นกน้อยผู้มีจิตเลื่อมใส


เอวํ อจินฺติยา พุทฺธา      พุทฺธธมฺมา อจินฺติยา
อจินฺติเยสุ ปสนฺนานํ      วิปาโก โหตฺยจินฺติโย

พระพุทธเจ้าเป็นอจินไตย พระธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นอจินไตย
วิบากของเหล่าชนผู้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าและพระคุณของพระองค์ก็เป็นอจินไตยเช่นกัน
(ขุททกนิกาย อปทาน)

การจะบรรลุวัตถุประสงค์ของชีวิตนั้น จะต้องสั่งสมบุญอยู่เป็นนิจ เมื่อพบเห็นสิ่งใดที่สามารถเปลี่ยนให้เป็นโอกาสแห่งการสร้างบุญบารมี ก็ต้องใช้วันเวลาทุกอนุวินาทีให้มีคุณค่าสูงสุด ด้วยการทำกาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ ชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เปรียบเสมือนผู้กำลังเดินทางไกลผ่านทางที่ทุรกันดาร เต็มไปด้วยเพลิงกิเลส คือ ราคะ โทสะ และโมหะ จำเป็นต้องมีเสบียง คือ บุญติดตัวไป เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง ดังนั้นผ้มีบุญ มีปัญญา ต้องฉลาดในการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส แม้กระแสโลกจะร้อน แต่ใจเราก็ไม่ร้อน เพราะมีความเย็นกายเย็นใจในการสั่งสมบุญกุศล ซึ่งสามารถต้านทานความร้อนแรงของกิเลสอาสวะได้ ผู้ที่มีใจสงบเยือกเย็นเช่นนี้จึงจะมีความสุข ยิ่งใครมีใจใสสะอาดบริสุทธิ์ หยุดนิ่งในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ชีวิตยิ่งสงบเย็นเหมือนเป็นจุดเย็นในท่ามกลางเตาหลอมมีความเย็นกายเย็นใจอยู่ตลอดเวลา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย อปทาน ความว่า

เอวํ อจินฺติยา พุทฺธา
พุทฺธธมฺมา อจินฺติยา
อจินฺติเยสุ ปสนฺนานํ
วิปาโก โหตฺยจินฺติโย

พระพุทธเจ้าเป็นอจินไตย
พระธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นอจินไตย
วิบากของเหล่าชนผู้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
และพระคุณของพระองค์ก็เป็นอจินไตยเช่นกัน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง ทรงเป็นบรมครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย อีกทั้งสมบูรณ์พร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ทรงประเสริฐกว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย จะหาใครประเสริฐกว่าหรือเทียบเท่ากับพระพุทธองค์ย่อมไม่มี

ดังนั้น ใครก็ตามที่มีความศรัทธาเลื่อมใสกราบไหว้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุญกุศลอันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะจินตนาการ หรือคาดเดาย่อมบังเกิดแก่บุคคลนั้น เพราะอานุภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมากเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ และยากที่จะนับจะประมาณว่าได้บุญเท่าไร เพราะอานุภาพของพระรัตนตรัยอยู่เหนือจินตนาการของมนุษย์ เทวดา พรหม และอรูปพรหม ผู้ใดได้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตย่อมประสบแต่ความสุขและความเจริญทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เมื่อละจากโลกนี้ไปย่อมมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป


ในครั้งพุทธกาล มีพระเถระรูปหนึ่ง ชื่อพระปุณณมาสเถระ ชีวิตในวัฏสงสารของท่านเป็นเรื่องราวที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะกว่าท่านจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้มีชาติหนึ่งท่านได้พลาดพลั้งไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งสัตว์เดรัจฉานจัดอยู่ในอบายภูมิ ๔ โดยในชาตินั้นท่านได้เกิดเป็นนก แต่นับว่าท่านมีบุญเก่าคอยสนับสนุนอยู่ จึงได้เกิดในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี

วันหนึ่ง นกมีบุญตัวนี้กำลังหาสาหร่ายอยู่ในแม่น้ำสินธุ ขณะนั้นพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเหาะผ่านมา ในเวลานั้นนกได้เห็นพระรูปกายอันงดงาม และพระรัศมีที่สว่างไสวออกจากพระวรกายของพระองค์ จึงเกิดมีจิตศรัทธาเลื่อมใส ใช้จะงอยปากคาบดอกสาหร่ายไปบูชาพระพุทธองค์ด้วยจิตที่เลื่อมใสยิ่งนัก

ด้วยอานิสงส์ผลบุญที่นกน้อยได้กระทำการบูชาในครั้งนั้น ทำให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่แค่ ๒ ภพภูมิ คือ ระหว่างภพมนุษย์กับเทวดาเท่านั้น ในกัปที่ ๑๗ แต่ภัทรกัปนี้ บุญกุศลที่กระทำการบูชาด้วยจิตที่ศรัทธาเลื่อมใส ได้ส่งผลให้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิถึง ๘ ครั้ง พอถึงภัทรกัปนี้ ท่านได้มาเกิดตรงกับยุคสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ซึ่งเป็นช่วงยุคปลายที่การปฏิบัติศาสนากำลังเสื่อมลง ท่านได้เกิดในตระกูลกุฎุมพี มีฐานะรํ่ารวย มีความพร้อมทุกอย่างทั้งข้าทาสบริวาร และความเป็นอยู่ที่สุขสบาย


ต่อมา ท่านเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส เพราะเห็นว่าชีวิตฆราวาสไม่มีสาระแก่นสาร เป็นชีวิตที่คับแคบ แม้จะมีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ก็ไม่สามารถจะนำพาตัวให้ล่วงพ้นจากความทุกข์ในสังสารวัฏไปได้ จึงเข้าไปหามารดาบิดา เพื่อขอออกบวช เมื่อบวชแล้วท่านตั้งใจรักษาศีลประพฤติปฏิบัติธรรม หลังจากละโลกในภพชาตินั้น ก็ได้ไปสู่สุคติภูมิ

มาในสมัยพุทธกาลนี้ ท่านได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ในเมืองสาวัตถี มีฐานะร่ำรวย และมีเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง คือ ในวันที่ท่านเกิด หม้อเปล่าทุกใบในบ้านกลับมีถั่วทองคำอยู่เต็มทุกใบ เมื่อเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์เช่นนี้ หมู่ญาติจึงได้ตั้งชื่อท่านว่า ปุณณมาส (ปุณณะ=เต็ม, มาส=ทอง) ให้สมกับเหตุการณ์ที่มีถั่วทองคำอยู่เต็มหม้อ เมื่อเด็กชายปุณณมาสเติบโตขึ้น ก็ได้เล่าเรียนวิชาไตรเพทของพวกพราหมณ์จนสำเร็จ

ครั้นเล่าเรียนจบแล้ว ท่านได้แต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่ง และใช้ชีวิตแบบฆราวาสผู้ครองเรือน จนกระทั่งมีบุตรคนหนึ่ง ต่อมาก็รู้สึกเบื่อหน่ายในการครองเรือน เห็นว่าไม่มีสาระแก่นสาร เนื่องจากในอดีตชาติท่านเคยบวชมาก่อน จึงมีอุปนิสัยอยากจะบวช วันหนึ่งท่านไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเพื่อฟังธรรม เมื่อปุณณมาสพราหมณ์ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ก็เข้าใจหลักในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง และรู้ว่าชีวิตของนักบวชเป็นชีวิตที่มีคุณค่ามากที่สุด จึงตัดสินใจออกบวช เมื่อบวชแล้ว พระปุณณมาสได้ทำกิจของพระใหม่ไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลย และตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์


ต่อมา อดีตภรรยาของท่านเกิดคิดถึงอดีตสามีที่จากครอบครัวมานาน และคิดจะให้ท่านลาสิกขาออกมา ก่อนออกจากบ้านนางจึงตกแต่งร่างกายให้สวยงาม แล้วไปวัดพร้อมกับบุตร นางเข้าไปหาพระปุณณมาส แล้วพูดจาเล้าโลมแสดงท่าทางยั่วยวนให้ท่านเกิดความกำหนัดยินดี

เมื่อพระเถระเห็นเหตุการณ์ดังนั้น ก็รู้ความประสงค์ของนาง ท่านต้องการให้ภรรยาเก่ารู้ว่า ท่านหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงกล่าวว่า บุคคลใดไม่มีความทะเยอทะยานทั้งในโลกนี้และโลกอื่น บุคคลนั้นเป็นผู้ที่จบไตรเพทแล้ว มีความสันโดษและมีความสำรวมแล้ว ไม่ติดอยู่ในอารมณ์ทั้งหลาย คือ ตัณหาและทิฐิ เป็นคนที่รู้แจ้งถึงความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปของโลก

ครั้นนางได้ยินคำพูดของพระเถระก็รู้ทันทีว่า ท่านหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ หมดความอาลัยรักในบุตรและภรรยาแล้ว จึงรีบขอขมาพระเถระและลากลับบ้านไป

เราจะเห็นได้ว่า การที่ได้พบเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วมีจิตศรัทธากราบไหว้ด้วยความเลื่อมใส บุญกุศลอันยิ่งใหญ่ย่อมบังเกิดขึ้น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในเพศภาวะใดก็ตาม จะเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือสัตว์เดรัจฉานก็ตาม ย่อมได้บุญใหญ่ซึ่งยากที่จะคำนวณว่าได้เท่าไร แต่ผลบุญนั้นจะอำนวยผลในทางที่ดีจนกระทั่งได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน การบูชาบุคคลผู้ควรบูชาจึงเป็นมงคลอันสูงสุด ชีวิตของผู้ที่ได้กระทำการบูชาอย่างนี้ย่อมมีแต่ความสุข ความเจริญรุ่งเรือง เมื่อละโลกแล้วย่อมมีสุคติเป็นที่ไป กระทั่งนำไปสู่ภพอันวิเศษ คือ พระนิพพาน

Cr. พระมหาเสถียร สุวณฺณโต ป.ธ.๙
ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์

วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๑ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐


นกน้อยผู้มีจิตเลื่อมใส นกน้อยผู้มีจิตเลื่อมใส Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 02:06 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.