้องดูดี เพราะกลัวสามีเบื่อหน่าย แต่ต่อมาสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น สามีปันใจไปยกย่องผู้หญิงอื่นมาทำหน้าที่ผู้ช่วยภรรยา (เมียน้อย) ทั้ง ๆ ที่แน่ใจว่าไม่เคยบกพร่องต่อหน้าที่ ชีวิตครอบครัวเริ่มมีแต่เรื่องเดือดร้อนวุ่นวาย ดิฉันเจ็บปวดทุกข์ทรมานจิตใจแสนสาหัส มันยากที่จะทำใจยอมรับได้ เสียอย่างอื่นยังพอทนแต่เสียสามีทั้งคนมันช้ำหัวใจ ดังคำโบราณว่าไว้ "เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร" จากนั้นความอดทนก็ไต่ระดับ ถึงขั้นชีวิตจมปลักอยู่ในกองทุกข์ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ คิดมาก ฟุ้งซ่าน ชีวิตเหมือนตายทั้งเป็น ในที่สุดก็คิดสั้น ด้วยการใช้สายทองแดงมัดขาแช่ในอ่างน้ำที่เปียก"
มนุษย์ล้วนต้องตายทุกคน แต่บางคนกลับปรารถนาที่จะตายก่อนเวลาอันควร เมื่อคิดจะตายก็ได้ตายสมใจปรารถนา แต่หารู้ไม่ว่า ความทุกข์หาตายจากไปด้วยไม่ ช่างโชคดีที่คุณฐานิดาทิพย์ เธอยังไม่ตาย....
"ขณะกำลังจะเสียบปลายสายอีกด้านหนึ่งเข้ากับปลั๊ก หมายจะตายคาห้องเพียงเพื่อประชดสามี ทันใดนั้นบุตรชายซึ่งหลับอยู่ลุกขึ้นมาร้องไห้หิวนม ด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ ดิฉันได้สติ คิดได้ว่าต้องมีชีวิตอยู่เพื่อลูก จึงให้นมที่กลั่นจากเลือดในอก แล้วมองน้ำตาตัวเองที่หลั่งกระทบแก้ม ลูกน้อยไร้เดียงสา"
ทว่าดนตรีชีวิตยังคงบรรเลงเพลงดอกโศกให้หม่นเศร้ามิรู้หาย สามีใจร้ายคิดเอาเมียน้อยมาสิงสู่อยู่ในบ้าน ในที่สุดเธอและเขาก็แยกทางจากกัน จากนั้นเธอเลือกที่จะดื่มน้ำเมาตัดขาดสติจากชีวิต และเกิดอารมณ์ชั่ววูบคว้าไบกอน (ยาฆ่ายุง) กินแกล้มเหล้า กระทั่งสติดับวูบไปและรู้สึกตัวลืมตาอีกทีอยู่โรงพยาบาล พยาบาลแซวว่า "คนไข้เตียงนี้ยุงไม่กัด ไบกอนมาเอง" เธอรู้สึกละอายใจที่ทำอะไรโง่เขลาเป็นครั้งที่ ๒ และเพลงชีวิตของเธอยังคงบรรเลงต่อไปเรื่อย ๆ
"ปลายปี ๒๕๕๐ ขณะที่ดิฉันนั่งรับประทานอาหารอยู่เกิดมีอาการใจหวิวหน้ามืดจนถูกนำส่งห้องฉุกเฉิน อาการแย่ลงเรื่อย ๆ หายใจไม่ได้ทั้งที่ออกซิเจนยังคาจมูก เหมือนลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะดับวืด ทว่าคงด้วยบุญเก่ามาช่วยไว้ จิตก็พลันนึกถึงบารมีแห่งพระรัตนตรัย จึงได้อธิษฐานว่า ถ้ารอดตายครั้งนี้ไปได้ ชีวิตที่เหลือจะปฏิบัติธรรม รักษาศีล ปาฏิหาริย์พลันก่อเกิด เหมือนมีคนมาต่อลมหายใจ อาการทุกอย่างกลับสู่ปกติ ดิฉันนอนพัก ๒ - ๓ วันก็กลับบ้านได้ พอกลับถึงบ้าน จู่ ๆ รุ่นพี่ที่เคยขาดการติดต่อไป ๔ - ๕ ปี ชื่อ กัลฯพัชนัย นาคปรีชา ก็โทรมาชวนไปปฏิบัติธรรมที่พนาวัฒน์ จึงตอบตกลง เพราะจะได้ทำตามอธิษฐานสัญญาที่ให้ไว้ ครั้นพอนั่งสมาธิ วันแรกก็มืด เมื่อย มึน ปวดกระบอกตา เพราะบีบเปลือกตา พยายามเอาตามุดเข้าไปดูในท้อง ก็ฟุ้ง เกิดความน้อยใจ เบื่อหน่าย ท้อแท้ จึงลืมตาขึ้นจ้องไปที่ภาพหลวงปู่แล้วหลับตา อธิษฐานจิตว่า "ถ้าลูกเป็นลูกหลานในเส้นทางบุญของหลวงปู่แล้วไซร้ ขอให้ลูกได้พบประสบการณ์ภายในเหมือนคนอื่นบ้างเถิด" วันที่ ๔ ขณะนั่งสมาธิอยู่นั้น ราวกับว่าห้องนั้นมีดิฉันนั่งอยู่เพียงลำพังท่ามกลางความมืด พอจิตใจสงบ สบาย นี่ง ๆ เฉย ๆ เรี่มมีลำแสงพุ่งลงมาทะลุผ่านศีรษะไปกลางท้อง วันต่อมาเกิดความเบา โล่ง โปร่ง สบาย เย็นกาย เย็นใจ แต่ไม่เห็นดวงธรรมและองค์พระ กลับเห็นหน้าหลวงปู่มาปรากฏ พร้อมกับยี้มให้ด้วยแววตาที่ดูเมตตาและอบอุ่น วันสุดท้ายดิฉันได้ไปกราบลาหลวงปู่ รำพึงรำพันในใจว่า ลูกยังไม่มีบุญได้เห็นดวงสว่างเลย เมื่อกลับลงไปแล้วจะเอาดวงสว่างที่ไหนมาเป็นนิมิตเพื่อปฏิบัติต่อที่บ้านล่ะ สี้นคำรำพันลูกได้เห็นดวงกลม ๆ สีฟ้า ๆ ใส ๆ ผุดขึ้นจากกลางกายต่อเนื่องขึ้นมาเป็นสาย ทำให้ความรู้สึก ณ เวลานั้นแสนเปี่ยมปีติแช่มชื่นดื่มด่ำกับความสุขที่เกินจะบรรยายถ่ายทอดมาเป็นคำพูดได้ น้ำตาแห่งความปีติไหลรินอย่างไม่อาจระงับ รู้สึกเต็มตื้นในหัวใจที่เกิดจากความสุขที่สุด ผิดกับน้ำตาที่ไหลในอดีต เป็นน้ำเช็ดหัวเข่าที่เกิดจากความทุกข์ระทมขมขื่น ดิฉันรู้สึกรักตัวเองมากขึ้น อยากจะทำชีวิตที่เหลือให้มีคุณค่า จิตใจที่พร่องไปจะได้เต็มเหมือนเดิม
เมื่อกลับลงมาจากการปฏิบัติธรรมก็รีบทำบุญ และติด DMC ที่บ้านเพื่อชมธรรมะหน้าจอให้ต่อเนื่อง ช่วงแรก ๆ ก็จะนั่งดู ภาพองค์พระที่ผุดซ้อนออกจากดวงแก้วเป็นสาย จนภาพนั้นถูกบันทึกเอาไว้ชัดเจน เมื่อทำสมาธิครั้งใดก็จะนึกภาพนี้มาประทับไว้ที่ศูนย์กลางกาย ทำตัวสบาย ๆ ปลดปล่อยพันธนาการรอบตัวโดยสี้น น้อมใจตามเสียงหลวงพ่อ เมื่อจิตสงบ ความปีติสุขก็แผ่ขยายซาบซ่านไปทั้งตัว เกิดอาการเย็น ๆ คล้ายขนลุกเกรียว ปรากฏแสงสว่างขึ้นที่ศูนย์กลางกายจากจุดเล็ก ๆ ขยายใหญ่ขึ้น ๆ เป็นแสงจ้าที่เหมือนโลหะสเตนเลสสะท้อนแสงกับดวงอาทิตย์ แต่นุ่มนวลไม่แสบตา นี่งอยู่กับสภาวะนั้นไปสักพัก ก็เห็นองค์พระผุดซ้อนขึ้นมา และขยายใหญ่ขึ้น ๆ เวลาที่หลวงพ่อบอกว่าให้ดวงบุญขยายออกไปครอบคลุมทั่วพื้นที่อื่น ๆ นั้น ลักษณะดวงบุญที่ดิฉันรู้สึกแผ่ออกไปได้นั้นเหมือนก้อนหินที่ปาลงไปในน้ำนี่ง ๆ แล้วจะเกิดระลอกคลื่นขยายออกไปแบบเดียวกัน แต่ขอบของดวงบุญที่ขยายออกไปนั้นมีรัศมีเรืองรอง ความพึงพอใจในอารมณ์ทำสมาธินี้ ทำให้เกิดความสุขท่วมท้นมาเติมเต็มให้กับชีวิตที่เหลืออยู่ ดังนั้นในแต่ละวันดิฉันจะรวมใจเป็นหนึ่งกับองค์พระเสมอ ๆ เท่าที่ทำได้"
ใจที่ฝึกดีแล้ว ใจที่ขัดเกลาจนใสสะอาดแล้ว เป็นใจที่ทรงอานุภาพและใจของเราดวงนี้สามารถที่จะกำหนดบทเพลงแห่งชีวิตให้ไพเราะน่าฟังเพียงใดย่อมได้ ดุจเรื่องราวของคุณฐานิดาทิพย์
"ก่อนที่ดิฉันจะได้ฝึกหยุดใจ ดิฉันเป็นคนขี้โมโห เอาแต่ใจตัวเอง ผลของการทำใจหยุดใจนี่ง เข้าถึงธรรม ทำให้สงบ เยือกเย็นขึ้น รู้จักไตร่ตรองก่อนพูด ก่อนทำ เป็นที่ชื่นชมของผู้ที่พบเห็น มีสติรอบคอบในการทำงาน เป็นคุณแม่คนใหม่ที่น่ารักของลูก ปัจจุบันดิฉันสดชื่น ร่าเริง แจ่มใส มีจิตใจเบิกบานมองโลกในแง่ดี มีเมตตากับผู้คนรอบข้าง ผู้คนที่พบเห็นมักจะถามดิฉันว่า "ไปทำอะไรมาดูสวยขึ้น" ดิฉันก็ตอบว่า หลวงพ่อที่วัดพระธรรมกาย ท่านสอนให้ทำสปาภายใน คือ การหยุดใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ จึงได้สวยอย่างที่เห็น"
อยากมีเพลงชีวิตจริงที่แสนไพเราะ เราสามารถบรรเลงเพลงนั้นได้อย่างง่าย ๆ คือ การบรรเลงเหมือนไม่ได้บรรเลง หลับตาเบา ๆ วางใจสบาย ๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เมื่อใจหยุดนี่ง เพลงชีวิตของเราจะเป็นบทเพลงแห่งความสุขที่ทำให้โลกใบนี้มีความสุขไปด้วย..
Cr. เรื่อง : Son Backhome
e-mail : garaboon_idai@hotmail.com ภาพ : Marc hubbard
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๘๓ ประจำเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒
ไม่มีความคิดเห็น: