ไปเกิดเป็นอสุรกาย


เรื่อง ผีสิง หรือการขอยืมร่างใช้ชั่วคราวเพื่อติดต่อกับคนที่มีชีวิตอยู่ได้นั้น พวกตายด้วยอุบัติเหตุ และยังไม่มียมทูตจากยมโลกมารับชอบใช้วิธีนี้ หลานสาวของเพื่อนข้าพเจ้าคนหนึ่งเป็นอาจารย์อยู่วิทยาลัยที่พิษณุโลก ขับรถโฟล์คส่วนตัวจะมากรุงเทพฯ ถูกรถโกดังชนตาย ในวันที่พี่สาวเดินทางไปเผาศพนั้น ขากลับได้แวะดูที่เกิดเหตุ พอมาถึงบ้านผีหรืออสุรกาย คือผู้ตายที่เป็นน้องสาวได้เข้าสิงร่าง เล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในขณะเกิดเรื่องรวมทั้งชีวิตเมื่อตายแล้ว ตอนหนึ่ง ได้กล่าวว่า

เมื่อหนูยังมีชีวิตอยู่หนูไม่เคยสนใจเรื่องศาสนาเห็นว่าเป็นเรื่อง งมงายคร่ำครึ คุณความดีต่างๆ ไม่ได้ทําไว้ แต่ความชั่วร้ายแรงอย่างใดก็ไม่มี ตอนนี้หนูไม่รู้จะไปไหน ตั้งแต่วันตายหนูก็นั่งอยู่ข้างถนนนั่นแหละ พอวันนี้หนูเห็นญาติพี่น้องมาตรงที่หนูนั่งอยู่ พูดกับใครก็ไม่มีใครได้ยิน หนูจึงขึ้นรถตามมาด้วย แล้วก็มาอาศัยเข้าร่างพี่สาวคนโต เพราะพี่คนนี้รักหนูมาก วันนี้พี่ร้องไห้มาก ทั้งกําลังกายและกําลังใจจึงอ่อนแอพอขอยืมใช้ร่างได้ง่าย หนูอยากจะบอกทุกคนว่า ให้ทําความดีกันให้มากๆ อย่าประมาทเหมือนหนู

เธอเล่าอะไรๆ ไปก็ร้องไห้ไป พี่สาวคนรองถามว่า

อ้าว ตั้งแต่เธอตายแล้วนี่ พวกเราก็ทําบุญให้ตั้งมากมาย ทําหลายหนด้วย อย่างวันนี้ลูกศิษย์ของเธอบวชหน้าไฟให้เธอ บวชเณรให้ถึง ๗ องค์นะ ไม่ได้บุญบ้างเลยหรือนี่

อสุรกายนั้นก็ตอบว่า

ไม่เห็นได้รับเลย แต่วันนี้เห็นพระหรือเณรไม่รู้เดินผ่านมา ๓ องค์ เดินมาแล้วก็ผ่านไป หนูก็มองดูท่านเฉยๆ

ถึงตรงนี้ข้าพเจ้าขออธิบายว่า อสุรกายนั้นกินอาหารเหมือนมนุษย์ ใช้ของอะไรๆ ก็เหมือนมนุษย์ แต่เขากินเขาใช้ของละเอียด คือ สิ่งของทุกอย่างในโลกนี้ มีทั้งส่วนที่เป็นของหยาบและของละเอียด ของหยาบก็อย่างที่เราเห็นกันอยู่ เช่น บ้านเรือน ของใช้ อาหารการกิน ฯลฯ เมื่อเวลาเราหลับ เราฝันเห็นสิ่งของเหล่านี้เหมือนกัน ซึ่งสิ่งที่เห็นในฝันนั้นเรียกว่าของละเอียด ของทุกอย่างนี้ทั้งหยาบและละเอียดมันซ้อนกันอยู่ คนสมัยก่อนที่ท่านพอรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง ท่านจึงไม่ยอมกินของที่เอาไปเซ่นไหว้มาแล้ว ท่านอ้างว่ามันหมดรส มันไม่อร่อย ไม่หวานอีกแล้ว นั่นหมายถึงฝ่ายอสุรกายเขากินอาหารละเอียดไปหมด ในรายผู้ตายคนนี้ ถ้าเราจะให้สิ่งใดเขากินเขาใช้ ต้องให้เหมือนของที่เรากินเราใช้นี่แหละ นําไปวางเซ่นไหว้เขาถึงที่อยู่ของเขา จะวางที่อื่นๆ ไกลออกไป เช่น ที่วัดหรือที่บ้านเรา เขาไม่สามารถรับรู้ เขามองไม่เห็น ไม่รู้เรื่องด้วย เขาก็ไม่ได้กินได้ใช้

หรืออย่างในกรณีที่เมื่อเรานําศพไปตั้งสวดที่วัด เจ้าภาพนิยมเอาอาหารใส่ถาดไปวางไว้ข้างโลงศพ ถ้าคนตายไม่ได้เกิดเป็นอสุรกายและอยู่ตรงที่นั้น คนตายก็ไม่ได้กิน ไม่ว่าเราจะเคาะโลงศพเรียกให้ดังสักเท่าใด ก็เรียกมาไม่ได้ คนตายถ้าเป็นคนมีบุญเขาก็ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว คนมีบาปก็ไปนรก ที่ไปเกิดเป็นเดรัจฉานหรือมนุษย์ก็เข้าสู่ครรภ์มารดาไปแล้ว จะมากินได้อย่างไร พวกที่กินอาหารละเอียดก็คือพวกอสุรกายที่เพ่นพ่านอยู่แถวนั้นนั่นเอง อาหารส่วนที่เป็นของหยาบ สัตว์พวกกายหยาบ เช่น มด แมลงสาบ จิ้งจก หนู แมว ก็กินกันไป

การที่เราทําบุญอุทิศส่วนกุศล คือทําบุญกับพระภิกษุสงฆ์แล้วกรวดน้ำอุทิศนั้น ผู้ตายต้องเกิดอยู่ในภูมิเปรตชั้นดี ซึ่งทางธรรมเรียกชื่อว่า ปรทัตตูปชีวกเปรต (ปะ-ระ-ทัด-ตู-ปะ-ชี-วะ-กะ-เปรต) คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการที่มีผู้อุทิศส่วนบุญให้ พวกนี้ไม่มีบาปกรรมชั่วอะไรมาก แต่ที่ต้องเกิดเป็นเปรตแบบนี้ เนื่องจากมีจิตใจห่วงใยผูกพันในผู้คนหรือทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ในเมืองมนุษย์ ตายแล้วจึงวนเวียนอยู่กับผู้ที่ตนรักหรือสิ่งของที่ตนหวง

ข้าพเจ้าเคยเห็นสตรีสาวท่านหนึ่ง คู่หมั้นถูกรถชนตาย คู่หมั้นที่ตายก็มาคอยวนเวียนอยู่ใกล้ตัวเธอ เธอมองไม่เห็น แต่หลานสาวเล็กๆ อายุไม่เต็ม ๓ ขวบมองเห็น และเด็กจะคุยกับผีคู่หมั้นของอาสาวเหมือน คุยกับคนด้วยกัน ใครถามเด็กก็จะตอบว่า

หนูคุยกับอา ... นี่เขานั่งอยู่นี่ ตรงนี้ แล้วเด็กก็ทําอาการจับเนื้อจับตัว

วันที่สตรีท่านนี้พบกับข้าพเจ้านั้น เขาไปหาพระภิกษุผู้ทรงคุณวิเศษท่านหนึ่ง ขณะนี้มรณภาพเสียแล้ว พระภิกษุท่านนั้นท่านก็มองเห็นผีตนนั้นด้วย ท่านจึงกล่าวสั่งสอนอบรมผีให้รับศีล แนะนําที่อยู่อันสมควรให้ พร้อมทั้งให้อนุโมทนาในบุญกุศลที่คู่หมั้นสาวกระทําสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้

มีอีกตัวอย่างหนึ่ง ท่านเป็นอดีตแม่ทัพเรือ (นามสกุลเดียวกับ จิระ ในเรื่อง ความลําบากสร้างคนในหนังสือเล่มนี้) ก่อนตายท่านเป็นห่วงคุณหญิงของท่านมาก เพราะคุณหญิงยังสาว ตายแล้วท่านก็เป็นเปรตอยู่ในบ้านนั้นเอง เป็นปรทัตตูปชีวกเปรต เมื่อข้าพเจ้าไปที่บ้านท่านด้วยกิจธุระบางอย่าง คุณหญิงได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า หลานสาวอายุ ๓ ขวบของท่านชอบขึ้นไปชั้นบนเป็นเวลาครั้งละนานๆ เมื่อถามดู เด็กก็ตอบว่า

หนูไปคุยกับคุณตา แล้วก็เล่าเรื่องที่ตา (ผี) คุยกับตนให้คุณหญิงซึ่งเป็นยายฟัง

เปรตพวกนี้การแต่งตัว อายุ รูปร่าง เหมือนตอนมีชีวิตเป็นมนุษย์ เมื่อพวกเขาอยู่ใกล้ผู้คนที่เขาสนิทสนมด้วย เขาก็ย่อมเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่คนใกล้ชิดทําอยู่ เมื่อทําบุญกุศลเขาก็เห็น เขาจึงพลอยดีอกดีใจ อนุโมทนาสาธุการด้วยที่เห็นคนข้างหลังยังคิดถึงเขา เวลาใครกรวดน้ำให้เขาก็รู้ พอเขาเปล่งคําอนุโมทนาว่า สาธุ เท่านั้น สิ่งของอะไรๆ ที่เรากระทําบุญเหล่านั้นก็จะเกิดขึ้นในภพของเปรตให้พวกเขาได้กินได้ใช้ทันที พวกนี้ถ้าเราเอาของหยาบๆ ไปให้โดยตรง เช่น ข้าว น้ำ ผ้าผ่อนท่อนสไบ ไปวางให้เหมือนกับที่เราให้อสุรกาย เปรตประเภทนี้หยิบกินใช้อะไรๆ ไม่ได้ ร่างกายของเขาละเอียดกว่าอสุรกายที่กล่าวข้างต้น

เมื่อเป็นดังนี้ เราจึงพอสันนิษฐานได้ว่า พวกปรทัตตูปชีวกเปรตนั้น ขณะมีชีวิตอยู่จะต้องเคยเป็นผู้รู้จักการทําบุญและการอนุโมทนาบุญที่ผู้อื่นยกให้ อสุรกายรายที่รถชนตายที่เล่าอยู่นี้ไม่เคยรู้เรื่องการทําบุญ และการอนุโมทนาบุญ เห็นลูกศิษย์บวชเดินผ่านมาถึง ๗ รูป ก็ไม่รู้จักยกมือไหว้อนุโมทนาสาธุ ปล่อยให้เดินผ่านไปตามเรื่องเลยไม่เป็นบุญใดๆ เกิดขึ้น นี่ถ้าเพียงเกิดปัญญาเดินตามไปสักหน่อย ก็อาจจะได้ไปเห็นการทำบุญของหมู่ญาติ เกิดนึกอนุโมทนาตามแบบเปรตชนิดที่กล่าวนั้น ก็อาจจะได้เปลี่ยนภูมิจากอสุรกายไปเป็นภูมมเทวดาก็เป็นได้

เวลาที่เรื่องนี้กําลังเกิดอยู่ คือน้องสาวที่เป็นอสุรกายเข้าร่างพี่สาวเพื่อเล่าเรื่องต่างๆ ที่ตนต้องลําบากอยู่ข้างทาง สามีของคนตายไม่เชื่อ คิดว่าอาจเป็นกลอุบายของพี่ภรรยา จึงพูดออกมาว่า

ไม่จริงมั่งนี่ มาแกล้งพูดอย่างโน้นอย่างนี้เอาอะไรกันแน่ คนตายแล้วก็ต้องสูญไปซี

พออสุรกายในร่างพี่สาวได้ยินดังนี้ จึงขอให้สามีมาใกล้ๆ จะกระซิบเรื่องอะไรให้ทราบ แล้วก็ได้มีการกระซิบกันอยู่เพียงครู่เดียว สามีก็ร้องไห้โฮออกมา เพราะเป็นเรื่องที่เขารู้กันเพียงลําพังสองคนเท่านั้น ร้องไห้ด้วยเปล่งคําพูดด้วยว่า

เชื่อแล้ว เชื่อแล้ว แล้วจะให้ทําอย่างไรบ้าง จะทําให้หมดทุกอย่างเลย

สามีพูดอย่างนี้ ความจริงก็ไม่ถูกเรียกว่าโง่พอกัน เพราะอสุรกายคือผีนั้นก็ไม่รู้เรื่องอยู่แล้วจึงเกิดเป็นผีอย่างนั้น ควรจะไปถามพระภิกษุสงฆ์ที่ท่านทราบเรื่องดีกว่า แต่อย่างไรก็ตามก็ได้จัดให้มีการทําบุญกันเป็นการใหญ่

ผีที่เราเรียกว่าอสุรกายนี้ก็คือเปรตชนิดหนึ่ง แต่โดยเหตุที่ความเป็นอยู่พอแยกให้เห็นแตกต่างกันออกไป จึงเรียกเป็นชื่อ อสุรกาย ไปอีกพวกหนึ่งต่างหาก

พวกเปรตและอสุรกายนั้น บางพวกก็มีฤทธิ์มีเดช บางพวกก็ทุกข์ทรมาน สําหรับอสุรกายประเภทที่เรียกว่า อสูร มีความสุขสบายเท่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ แต่บางพวก เช่นที่เรียกว่า สัตว์โลกันต์ ก็มีความทุกข์ สาหัสราวกับสัตว์ในนรก พวกที่อยู่ตามพื้นดินค่อยสบายขึ้นหน่อย มีฐานะเหมือนผู้รับใช้ของภุมมเทวดาก็มี พวกที่ตายจากมนุษย์มาด้วยอุบัติเหตุหรือเหตุบังเอิญซึ่งยังไม่ถึงกําหนดเวลาตาย ก็มาเป็นอสุรกายอยู่ตามพื้นดินหรือต้นไม้ หรืออยู่ตรงที่เกิดเหตุก็มี

เขียนมาถึงตรงนี้ ทําให้นึกถึงคําพูดของคนโบราณที่มักใช้ดุว่า ลูกหลานที่ไม่ค่อยระมัดระวังกิริยาในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือการทําผิดทําชั่วว่าทําอะไรให้รู้จักอายผีสางเทวดาบ้าง ก็หมายถึง สัตว์พวกที่เล่ามาแล้วนี่เอง เพราะเขาอยู่ใกล้เรา แต่เรามองไม่เห็น ส่วนเขาเห็นเราทุกอย่าง รู้จักอายเขาเถอะ เราจะได้ไม่กล้าทําชั่ว

Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๑
ไปเกิดเป็นอสุรกาย ไปเกิดเป็นอสุรกาย Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 03:01 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.