ตระหนี่จนเป็นเปรต
ลุงของข้าพเจ้าเป็นยอดของคนขี้เหนียวประจําตําบลเกาะพลับพลา อําเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เมื่อข้าพเจ้าจากบ้านไปอาศัยบ้านญาติเพื่อเรียนหนังสืออยู่ในตัวเมืองราชบุรี เวลานั้นข้าพเจ้าอายุ ๘ ขวบเศษ ขณะเดินกลับจากโรงเรียนได้พบลุงคนนี้ ท่านมาซื้อของในตัวเมือง อารามดีใจก็วิ่งไปทําความเคารพ ในฐานะที่เป็นญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดสนิทสนมกับแม่ของข้าพเจ้า ได้กล่าวออกไปว่า
“หนูดีใจจังที่เจอลุง ลุงให้สตางค์หนูซื้อขนมหน่อยได้ไหมคะ”
ลุงก็ล้วงกระเป๋ากางเกง มีธนบัตรติดขึ้นมาในอุ้งมือของท่านเป็นปึกใหญ่ มีหลายสี ข้าพเจ้าคิดในใจว่า ขอสีน้ำเงินก็พอ (สีน้ำเงินคือธนบัตรฉบับละหนึ่งบาท สมัยโน้นไม่ใช้เหรียญบาท) แต่ข้าพเจ้าคาดผิด ลุงจะควักเงินออกมาอวดข้าพเจ้าว่าท่านรวยเท่านั้นเอง เพราะพอท่านเห็นว่าข้าพเจ้ามองเห็นแล้ว ท่านก็หดมือเก็บเงินลงในกระเป๋ากางเกงตามเดิม แล้วหยิบสตางค์ ๑ สตางค์ จากกระเป๋าเสื้อส่งให้ข้าพเจ้า พร้อมทั้งบอกว่า
“เอ้า ตัง ลุงไปละนะ”
ข้าพเจ้าอ้าปากค้าง ขอบคุณไม่ออก สตางค์เดียวก็ซื้อขนมได้ครึ่งชิ้น หรือน้ำแข็งเปล่า ๑ แก้ว หรือท้อฟฟี่ ๑ อัน ข้าพเจ้าเลยจําแม่นถึงน้ำใจลุง ถ้าคิดเป็นเงินแล้วดูช่างน้อยนิดเดียว แต่ถ้าคิดถึงน้ำใจละก็ มากมายนัก เพราะแม่บอกข้าพเจ้าว่า
“แค่นั้นน่ะมากนักนะลูก หนูเป็นหลานที่ลุงหลินเค้ารักมากที่สุดเลย เค้าจึงให้ หลานคนอื่นๆ ที่มีอยู่นับเป็นสิบๆ คน ไม่เคยมีใครได้สตางค์จากลุงเหมือนหนูสักคน”
เมื่อข้าพเจ้าเรียนอยู่ในชั้นอุดมศึกษา มีบางคราวที่พ่อแม่หมุนเงินให้ข้าพเจ้าไม่ทัน เพราะท่านชอบนําเงินทุนการศึกษาจากทางราชการของข้าพเจ้าไปใช้เรื่องโน้นเรื่องนี้หมดไปก่อน พอเปิดเทอมจะต้องให้ข้าพเจ้าคืนมาใช้เป็นค่าหอพัก ค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือ เสื้อผ้าอะไรๆ ท่านจึงต้องไปขอยืมลุง บางครั้งข้าพเจ้าไปกับแม่ เคยพูดล้อเล่นกับลุงว่า
“ลุงช่วยส่งหนูเรียนโดยให้แม่หนูยืมเงินไม่ต้องเอาดอกเบี้ยไม่ได้หรือ หนูเรียนจบแล้ว ไม่ลืมบุญคุณลุงเลย นะลุงนะ เอาแต่เป็นเงินต้นคืนเถอะ แม่ยืมแค่ ๓ เดือนเท่านั้น เดี๋ยวได้ค่าเช่านาแล้ว ลุงก็เก็บเอาเงินต้นได้เลย”
แต่ลุงไม่เคยยินยอมสักครั้ง ท่านรวยมาก มีทรัพย์สมบัติสมัยนั้นหลายแสนบาท เป็นคนไม่มีลูก ป้าสะใภ้เองเคยมีลูกชายถึง ๔-๕ คน แต่ตายเสียตั้งแต่ยังแบเบาะหมดกันทุกคน
เรื่องการทําบุญสุนทาน ลุงไม่เคยพูดถึงเลย อย่าว่าแต่ลงมือกระทํา ส่วนป้าสะใภ้ เวลาข้าพเจ้าไปพักด้วยเมื่อยังเล็กๆ ท่านเคยให้ข้าพเจ้าเอาข้าวเปล่าใส่ขันไปใส่บาตรเมื่อพระภิกษุมาบิณฑบาต
ต่อมาเมื่อป้าสะใภ้ตายลง ลูกหนี้คนหนึ่งได้นําเด็กที่เขาเลี้ยงไว้ในบ้านมายกให้เป็นภรรยาใหม่แทนหนี้สินไม่กี่พันบาท ผู้หญิงอายุอ่อนกว่าข้าพเจ้าเสียอีก เวลานั้นลุงของข้าพเจ้าอายุ ๗๐ ปี ผู้หญิงอายุ ๓๓ ปี ลุงหลงใหลภรรยาใหม่มาก ข้าพเจ้ามีความรู้เรื่องทางศาสนาบ้างแล้ว จึงได้ไปอ้อนวอนป้าสะใภ้คนใหม่ ขอให้ช่วยอ้อนวอนลุงอีกทีหนึ่งให้ทําบุญให้ทานสิ่งใดบ้างเถิด ป้าสะใภ้เกรงใจข้าพเจ้าก็พูดให้ ลุงรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นต้นคิด นอกจากปฏิเสธแล้วยังว่าข้าพเจ้าอีกด้วย
“นี่ อีหนูใหญ่ แม่เอ็งเป็นหนี้ลุงอยู่ ๗๐๐ บาทนะ แล้วมาตายหนี เอ็งน่าจะใช้หนี้แทนแม่ไม่ใช่มาชวนลุงทําบุญ ทําไมแม่เอ็งเป็นหนี้คนอื่นเป็นหมื่นๆ เอ็งยังยอมใช้หนี้แทนให้มันเลย ทําไมไม่คืนให้ลุงมั่ง แค่ ๗๐๐ เท่านั้น”
ความจริงข้าพเจ้าไม่คิดจะโต้เถียง แต่เห็นลุงขี้เหนียวเกินขนาด จึงพูดว่า
“เงินที่แม่เป็นหนี้ลุงนั่นนะ หนูใช้คืนให้ลุงเดี๋ยวนี้ก็ได้ เพราะตอนนี้หนูมีเงินเดือน เดือนละเกือบ ๗ พัน แต่หนูเห็นว่าที่ดินหน้าบ้านลุงแปลงนี้ ตายกให้แม่หนู แต่ลุงแอบโกงไปโอนโฉนดเป็นชื่อลุง ใครก็รู้กันทั้งนั้นว่าตาให้แม่ แม่เห็นว่าลุงเป็นพี่ชาย ลูกเต้าไม่มี ตายแล้วก็คงคืนให้ลูกหลาน แม่จึงไม่ฟ้องร้อง ราคาที่ดินผืนนี้สูงกว่า ๗๐๐ บาทนะลุง หนูชวนลุงทําบุญ เพราะลุงเป็นคนบอกหนูเองว่า หมอบอกว่าลุงเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย จะมีชีวิตได้อีกไม่กี่เดือน ไม่ทําก็ตามใจ หนูไม่ว่าอะไร”
“ลุงไม่ทําหรอกบุญนะ มีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ลุงตายแล้วก็ให้คนนี้เขาใช้สมบัติของลุงเลี้ยงชีวิตต่อไป”
พร้อมกับหันไปทําตาหวานกับภรรยาเด็กคราวหลาน ทั้งที่ตาของท่านมีสีขุ่นเหมือนน้ำข้าวแล้ว
การไปเยี่ยมครั้งนั้นนับเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเห็นว่าทําให้เป็นสัมมาทิฏฐิไม่ได้ ก็ต้องปล่อยไปตามกรรมของลุง ข้าพเจ้าไปอีกครั้งหนึ่งในวันเผาศพเท่านั้น
ภายหลังได้ทราบเรื่องว่า หลังจากทํางานศพลุงแล้ว ป้าสะใภ้สาว เล่นไพ่จัด ไม่ฟังเสียงห้ามปรามจากใคร เพราะถือว่าได้ทรัพย์สมบัติมาก นอกจากนั้นยังก่อกรรมทําเข็ญกับพวกหลานๆ ที่ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของลุง ไม่ยอมให้เช่าอยู่ต่อไป ใช้อํานาจศาลขับไล่ ทะเลาะวิวาทวุ่นวาย ท้ายที่สุดก็มีมือปืนมายิงตาย กลายเป็นอสุรกายอยู่ในบ้านนั้น มีผู้พบเห็นกันอยู่เสมอๆ เวลาที่สุนัขหอน
ส่วนลุงหลินของข้าพเจ้า วันหนึ่งเด็กนักเรียนเล็กๆ ชั้นประถม จํานวนหลายคนในโรงเรียนวัดเกาะลอย ได้ชี้มือให้ครูดูที่กลางถนนด้านตะวันออกของโรงเรียน ตรงนั้นมีแดดตอนเช้าส่องจ้าลงตรงพื้นดิน
“ครูครับ
ครูครับ ครูขา นั่นตาหลินนั่งอยู่นั่น ไม่ใส่เสื้อเลย นุ่งแต่โสร่งตัวเดียว
หนาวสั่นทีเดียว นั่งตากแดดอยู่ตรงนั้น”
เวลานั้นเป็นฤดูหนาว หนาวจัดมากในปีนั้น เด็กๆ ใส่เสื้อหนาวกันทุกคน เมื่อพวกเขามองเห็นคนไม่ใส่เสื้อ จึงรู้สึกแปลก ทั้งเป็นคนที่ทุกคนรู้จักดี เพราะเมื่อมีชีวิตอยู่ พ่อแม่ของเด็กๆ เหล่านี้มักจะเป็นลูกหนี้ลุงของข้าพเจ้าแทบทั้งนั้น เคยเห็นผู้ตายไปเก็บดอกเบี้ยเป็นประจํา
นี่คือเปรตลุง ไม่ทําบุญทําทานไว้ ตายแล้วต้องลําบาก ถ้ามิใช่เรื่องจริงข้าพเจ้าจะไม่นํามาเล่าไว้เลย เป็นญาติผู้ใหญ่ของตนเองแท้ๆ จะพูดให้อับอายไปถึงหมู่ญาติทําไม แต่ปรารถนาดีอย่างบริสุทธิ์ใจให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์แก่ท่านผู้อ่าน จะได้ไม่ดําเนินชีวิตผิดพลาดดังเช่น ชีวิตลุงข้าพเจ้าที่เล่าไว้
ข้าพเจ้าใคร่ขอเน้นในเรื่องนี้อีกเล็กน้อย สําหรับผู้มีอาชีพออกเงินกู้เอาดอกเบี้ยแพงเกินกว่าทางราชการมากๆ ทําไมต้องเกิดเป็นเปรต อย่างรายลุงของข้าพเจ้าก็ตาม รายยายตี้ แม่สามีของเปรตนางแป้ก็ตาม ยายตี้นั้นข้าพเจ้าเข้าใจว่าต้องเป็นเปรต เพราะก่อนตายปากคอเน่ากินอาหารไม่ได้ ร้องบ่นรําพันแต่เรื่องความหิวอยู่ตลอดจนถึงวันตาย
จริงอยู่บางคนอาจจะเถียงว่า ทั้งผู้ให้กู้และผู้กู้ยินยอมพร้อมใจกันแล้ว ไม่ใช่ขู่บังคับจี้ปล้น ทําไมจึงเป็นบาป ลูกหนี้บางรายก็ไม่เดือดร้อนในการส่งดอกเบี้ย
บาปมิได้อยู่ตรงจุดนั้น แต่อยู่ตรงจิตใจของเจ้าของเงิน ซึ่งผูกพันต่อความโลภอยู่ตลอดเวลา คอยนั่งคิดตัวเลขยอดดอกเบี้ย คิดหาวิธีการต่างๆ ถ้าลูกหนี้จะขอผัดผ่อน ใจจึงมีแต่อกุศลมโนกรรมเป็นอกุศลจิต คิดแต่เรื่อง จะเอา จะเอา จะคลาดเคลื่อนกําหนดไปบ้าง ก็นึกถึงแต่เรื่องการฟ้องร้อง ยึดสิ่งของที่นํามาค้ำประกัน หรือเรียกจากคนค้ำประกัน
ไม่เคยมีเจ้าหนี้คนใดคิดจะให้ จะให้ ถ้าเก็บดอกเบี้ยครั้งนี้ไม่ได้ก็จะยกให้ เพราะเก็บได้มามากแล้ว คิดอย่างนี้ไม่มีเลย ใจที่เต็มไปด้วยโลภะกล้าแข็งอย่างนี้แหละที่ทําให้เกิดเป็นเปรต ยิ่งถ้าหากมีการทำอันตรายต่างๆ หรือเล่ห์เหลี่ยมอื่นๆ ต่อลูกหนี้ เช่น การขายฝาก โดยมีเจตนาคดโกง ใช้อุบายไม่ให้ลูกหนี้ไถ่ถอน ให้เลยเวลาแล้วยึดทรัพย์สินอะไรทํานองนี้ บาปก็ยิ่งมากจนตกนรกได้
ความคิดจะเอา จะเอานั้น เป็นความหิวที่ไม่รู้จักพอ เป็นความไม่รู้จักอิ่ม สะสมความหิวนั้นไว้ตั้งแต่ยังไม่ตายเป็นเวลานานนาน บางทีมีอาชีพเหล่านี้เป็นสิบๆ ปี ใจย่อมเสพคุ้นอยู่แต่ความรู้สึกดังกล่าว เมื่อตายแล้วก็ได้ความรู้สึกที่กระทําประจําติดตัวไป นี่เป็นหลักวิทยาศาสตร์ชอบอย่างไรก็ต้องได้อย่างนั้น ชอบอยาก ชอบหิว ก็ต้องมีอาการอย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ
ถ้าชอบให้ ให้อยู่เสมอๆ ใครที่ให้อยู่เป็นประจํา พอข้าพเจ้าพูดถึงตรงนี้ ท่านจะนึกออกทันที การที่เราให้อยู่เสมอบ่อยๆ นั้น ใจของเราจะมีคุณภาพพิเศษเกิดขึ้นอยู่เสมอเช่นเดียวกัน นั่นคือ จะไม่ใคร่รู้สึกอยาก รู้สึกหิวกระหาย จะเอาโน่นจะเอานี่ ใจจะมีคุณภาพสูงขึ้น กว้างขวาง เอิบอิ่ม ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ เพราะไม่มีถ้อยคําจะใช้ เมื่อเราให้อะไรแก่ใคร เป็นมูลค่าเท่าใด ด้วยความเต็มใจไปแล้ว ถ้าเราจะต้องสูญเสียวัตถุสิ่งของไปด้วยเหตุบังเอิญอื่นๆ ที่ไม่เต็มใจ ภายในวงเงินที่ไม่เกินจํานวน ซึ่งเคยเต็มใจให้นั้น เราจะไม่เสียใจอะไรมาก จะพออดทนได้ เช่นเคยทําบุญ ๑๐๐ บาทอยู่บ่อยๆ วันนี้แมวแอบขโมยกินปลาทูไปเสียเข่งหนึ่ง ๑๐ บาท อาจจะหงุดหงิดขุ่นเคืองนิดหน่อย แล้วก็อดทนได้ แต่สําหรับคนที่ไม่เคยบริจาคแล้ว จะคิดแค้นทุรนทุรายถึงกับนอนไม่หลับ ถ้าเห็นแมวตัวนั้นอาจไล่ตีมันถึงตายหรือซื้อยาเบื่อมาให้มันกินทีเดียว
การคิดจะให้ จะให้ และหมั่นทําตามความคิดนั้นอยู่เสมอๆ ใจ จะมีคุณภาพขึ้นดังที่ยกตัวอย่างให้ฟังนี้แหละ เมื่อเป็นอย่างที่เล่าให้ฟัง การประกอบอาชีพต่างๆ ของคนเราจึงมีความสําคัญมากนัก ที่จะเป็นเครื่องกําหนดชีวิตหลังจากตายแล้วว่าจะไปเกิดอยู่ที่ใด ดังนั้นคนฉลาดจะไม่ยอมประกอบอาชีพที่ทําอกุศลทางกายและทางวาจาเป็นอันขาต เขาจะต้องเว้นการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ทําผิดทางกาม พูดปด พูดส่อเสียต เพ้อเจ้อ พูดคําหยาบ แม้อาชีพที่ก่อบาปก่อเวรก็จะไม่ยอมทํา เพื่อให้ใจของเขามีคุณภาพดีขึ้นๆ ตายแล้วย่อมมีสุคติภูมิเป็นที่ไป
เวลานั้นเป็นฤดูหนาว หนาวจัดมากในปีนั้น เด็กๆ ใส่เสื้อหนาวกันทุกคน เมื่อพวกเขามองเห็นคนไม่ใส่เสื้อ จึงรู้สึกแปลก ทั้งเป็นคนที่ทุกคนรู้จักดี เพราะเมื่อมีชีวิตอยู่ พ่อแม่ของเด็กๆ เหล่านี้มักจะเป็นลูกหนี้ลุงของข้าพเจ้าแทบทั้งนั้น เคยเห็นผู้ตายไปเก็บดอกเบี้ยเป็นประจํา
นี่คือเปรตลุง ไม่ทําบุญทําทานไว้ ตายแล้วต้องลําบาก ถ้ามิใช่เรื่องจริงข้าพเจ้าจะไม่นํามาเล่าไว้เลย เป็นญาติผู้ใหญ่ของตนเองแท้ๆ จะพูดให้อับอายไปถึงหมู่ญาติทําไม แต่ปรารถนาดีอย่างบริสุทธิ์ใจให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์แก่ท่านผู้อ่าน จะได้ไม่ดําเนินชีวิตผิดพลาดดังเช่น ชีวิตลุงข้าพเจ้าที่เล่าไว้
ข้าพเจ้าใคร่ขอเน้นในเรื่องนี้อีกเล็กน้อย สําหรับผู้มีอาชีพออกเงินกู้เอาดอกเบี้ยแพงเกินกว่าทางราชการมากๆ ทําไมต้องเกิดเป็นเปรต อย่างรายลุงของข้าพเจ้าก็ตาม รายยายตี้ แม่สามีของเปรตนางแป้ก็ตาม ยายตี้นั้นข้าพเจ้าเข้าใจว่าต้องเป็นเปรต เพราะก่อนตายปากคอเน่ากินอาหารไม่ได้ ร้องบ่นรําพันแต่เรื่องความหิวอยู่ตลอดจนถึงวันตาย
จริงอยู่บางคนอาจจะเถียงว่า ทั้งผู้ให้กู้และผู้กู้ยินยอมพร้อมใจกันแล้ว ไม่ใช่ขู่บังคับจี้ปล้น ทําไมจึงเป็นบาป ลูกหนี้บางรายก็ไม่เดือดร้อนในการส่งดอกเบี้ย
บาปมิได้อยู่ตรงจุดนั้น แต่อยู่ตรงจิตใจของเจ้าของเงิน ซึ่งผูกพันต่อความโลภอยู่ตลอดเวลา คอยนั่งคิดตัวเลขยอดดอกเบี้ย คิดหาวิธีการต่างๆ ถ้าลูกหนี้จะขอผัดผ่อน ใจจึงมีแต่อกุศลมโนกรรมเป็นอกุศลจิต คิดแต่เรื่อง จะเอา จะเอา จะคลาดเคลื่อนกําหนดไปบ้าง ก็นึกถึงแต่เรื่องการฟ้องร้อง ยึดสิ่งของที่นํามาค้ำประกัน หรือเรียกจากคนค้ำประกัน
ไม่เคยมีเจ้าหนี้คนใดคิดจะให้ จะให้ ถ้าเก็บดอกเบี้ยครั้งนี้ไม่ได้ก็จะยกให้ เพราะเก็บได้มามากแล้ว คิดอย่างนี้ไม่มีเลย ใจที่เต็มไปด้วยโลภะกล้าแข็งอย่างนี้แหละที่ทําให้เกิดเป็นเปรต ยิ่งถ้าหากมีการทำอันตรายต่างๆ หรือเล่ห์เหลี่ยมอื่นๆ ต่อลูกหนี้ เช่น การขายฝาก โดยมีเจตนาคดโกง ใช้อุบายไม่ให้ลูกหนี้ไถ่ถอน ให้เลยเวลาแล้วยึดทรัพย์สินอะไรทํานองนี้ บาปก็ยิ่งมากจนตกนรกได้
ความคิดจะเอา จะเอานั้น เป็นความหิวที่ไม่รู้จักพอ เป็นความไม่รู้จักอิ่ม สะสมความหิวนั้นไว้ตั้งแต่ยังไม่ตายเป็นเวลานานนาน บางทีมีอาชีพเหล่านี้เป็นสิบๆ ปี ใจย่อมเสพคุ้นอยู่แต่ความรู้สึกดังกล่าว เมื่อตายแล้วก็ได้ความรู้สึกที่กระทําประจําติดตัวไป นี่เป็นหลักวิทยาศาสตร์ชอบอย่างไรก็ต้องได้อย่างนั้น ชอบอยาก ชอบหิว ก็ต้องมีอาการอย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ
ถ้าชอบให้ ให้อยู่เสมอๆ ใครที่ให้อยู่เป็นประจํา พอข้าพเจ้าพูดถึงตรงนี้ ท่านจะนึกออกทันที การที่เราให้อยู่เสมอบ่อยๆ นั้น ใจของเราจะมีคุณภาพพิเศษเกิดขึ้นอยู่เสมอเช่นเดียวกัน นั่นคือ จะไม่ใคร่รู้สึกอยาก รู้สึกหิวกระหาย จะเอาโน่นจะเอานี่ ใจจะมีคุณภาพสูงขึ้น กว้างขวาง เอิบอิ่ม ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ เพราะไม่มีถ้อยคําจะใช้ เมื่อเราให้อะไรแก่ใคร เป็นมูลค่าเท่าใด ด้วยความเต็มใจไปแล้ว ถ้าเราจะต้องสูญเสียวัตถุสิ่งของไปด้วยเหตุบังเอิญอื่นๆ ที่ไม่เต็มใจ ภายในวงเงินที่ไม่เกินจํานวน ซึ่งเคยเต็มใจให้นั้น เราจะไม่เสียใจอะไรมาก จะพออดทนได้ เช่นเคยทําบุญ ๑๐๐ บาทอยู่บ่อยๆ วันนี้แมวแอบขโมยกินปลาทูไปเสียเข่งหนึ่ง ๑๐ บาท อาจจะหงุดหงิดขุ่นเคืองนิดหน่อย แล้วก็อดทนได้ แต่สําหรับคนที่ไม่เคยบริจาคแล้ว จะคิดแค้นทุรนทุรายถึงกับนอนไม่หลับ ถ้าเห็นแมวตัวนั้นอาจไล่ตีมันถึงตายหรือซื้อยาเบื่อมาให้มันกินทีเดียว
การคิดจะให้ จะให้ และหมั่นทําตามความคิดนั้นอยู่เสมอๆ ใจ จะมีคุณภาพขึ้นดังที่ยกตัวอย่างให้ฟังนี้แหละ เมื่อเป็นอย่างที่เล่าให้ฟัง การประกอบอาชีพต่างๆ ของคนเราจึงมีความสําคัญมากนัก ที่จะเป็นเครื่องกําหนดชีวิตหลังจากตายแล้วว่าจะไปเกิดอยู่ที่ใด ดังนั้นคนฉลาดจะไม่ยอมประกอบอาชีพที่ทําอกุศลทางกายและทางวาจาเป็นอันขาต เขาจะต้องเว้นการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ทําผิดทางกาม พูดปด พูดส่อเสียต เพ้อเจ้อ พูดคําหยาบ แม้อาชีพที่ก่อบาปก่อเวรก็จะไม่ยอมทํา เพื่อให้ใจของเขามีคุณภาพดีขึ้นๆ ตายแล้วย่อมมีสุคติภูมิเป็นที่ไป
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล จากความทรงจำ เล่ม ๑
ตระหนี่จนเป็นเปรต
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
02:01
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: