เครือข่ายกัลยาณมิตร คือคำตอบสุดท้าย
เครือข่ายกัลยาณมิตร หมายถึง เครือข่ายคนดี หรือเครือข่ายมิตรแท้ เครือข่ายคนดีในบริบทนี้ เป็นเครือข่ายคนดีเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของทิศ ๖ เพื่อความอยู่รอดของสังคมไทยและประเทศชาติ กล่าวคือ เป็นเครือข่ายกัลยาณมิตรที่ประสานความร่วมมือกันทำงานอย่างใกล้ชิดระหว่าง ๓ สถาบัน ได้แก่ สถาบันครอบครัว สถาบันสงฆ์ และสถาบันการศึกษา หรือพูดสั้น ๆ ว่า บ้าน วัด โรงเรียน
จุดสำคัญเรี่มที่ทิศเบื้องบน กล่าวคือ เมื่อทิศเบื้องบนสามารถทำหน้าที่อันเป็นอริยวินัยได้ครบ ทั้ง ๖ ประการ ย่อมส่งผลให้ญาติโยมในอีก ๕ ทิศ ได้รับรสพระธรรมหล่อเลี้ยงจิตใจอยู่เสมอ ย่อมมีศรัทธามั่นในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีศรัทธามั่นในคำสั่งสอนทั้งปวงของพระองค์ ถึงแม้ญาติโยมส่วนมากจะอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่ก็ได้เรียนรู้ธรรมจากการฟังเทศน์ ทำให้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องนรก สวรรค์ ที่สำคัญ คือ การทำทาน รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ ตลอดจนการเจริญสมาธิภาวนาจนเกิดเป็นลักษณะนิสัยประจำตัวประจำใจ นั่นคือ แต่ละคนล้วนเป็นคนดีมีสัมมาทิฐิเข้าไปอยู่ในใจอย่างมั่นคง
แน่นอนที่สุดว่า ในเมื่อผู้คนอีก ๕ ทิศต่างเป็นคนดีมีสัมมาทิฐิเข้าไปอยู่ในใจ ก็ย่อมจะสามารถปฏิบัติหน้าที่อันเป็นอริยวินัยได้อย่างสมบูรณ์ไม่บกพร่อง อานิสงส์หรือผลดีที่เกิดตามมา ก็คือ สันติสุขในหมู่บ้าน ชุมชน สังคมและประเทศชาติในที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า เครือข่ายกัลยาณมิตร คือคำตอบสุดท้าย
เครือข่ายกัลยาณมิตรมีการพึ่งพากันอย่างไร
เครือข่ายกัลยาณมิตรมีการพึ่งพากันเฉกเช่นอุปกรณ์ "สามขา" แต่ละขาของอุปกรณ์สามขาต่างมีแรงพยุงซึ่งกันและกันให้ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดินได้อย่างมั่นคงไม่ล้มครืนลงมา อีกทั้งสามารถรองรับน้ำหนักที่วางอยู่เบื้องบนอุปกรณ์ สามขานั้นได้นานเท่านานฉันใด เครือข่ายกัลยาณมิตร ๓ สถาบันดังกล่าว ก็ฉันนั้น
เครือข่ายกัลยาณมิตร คือเครื่องมือปฏิรูปมนุษย์
ปัญหาวุ่นวายในสังคมมากมาย ถามว่าเกิดจากความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฐิในใจของผู้คนใช่หรือไม่ ก็เมื่อเหตุแห่งปัญหาคือความเห็นผิด เราก็จำเป็นต้องปฏิรูปให้พวกเขาเกิดความเห็นถูก เมื่อเขามีความเห็นถูกแล้วก็จะไม่ก่อปัญหาเลวร้ายเช่นนั้น
อนึ่ง ใครเล่าที่จะปฏิรูปมิจฉาทิฐิของพวกเขา ให้กลายเป็นสัมมาทิฐิ ทิศ ๖ นั่นเองจะทำหน้าที่นี้ แต่ทิศ ๖ ที่มีบทบาทสำคัญที่สุด ก็คือ ทิศเบื้องบน และทิศเบื้องบนต้องปฏิบัติหน้าที่ในเชิงรุก เพื่อปลุกให้ทิศเบื้องหน้า และทิศเบื้องขวารับช่วงไปปฏิบัติการต่อไป ถ้าทิศทั้ง ๓ นี้ ปฏิบัติหน้าที่อันเป็นอริยวินัยของตนได้สมบูรณ์ไม่บกพร่อง อีก ๓ ทิศที่เหลือ คือ ทิศเบื้องหลัง เบื้องซ้าย และเบื้องล่าง ย่อมชื่อว่าปฏิรูปได้เองโดยปริยาย ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องยืนยันว่า เครือข่ายกัลยาณมิตร ๓ สถาบัน จำเป็นต้องช่วยกันสร้างขึ้นให้ได้ เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญอีกอย่างหนึ่ง สำหรับการปฏิรูปมนุษย์
การสร้างเครือข่ายกัลยาณมิตร ต้องเป็นนโยบายระดับชาติ
ทำไมการสร้างเครือข่ายกัลยาณมิตรต้องเป็นนโยบายระดับชาติ มีเหตุผลสำคัญอย่างน้อย ๕ ประการ คือ
๑. เพื่อใช้เครือข่ายเป็นเครื่องมือปฏิรูปมนุษย์ สำหรับผู้คนในชาติพร้อมกันทั่วประเทศ
๒. เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการศึกษาทุกระดับได้ตระหนักว่า ความรู้ทางธรรม มีความสำคัญเท่า ๆ กับ หรือสูงกว่าความรู้ทางโลก ได้ตระหนักว่าคนเก่งทางโลกที่ไร้หิริโอตตัปปะ ย่อมไม่ต่างกับมีดหรือดาบที่ไร้ฝัก ย่อมก่อให้เกิดอันตรายได้ทุกวินาที
๓.เพื่อให้สถาบันสงฆ์ได้ปฏิบัติหน้าที่อันเป็นอริยวินัยได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกย่องไว้ในฐานะทิศเบื้องบน ในขณะเดียวกัน ทางสถาบันสงฆ์ก็จะได้ตื่นตัวพัฒนาบุคลากรในสถาบันให้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ทรงภูมิรู้ ภูมิธรรม สมควรได้รับความเคารพนบนอบบูชา ในฐานะทิศเบื้องบน สมควรเป็นที่พึ่งที่ระลึกทางธรรมของญาติโยม
๔. เพื่อให้บุคคลใน ๕ ทิศ เร่งขวนขวายศึกษา และปฏิบัติธรรม ขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงโทษภัยของการไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่อันเป็นอริยวินัยของตนแบบไม่บกพร่อง จึงตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์
๕. เพื่อให้เครือข่ายกัลยาณมิตรสามารถดำเนินการปฏิรูปไปได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ชะงักงัน เพราะรัฐสามารถจัดงบประมาณสำหรับทำกิจกรรมของเครือข่ายตามความเหมาะสม อีกทั้งสามารถจัดบุคลากรประจำสำหรับทำหน้าที่ประสานงานระหว่าง ๓ สถาบัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุปก็คือ เครือข่ายกัลยาณมิตร ๓ สถาบัน เป็นเครื่องมืออย่างดีเยี่ยม ที่สามารถเอื้อให้การปฏิรูปมนุษย์ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและกระจายไปทั่วประเทศ แต่รัฐต้องเป็นผู้จุดประกายให้เครือข่ายเกิดขึ้นเสียก่อน พร้อมเป็นเจ้าภาพงบประมาณและบุคลากรที่มีความรู้ทางธรรมจำนวนหนึ่งสำหรับทำหน้าที่ประสานงานระหว่าง ๓ สถาบัน ไว้เป็นนโยบายระดับชาติ เครือข่ายกัลยาณมิตรก็จะฟื้นคืนมาอีกครั้งหนึ่ง และสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง สามารถขยายเป็นเครือข่ายติดต่อกันได้ทั่วประเทศ โดยวิธีนี้รัฐก็จะไม่ต้องเสียงบประมาณสร้างเรือนจำเพี่มขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายก็ไม่ต้องทำงานกันล้นมืออย่างทุกวันนี้ เพราะประชาชนทั้งชาติ เป็นคนดีมีสัมมาทิฐิเข้าไปอยู่ในใจอย่างมั่นคง
ถ้าเครือข่ายกัลยาณมิตรเป็นนโยบายระดับชาติ รัฐควรจะมีนโยบายอย่างไร
นำหน้าที่ ๕ ประการของทิศเบื้องหน้ามาปรับเป็นนโยบายของรัฐได้ทันทีดังนี้
๑. ห้ามบุตรไม่ให้ทำชั่ว
๒. ให้ตั้งอยู่ในความดี
สำหรับหน้าที่ในข้อ ๑ และ ๒ เป็นเรื่องของการปลูกฝังสัมมาทิฐิลงในใจประชาชนทุกเพศทุกวัยโดยตรง
๓.ให้ศึกษาศิลปวิทยา การจัดให้ประชาชนมีความรู้ทางด้านศิลปวิทยา เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพกันอย่างมีประสิทธิผลทั่วประเทศนั้น เป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญมาก เพราะเป็นวิถีทางเดียวที่จะยกฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนโดยทั่วไปให้พ้นจากความอดอยากยากจน ซึ่งขณะนี้ก็ปรากฏว่า รัฐกำลังกระทำอยู่อย่างรีบเร่ง
๔.หาภรรยาหรือสามีที่สมควรให้ ในฐานะที่เป็นรัฐบาล สาระสำคัญของหน้าที่ในข้อนี้ แทนที่จะเป็นเรื่องของการหาคู่ครอง รัฐจะต้องเข้าไปช่วยในการศึกษาอบรมแก่ประชาชน โดยการจัดหลักสูตรอบรมหนุ่มสาวให้มีความพร้อมก่อนที่จะเข้าสู่ชีวิตวิวาห์ มีความพร้อมที่จะเป็นสามีหรือภรรยา เป็นพ่อ หรือแม่คน ตลอดถึงการให้การศึกษาอบรมแก่ผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่ มีลูกเต้ากันหลายคนแล้ว แต่ยังขาดความรู้ในการทำหน้าที่ของตน
๕. มอบทรัพย์สมบัติให้ในเวลาอันควร ถ้าถามว่ารัฐควรมอบอะไรให้ประชาชน ก็คงจะได้คำตอบว่า สี่งที่รัฐจะมอบให้ก็คือการทำงานตามนโยบายที่รัฐได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาตั้งแต่เรี่มเข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศนั่นเอง
สรุป
ทิศ ๖ มีความสำคัญอย่างยี่งในระดับครอบครัว ในการที่จะทำหน้าที่ปลูกฝังอบรมสัมมาทิฐิให้เข้าไปอยู่ในใจบุตรธิดาตั้งแต่เกิดมา เพื่อให้มีนิสัยที่ดี ๆ เป็นคนดีที่โลกต้องการ ส่วนในระดับสังคมก็จำเป็นต้องมีเครือข่ายกัลยาณมิตร ๓ สถาบัน คอยทำหน้าที่ปลูกฝังสัมมาทิฐิ และปฏิรูปมิจฉาทิฐิให้เป็นสัมมาทิฐิในลักษณะการซึมซับถ่ายทอดความดีซึ่งกันและกัน ซึ่งต้องมีการกระทำกันอย่างสม่ำเสมอตลอดชีวิต
ถ้าทิศ ๖ และเครือข่ายกัลยาณมิตร ๓ สถาบัน ปฏิบัติหน้าที่สัมฤทธิผล ย่อมเกิดอานิสงส์ใหญ่ ๓ ประการ คือ
๑. บ้านเมืองสงบเรียบร้อย เพราะประชาชนโดยทั่วไปเป็นคนดีมีสัมมาทิฐิเข้าไปอยู่ในใจอย่างมั่นคงถาวร
๒. บ้านเมืองจะพัฒนาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วทั้งด้านเศรษฐกิจและจิตใจ
๓. พระพุทธศาสนาจะยืนยาวต่อไปอีกนานเพราะได้รับการทำนุบำรุงจากพุทธบริษัทเป็นอย่างดี ซึ่งจะส่งผลให้ประสบแต่ความสุข ความสงบ และความร่มเย็น
หินที่ระเบิดจากภูเขาย่อมจะมีรูปทรงและขนาดแตกต่างกันมาก ถ้าเราเอาหินเหล่านั้นมารวมกองไว้ ก็จะกองได้แบบจอมปลวก คือ มียอดเล็ก มีฐานใหญ่ หินที่กองอยู่นั้นก็จะเกาะกันอย่างหลวม ๆ เชื่อมกันไม่สนิท เนื่องจากรูปทรงต่างกัน เมื่อถูกแรง กระแทกย่อมพังทลายได้ง่าย เพราะไม่มั่นคงแข็งแรง
แต่ถ้าเรานำอิฐสี่เหลี่ยม ไม่ว่าจะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือแม้แต่สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ที่ผลิตมาจากแม่พิมพ์มาตรฐานเดียวกัน ผิวหน้าเรียบเสมอกันทั้ง ๖ ด้าน มากองซ้อนกันไว้ นอกจากอิฐทุกก้อนจะเชื่อมต่อเข้ามุมกันได้สนิทจนไม่มีช่องว่างแล้ว จะกองให้สูงเท่าใดก็ได้ ไม่มีขอบเขตจำกัด ยี่งกองมากเท่าใดก็ยี่งมั่นคงแข็งแรงมากเท่านั้น
ถ้าเปรียบคนเราเหมือนวัตถุทั้ง ๒ ประเภทนี้ คนที่ไร้อริยวินัยมีความเห็นเป็นมิจฉาทิฐิ ย่อมเปรียบได้กับหินที่ระเบิดจากภูเขา ไม่สามารถสร้างชาติให้เกิดสันติสุขและเจริญก้าวหน้าได้ เพราะขาดความสามัคคีกลมเกลียวกัน รวมกันไม่นานก็ล่มสลาย
ส่วนคนที่มีอริยวินัย มีสัมมาทิฐิเข้าไปอยู่ในใจ ย่อมเปรียบเสมือนอิฐที่ถอดจากแม่พิมพ์มาตรฐานเดียวกัน ย่อมประสานสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้สนิท ทรงพลังอันสงบยี่งใหญ่ให้แก่สังคมและประเทศชาติได้ ไม่ว่าเหตุการณ์เลวร้ายเหลือวิสัยใดจะเกิดขึ้น ก็ยืนหยัดต้านได้ไม่สะท้านสะเทือน หรือ ถ้าหากมีวิกฤตการณ์ร้ายแรงใด ๆ เกิดขึ้น ก็สามารถ พลิกฟื้นคืนดีได้อย่างรวดเร็วเป็นอัศจรรย์ ด้วยเหตุนี้ การปลูกฝังสัมมาทิฐิให้เข้าไปอยู่ในใจของเยาวชนของชาติก็ดี การอบรมขัดเกลาเพื่อปรับเปลี่ยนมิจฉาทิฐิ ให้เป็นสัมมาทิฐิตั้งมั่นอยู่ในใจผู้คนในชาติก็ดี จึงเป็นสี่งจำเป็นและเร่งด่วนสำหรับสภาพสังคมปัจจุบัน นั่นคือ การปฏิรูปมนุษย์จำเป็นต้องเป็นนโยบายระดับชาติ ...
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๘๓ ประจำเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒
|
ไม่มีความคิดเห็น: