ยามบ่าย
มันกำลังสาละวนกับการใช้ปากเล็ก ๆ จิกทุกสี่งที่อยู่ข้างหน้า ท่าทางช่างเหมือนเด็กน้อยที่สนุกเพลิดเพลินกับการเรียนรู้สี่งแปลกใหม่ และเรี่มหัดดำเนินชีวิตในวัด
"ทำไมมาอยู่ตรงนี้ แม่ไปไหนล่ะ"
ลูกไก่ตัวนั้นรีบเงยหน้าหันมาทางต้นเสียง แล้วซอยเท้าถี่ ๆ เข้าไปหาแม่ไก่ที่ยืนเฝ้าระวังภัยดูลูกอยู่หลังพุ่มไม้
เมื่อเดินตามลูกไก่เข้าไปดูใกล้ ๆ "เป็นไงบ้างล่ะ...แม่ลูกอ่อน" แล้วหลวงพ่อก็ทักทายแม่ไก่บ้าง
แม่ไก่หันหน้ามองมาทางหลวงพ่อ มองนี่ง ๆ
นี่ถ้าแม่ไก่พูดได้ การสนทนาคงจะสนุกกว่านี้
................................
................................
ไก่ที่มาอาศัยอยู่ในวัดต่างดำเนินชีวิตเพื่อการอยู่รอด ภายในนี้ปลอดภัยก็ตรงที่ไม่มีใครรังแก มุ่งเอาชีวิตจะมีก็เพียงเด็กน้อยลูกหลานสาธุชนที่ติดตามผู้ใหญ่มาวัด มักวี่งเล่นไล่จับไก่แจ้หลายพันธุ์หลากสี เชิงหยอกล้อให้เป็นที่สนุกสนานเท่านั้น
บ่อยครั้งที่เห็นบรรดาลูกไก่เดินตามหลังแม่ หลวงพ่อมักบอกกับแม่ไก่ว่า เลี้ยงลูกให้รอดปลอดภัยหมดทุกตัวนะ
ผมจำได้ว่าแม่ไก่ตัวนี้ เคยออกไข่ พอฟักออกมาเป็นตัว ก็พาลูก ๆ ออกไปเดินคุ้ยเขี่ยหากิน เมื่อเวลาผ่านไป สังเกตเห็นลูกไก่หายไปจากฝูงทีละตัวสองตัว ทราบว่าป่วยตายบ้าง ถูกสัตว์อื่นรังแกก็มี ถูกสัตว์เลื้อยคลานคาบเอาไปกินก็บ่อย สุดท้ายเหลือรอดเพียงไม่กี่ตัว
การดำเนินชีวิตให้อยู่รอดไม่ใช่เรื่องง่าย การจะให้อยู่อย่างปลอดภัยยี่งเป็นเรื่องยากมากขึ้น และยี่งยากมากขึ้นไปอีก หากจะให้รอดปลอดภัยจากอบาย หรือยี่งไปกว่านั้นให้รอดหลุดพ้นจากวงเวียนสังสารวัฏ
ความพิเศษหนึ่งที่ทำให้คนเราต่างจากไก่และสัตว์ทั่ว ๆ ไป คือเรารู้ว่าชีวิตเรานั้นไม่ได้ยืนยาว เวลาในชีวิตมีจำกัด เผลอแป๊บเดียวก็หมดวันหมดคืนแล้วก็หมดชีวิต
และเราก็รู้ว่าความสมบูรณ์แข็งแรงก็มีจำกัดอยู่แค่ช่วงเดียว เราจึงไม่ควรประมาท ปล่อยให้เวลาผ่านไป โดยไม่เร่งสร้างบุญกุศลใส่ตัว หรือแสวงหาแก่นแท้ที่เป็นที่พึ่งของชีวิต
................................
................................
ยามบ่ายเมื่อหลายวันก่อน ระหว่างทางที่เดินหลวงพ่อหันไปเห็นต้นปรงที่ขึ้นเป็นกลุ่มอยู่ชายน้ำ
ก่อนนี้เห็นใบสีเขียวแล้วรู้สึกสดชื่น คราวนี้ใบสีเขียวเปลี่ยนเป็นใบเหี่ยว ๆ สีน้ำตาลทั้งกอ
ก่อนนี้เห็นใบสีเขียวแล้วรู้สึกสดชื่น คราวนี้ใบสีเขียวเปลี่ยนเป็นใบเหี่ยว ๆ สีน้ำตาลทั้งกอ
เห็นแล้วปลง
เช่นเดียวกับต้นไม้ใหญ่ที่บัดนี้ก็ใกล้หมดอายุขัยต่างก็ทยอยยืนต้นตายทีละต้น
ซากไม้ใหญ่ที่อยู่คู่วัดมานานต้นนี้ มีเถาวัลย์มาอาศัยเลื้อยพันเกาะอยู่เช่นเดียวกับกาฝากและนกที่มาอยู่อาศัยทำรัง
ส่วนต้นโน้นเมื่อถูกตัดออกไปแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะนำไปแปรรูป ทำเป็นโต๊ะหมู่บูชาไว้ใช้ประโยชน์
ชีวิตที่จากไป หากยังประโยชน์ให้ชีวิตอื่นที่ดำรงอยู่ ย่อมเป็นการจากที่งดงามและมีคุณค่า
................................
................................
แล้วบ่ายวันนั้นผมก็พูดบางอย่างกับตัวเองในใจ
ไม่วันใดก็วันหนึ่งชีวิตทุกชีวิตก็ต้องจากไป
ถ้าในชีวิตหนึ่งของคนเรา เรี่มต้นจากลืมตาตื่นในตอนเช้ามืด ดำเนินชีวิตเรื่อยไปตั้งแต่เช้า สาย บ่าย เย็น และสุดท้ายหลับตาลงในเวลาย่ำค่ำ
เวลานี้ของผมเป็นยามบ่าย ก่อนที่ชีวิตจะเข้าสู่ช่วงกลางคืน ก่อนที่แสงสีทองสุดท้ายจะลับขอบฟ้า ผมบอกกับตัวเองว่าเราไม่ควรปล่อยให้ช่วงเวลาที่ดี ที่ยังมีความแข็งแรงเช่นนี้ผ่านไป
แม้เวลาในชีวิตของคนเราจะมีจำกัด แต่การสร้างคุณค่าแก่ชีวิตสามารถสร้างได้ไม่จำกัดเวลา
ลูกไก่ตัวนั้นซอยเท้าถี่ ๆ อีกครั้ง เพื่อวี่งไล่ตามแม่ไก่ที่ไปยืนรออยู่ข้างหน้า
แม้ว่าไก่สามารถพูดได้ ผมก็ไม่สนใจแล้วว่าแม่ลูกคู่นี้จะพูดอะไรออกมา เพราะว่าตอนนี้หลวงพ่อเดินนำหน้าไปไกลถึงตรงโน้นแล้ว
ผมคงต้องรีบก้าวเท้าให้ยาวขึ้น เร่งความเร็วเพี่มขึ้นอีก เพื่อเดินตามหลวงพ่อให้ทัน
Cr. โค้ก อลงกรณ์
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๘๓ ประจำเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒
ยามบ่าย
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
02:00
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: