เบื้องหลังความสุขและความสําเร็จ
“รถที่ยืมเขามาขับ ทรัพย์ที่ยืมเขามาใช้
ข้อนี้ฉันใด การได้เสวยความสุข
ซึ่งเป็นความสุขที่ผู้อื่นยื่นให้ ก็ฉันนั้น
การได้เสวยความสุข
ซึ่งเป็นความสุขที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้
หม่อมฉันไม่ปรารถนาเลย
บุญทั้งหลายที่หม่อมฉันทําเอง
จึงจะเป็นทรัพย์ที่ติดตามหม่อมฉันไปได้
หม่อมฉันลงไปในมนุษยโลกแล้ว
จะบําเพ็ญบุญกุศลให้มาก”
(สาธินราชชาดก)
การศึกษาวิชาความรู้ในทางธรรมเป็นกรณียกิจที่ควรทําควบคู่ไปกับภารกิจในชีวิตประจําวัน
เพราะคําสอนของพระพุทธองค์เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดําเนินชีวิต เป็นความรู้ที่ทําให้พ้นทุกข์
เนื่องจากเป็นปัญญาที่เกิดจากใจที่หยุดนิ่ง
ไม่ใช่เกิดจากการคิดค้นด้นเดาโดยใช้ตรรกะหรือประสบการณ์ แต่เป็นความรู้ที่เกิดจากการรู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่งทั้งปวง
ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ควรศึกษาอย่างยิ่ง เพราะยิ่งศึกษาก็ยิ่งรู้แจ้ง
ยิ่งรู้แจ้งก็ยิ่งอยากทําตนให้สะอาดบริสุทธิ์ จะได้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ
ซึ่งการศึกษาธรรมะให้ซาบซึ้งและเห็นถูกต้องตรงไปตามความเป็นจริงนั้น ต้องอาศัยใจที่หยุดนิ่งที่เกิดจากการเจริญสมาธิภาวนา
จึงจะได้ทั้งความรู้ความสุขและความบริสุทธิ์ควบคู่กันไป
มีธรรมภาษิตที่ปรากฏในสาธินราชชาดก ความว่า
“รถที่ยืมเขามาขับ ทรัพย์ที่ยืมเขามาใช้ ข้อนี้ฉันใด การได้เสวยความสุข ซึ่งเป็นความสุขที่ผู้อื่นยื่นให้ ก็ฉันนั้น การได้เสวยความสุข ซึ่งเป็นความสุขที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้หม่อมฉันไม่ปรารถนาเลย บุญทั้งหลายที่หม่อมฉันทําเองจึงจะเป็นทรัพย์ที่ติดตามหม่อมฉันไปได้ หม่อมฉันลงไปในมนุษยโลกแล้ว จะบําเพ็ญบุญกุศลให้มาก”
เรื่องของบุญนั้นไม่ใช่จะแบ่งปันให้กันได้ง่าย ๆ เหมือนปอกผลไม้แบ่งออกเป็นส่วน ๆ แล้วแจกจ่ายแบ่งปันกัน เพราะบุญนั้นใครทําใครได้ใครไม่ทําก็ไม่ได้ เหมือนการกินอาหาร คนไหนกิน คนนั้นก็อิ่ม ใครไม่ได้กินแล้วจะให้อิ่มท้องนั้นคงเป็นไปไม่ได้แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ถ้าอยากจะแบ่งบุญให้กัน ก็ต้องทําให้ถูกหลักวิชชา ที่เรียกว่าอุทิศส่วนกุศล แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เหมือนกับเราทําเองอยู่ดี เพราะบุญที่เขาอุทิศให้ เหมือนกับการขอยืมทรัพย์เขามาใช้ หรือแม้เขาจะแบ่งปันให้ก็ได้เพียงเล็กน้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการ และบางทีก็ไม่ถูกใจเราอีกด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้ดีต้องทําบุญด้วยตัวของเราเอง ไม่ต้องไปอาศัยบุญใคร ยิ่งถ้าได้สั่งสมบุญไว้มาก ๆ ก็จะได้เป็นที่พึ่งให้แก่ผู้อื่นด้วย เราเป็นนักสร้างบารมีก็ต้องดูแบบอย่างของพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายที่ท่านมุ่งมั่นสั่งสมบุญในทุกรูปแบบ ไม่นําใจไปผูกไว้กับเงื่อนไขของเวลา อารมณ์ และสถานที่ เมื่อท่านมีบุญมากแล้ว ก็เป็นที่พึ่งให้ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ดังเรื่องที่นำมาให้ศึกษากันต่อไปนี้
ในครั้งอดีตกาล พระโพธิสัตว์ได้เสวยพระชาติเป็นพระราชาพระนามว่า “สาธินะ” ในมิถิลานคร ทรงเป็นผู้ยินดีในการบริจาคทาน และประทานโอวาทแก่ชาวแว่นแคว้นว่าให้หมั่นสั่งสมบุญกุศลด้วยการให้ทานและรักษาศีลอยู่เสมอ มหาชนดํารงอยู่ในโอวาทของพระองค์ ต่างก็พากันบําเพ็ญทานและรักษาศีลเป็นประจํา เมื่อหมดอายุขัยจึงไปบังเกิดเป็นเทพบุตรและเทพธิดาในสุคติโลกสวรรค์เป็นจํานวนมาก
เมื่อเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้นมาประชุมกัน ณ สุธรรมาเทวสภา ต่างก็พรรณนาถึงคุณของพระเจ้าสาธินะ ทําให้เหล่าทวยเทพมีจิตยินดีและปรารถนาอยากจะเห็นพระเจ้าสาธินะบ้าง ท้าวสักกเทวราชจึงรับสั่งให้มาตลีเทพบุตรนําเวชยันต์ราชรถไปยังมนุษยโลกเพื่อทูลเชิญพระเจ้าสาธินะเสด็จไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มหาชนเห็นมาตลีเทพบุตรขับราชรถมีรัศมีรุ่งเรืองดังดวงจันทร์ จึงต่างพากันเข้าใจว่าวันเพ็ญคืนนี้ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริงหนอ พระจันทร์ปรากฏบนท้องฟ้าถึง ๒ ดวง แต่เมื่อราชรถเคลื่อนเข้ามาใกล้ปรากฏแก่สายตาของมหาชนอย่างชัดเจน จึงได้พากันชื่นชมว่าเป็นราชรถของเทวดาผู้มาจากสวรรค์
มาตลีเทพบุตรกระทําประทักษิณรอบพระนคร แล้วนําราชรถมาจอดตรงช่องพระแกลในวันนั้น พระราชาเสด็จออกตรวจโรงทานพร้อมกับหมู่อํามาตย์และข้าราชบริพารประทับนั่งอยู่กลางท้องพระโรง ทรงสมาทานอุโบสถศีล แล้วตรัสให้โอวาทที่ประกอบด้วยธรรม เมื่อมาตลีเทพบุตรมาถึง ก็ทูลว่า ตนเองเป็นทูตของชาวสวรรค์เดินทางมารับพระองค์เพื่อเสด็จไปเยี่ยมเยียนชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ณ สุธรรมาเทวสภา พระราชาทรงรับคําเชื้อเชิญเสด็จขึ้นประทับบนราชรถ เวชยันต์ราชรถก็เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้านำพระราชาไปสู่เทวโลกทันที เมื่อเหล่าทวยเทพได้เห็นพระราชา ต่างก็พากันชื่นชมยินดียิ่งนัก
ท้าวสักกเทวราชทรงเชื้อเชิญพระราชาให้ประทับนั่งบนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เสมอกันกับพระองค์ ทรงแบ่งเทพนครและนางเทพอัปสร พร้อมทั้งเวชยันต์ปราสาท ประทานให้พระเจ้าสาธินะครึ่งหนึ่ง เมื่อกาลเวลาล่วงไป ๗๐๐ ปีมนุษย์ พระเจ้าสาธินะยังคงประทับอยู่ในเทวโลก ขณะนั้นพระองค์ทรงเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย จึงทูลถามท้าวสักกะว่า ทำไมพระองค์จึงไม่ทรงยินดี คือไม่มีความสุขในเทวโลกเหมือนแต่ก่อน
ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า “ขอพระองค์อย่าได้กังวลพระทัยไปเลย พระชนมายุของพระองค์ยังไม่หมดสิ้นไปในตอนนี้ แต่ที่ทรงเบื่อหน่ายก็เพราะว่า พระองค์ทรงทำบุญเอาไว้น้อย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าหม่อมฉันจะแบ่งบุญให้พระองค์เอง ขอพระองค์ประทับอยู่ในเทวโลกต่อไปด้วยอานุภาพของหม่อมฉันเถิด” แต่พระเจ้าสาธินะทรงปฏิเสธ แล้วทรงดําริว่า “ยานพาหนะที่ยืมเขามาขับ ทรัพย์ที่ยืมเขามาใช้ ยังไม่ใช่เป็นของของเราโดยแท้จริง” จึงตรัสตอบท้าวสักกะว่า “หม่อมฉันมิได้ปรารถนาสุขที่เกิดจากบุญของใคร แต่หม่อมฉันอยากทําบุญด้วยตนเอง จะได้เป็นอริยทรัพย์ติดตามตัวไป” พระองค์จึงยังทรงปรารถนาที่จะกลับไปยังโลกมนุษย์ เพื่อบําเพ็ญบุญกุศลให้มากยิ่งขึ้น
ท้าวสักกะรับสั่งให้มาตลีเทพบุตรนําพระราชากลับไปสู่มิถิลานคร โดยส่งเสด็จในพระราชอุทยาน พระราชาทรงเดินจงกรมอยู่ในพระราชอุทยานนั้นเมื่อนายอุทยานเห็น ก็นําความขึ้นกราบทูลพระเจ้านารทะ ซึ่งเป็นพระราชาองค์ปัจจุบัน เมื่อพระเจ้านารทะทราบข่าวดีเช่นนั้น ก็รีบทูลเชิญเสด็จมาเข้าเฝ้าแล้วไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ
พระเจ้าสาธินะทรงจูงพระหัตถ์พระเจ้านารทะเสด็จดําเนินไปตรวจดูสถานที่ต่าง ๆ และสนทนากันถึงเรื่องในอดีตพระเจ้านารทะ ตรัสว่า “พระองค์เสด็จไปยังเทวโลก ๗๐๐ ปี บัดนี้พระประยูรญาติต่างสิ้นพระชนม์กันหมดแล้ว ส่วนหม่อมฉันนั้นเป็นหลานของพระองค์ สืบสันตติวงศ์เป็นองค์ที่ ๗ ฉะนั้น ขอให้พระองค์เสด็จเสวยพระราชสมบัติตามเดิมเถิด”
ฝ่ายพระเจ้าสาธินะทรงปฏิเสธว่า “การที่เรากลับมาในครั้งนี้มิได้ต้องการราชสมบัติเลย แต่ต้องการบําเพ็ญบุญกุศล เพื่อเป็นดุจใบเบิกทางไปสู่สวรรค์ เราจะฉลอง ๗๐๐ ปี ด้วยการบําเพ็ญมหาทาน ๗ วัน ทิพยวิมานทั้งหลายเราได้เห็นมาแล้ว ทิพยสมบัติเราก็ได้ครอบครองแล้ว แต่เราสละทิพยสมบัติอันประณีตเหล่านั้นกลับมายังโลกมนุษย์ ก็เพราะต้องการสั่งสมบุญเพียงอย่างเดียว” จากนั้นพระเจ้าสาธินะก็ทรงบริจาคทานอย่างมโหฬารตลอด ๗ วัน และในวันที่๗ นั้นเอง พระองค์ก็เสด็จสวรรคตและได้ไปเสวยสุขในเทวโลกสมดังใจปรารถนาทุกประการ
เราจะเห็นว่า บุญเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของพวกเราทั้งหลาย เราจะเข้าถึงความเป็นพระราชามหากษัตริย์ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิหรือเป็นจอมเทพในสรวงสวรรค์และได้เสวยทิพยสมบัติเป็นเวลายาวนาน ก็ต้องอาศัยบุญเป็นหลัก เพราะบุญมีอานุภาพดึงดูดแต่สิ่งดี ๆ เข้ามา ทําให้เราพบเจอแต่สิ่งที่ดีงาม และบุญจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยการสั่งสม ทั้งทางกาย วาจา ใจ ด้วยการทําทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา บุญเป็นสิ่งที่สั่งสมได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมนําแต่ความสุขและความสําเร็จมาให้ อีกทั้งยังสามารถอุทิศให้หมู่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว และสามารถแปรเปลี่ยนสภาพชีวิตให้ดีขึ้นจากที่มีทุกข์ก็จะพ้นทุกข์ ที่มีความสุขอยู่แล้วก็จะสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป
การทําบุญก็เหมือนกับการทําประกันชีวิตข้ามภพข้ามชาติ เพราะบุญเป็นเครื่องรับประกันชีวิตของเราไม่ให้ตกไปสู่อบาย และทําให้ชีวิตของเราก้าวขึ้นไปสู่ภพภูมิที่ดีดังนั้น ให้ทุกท่านหมั่นสั่งสมบุญ เพราะบุญในวันนี้ จะเป็นเหตุให้ประสบความสุข ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ทั้งที่เป็นของทิพย์ และสุขอย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน
Cr. พระมหาเสถียร สุวณฺณิโต ป.ธ.๙
ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๔ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐
มีธรรมภาษิตที่ปรากฏในสาธินราชชาดก ความว่า
“รถที่ยืมเขามาขับ ทรัพย์ที่ยืมเขามาใช้ ข้อนี้ฉันใด การได้เสวยความสุข ซึ่งเป็นความสุขที่ผู้อื่นยื่นให้ ก็ฉันนั้น การได้เสวยความสุข ซึ่งเป็นความสุขที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้หม่อมฉันไม่ปรารถนาเลย บุญทั้งหลายที่หม่อมฉันทําเองจึงจะเป็นทรัพย์ที่ติดตามหม่อมฉันไปได้ หม่อมฉันลงไปในมนุษยโลกแล้ว จะบําเพ็ญบุญกุศลให้มาก”
เรื่องของบุญนั้นไม่ใช่จะแบ่งปันให้กันได้ง่าย ๆ เหมือนปอกผลไม้แบ่งออกเป็นส่วน ๆ แล้วแจกจ่ายแบ่งปันกัน เพราะบุญนั้นใครทําใครได้ใครไม่ทําก็ไม่ได้ เหมือนการกินอาหาร คนไหนกิน คนนั้นก็อิ่ม ใครไม่ได้กินแล้วจะให้อิ่มท้องนั้นคงเป็นไปไม่ได้แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ถ้าอยากจะแบ่งบุญให้กัน ก็ต้องทําให้ถูกหลักวิชชา ที่เรียกว่าอุทิศส่วนกุศล แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เหมือนกับเราทําเองอยู่ดี เพราะบุญที่เขาอุทิศให้ เหมือนกับการขอยืมทรัพย์เขามาใช้ หรือแม้เขาจะแบ่งปันให้ก็ได้เพียงเล็กน้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการ และบางทีก็ไม่ถูกใจเราอีกด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้ดีต้องทําบุญด้วยตัวของเราเอง ไม่ต้องไปอาศัยบุญใคร ยิ่งถ้าได้สั่งสมบุญไว้มาก ๆ ก็จะได้เป็นที่พึ่งให้แก่ผู้อื่นด้วย เราเป็นนักสร้างบารมีก็ต้องดูแบบอย่างของพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายที่ท่านมุ่งมั่นสั่งสมบุญในทุกรูปแบบ ไม่นําใจไปผูกไว้กับเงื่อนไขของเวลา อารมณ์ และสถานที่ เมื่อท่านมีบุญมากแล้ว ก็เป็นที่พึ่งให้ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ดังเรื่องที่นำมาให้ศึกษากันต่อไปนี้
ในครั้งอดีตกาล พระโพธิสัตว์ได้เสวยพระชาติเป็นพระราชาพระนามว่า “สาธินะ” ในมิถิลานคร ทรงเป็นผู้ยินดีในการบริจาคทาน และประทานโอวาทแก่ชาวแว่นแคว้นว่าให้หมั่นสั่งสมบุญกุศลด้วยการให้ทานและรักษาศีลอยู่เสมอ มหาชนดํารงอยู่ในโอวาทของพระองค์ ต่างก็พากันบําเพ็ญทานและรักษาศีลเป็นประจํา เมื่อหมดอายุขัยจึงไปบังเกิดเป็นเทพบุตรและเทพธิดาในสุคติโลกสวรรค์เป็นจํานวนมาก
เมื่อเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้นมาประชุมกัน ณ สุธรรมาเทวสภา ต่างก็พรรณนาถึงคุณของพระเจ้าสาธินะ ทําให้เหล่าทวยเทพมีจิตยินดีและปรารถนาอยากจะเห็นพระเจ้าสาธินะบ้าง ท้าวสักกเทวราชจึงรับสั่งให้มาตลีเทพบุตรนําเวชยันต์ราชรถไปยังมนุษยโลกเพื่อทูลเชิญพระเจ้าสาธินะเสด็จไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มหาชนเห็นมาตลีเทพบุตรขับราชรถมีรัศมีรุ่งเรืองดังดวงจันทร์ จึงต่างพากันเข้าใจว่าวันเพ็ญคืนนี้ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริงหนอ พระจันทร์ปรากฏบนท้องฟ้าถึง ๒ ดวง แต่เมื่อราชรถเคลื่อนเข้ามาใกล้ปรากฏแก่สายตาของมหาชนอย่างชัดเจน จึงได้พากันชื่นชมว่าเป็นราชรถของเทวดาผู้มาจากสวรรค์
มาตลีเทพบุตรกระทําประทักษิณรอบพระนคร แล้วนําราชรถมาจอดตรงช่องพระแกลในวันนั้น พระราชาเสด็จออกตรวจโรงทานพร้อมกับหมู่อํามาตย์และข้าราชบริพารประทับนั่งอยู่กลางท้องพระโรง ทรงสมาทานอุโบสถศีล แล้วตรัสให้โอวาทที่ประกอบด้วยธรรม เมื่อมาตลีเทพบุตรมาถึง ก็ทูลว่า ตนเองเป็นทูตของชาวสวรรค์เดินทางมารับพระองค์เพื่อเสด็จไปเยี่ยมเยียนชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ณ สุธรรมาเทวสภา พระราชาทรงรับคําเชื้อเชิญเสด็จขึ้นประทับบนราชรถ เวชยันต์ราชรถก็เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้านำพระราชาไปสู่เทวโลกทันที เมื่อเหล่าทวยเทพได้เห็นพระราชา ต่างก็พากันชื่นชมยินดียิ่งนัก
ท้าวสักกเทวราชทรงเชื้อเชิญพระราชาให้ประทับนั่งบนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เสมอกันกับพระองค์ ทรงแบ่งเทพนครและนางเทพอัปสร พร้อมทั้งเวชยันต์ปราสาท ประทานให้พระเจ้าสาธินะครึ่งหนึ่ง เมื่อกาลเวลาล่วงไป ๗๐๐ ปีมนุษย์ พระเจ้าสาธินะยังคงประทับอยู่ในเทวโลก ขณะนั้นพระองค์ทรงเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย จึงทูลถามท้าวสักกะว่า ทำไมพระองค์จึงไม่ทรงยินดี คือไม่มีความสุขในเทวโลกเหมือนแต่ก่อน
ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า “ขอพระองค์อย่าได้กังวลพระทัยไปเลย พระชนมายุของพระองค์ยังไม่หมดสิ้นไปในตอนนี้ แต่ที่ทรงเบื่อหน่ายก็เพราะว่า พระองค์ทรงทำบุญเอาไว้น้อย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าหม่อมฉันจะแบ่งบุญให้พระองค์เอง ขอพระองค์ประทับอยู่ในเทวโลกต่อไปด้วยอานุภาพของหม่อมฉันเถิด” แต่พระเจ้าสาธินะทรงปฏิเสธ แล้วทรงดําริว่า “ยานพาหนะที่ยืมเขามาขับ ทรัพย์ที่ยืมเขามาใช้ ยังไม่ใช่เป็นของของเราโดยแท้จริง” จึงตรัสตอบท้าวสักกะว่า “หม่อมฉันมิได้ปรารถนาสุขที่เกิดจากบุญของใคร แต่หม่อมฉันอยากทําบุญด้วยตนเอง จะได้เป็นอริยทรัพย์ติดตามตัวไป” พระองค์จึงยังทรงปรารถนาที่จะกลับไปยังโลกมนุษย์ เพื่อบําเพ็ญบุญกุศลให้มากยิ่งขึ้น
ท้าวสักกะรับสั่งให้มาตลีเทพบุตรนําพระราชากลับไปสู่มิถิลานคร โดยส่งเสด็จในพระราชอุทยาน พระราชาทรงเดินจงกรมอยู่ในพระราชอุทยานนั้นเมื่อนายอุทยานเห็น ก็นําความขึ้นกราบทูลพระเจ้านารทะ ซึ่งเป็นพระราชาองค์ปัจจุบัน เมื่อพระเจ้านารทะทราบข่าวดีเช่นนั้น ก็รีบทูลเชิญเสด็จมาเข้าเฝ้าแล้วไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ
พระเจ้าสาธินะทรงจูงพระหัตถ์พระเจ้านารทะเสด็จดําเนินไปตรวจดูสถานที่ต่าง ๆ และสนทนากันถึงเรื่องในอดีตพระเจ้านารทะ ตรัสว่า “พระองค์เสด็จไปยังเทวโลก ๗๐๐ ปี บัดนี้พระประยูรญาติต่างสิ้นพระชนม์กันหมดแล้ว ส่วนหม่อมฉันนั้นเป็นหลานของพระองค์ สืบสันตติวงศ์เป็นองค์ที่ ๗ ฉะนั้น ขอให้พระองค์เสด็จเสวยพระราชสมบัติตามเดิมเถิด”
ฝ่ายพระเจ้าสาธินะทรงปฏิเสธว่า “การที่เรากลับมาในครั้งนี้มิได้ต้องการราชสมบัติเลย แต่ต้องการบําเพ็ญบุญกุศล เพื่อเป็นดุจใบเบิกทางไปสู่สวรรค์ เราจะฉลอง ๗๐๐ ปี ด้วยการบําเพ็ญมหาทาน ๗ วัน ทิพยวิมานทั้งหลายเราได้เห็นมาแล้ว ทิพยสมบัติเราก็ได้ครอบครองแล้ว แต่เราสละทิพยสมบัติอันประณีตเหล่านั้นกลับมายังโลกมนุษย์ ก็เพราะต้องการสั่งสมบุญเพียงอย่างเดียว” จากนั้นพระเจ้าสาธินะก็ทรงบริจาคทานอย่างมโหฬารตลอด ๗ วัน และในวันที่๗ นั้นเอง พระองค์ก็เสด็จสวรรคตและได้ไปเสวยสุขในเทวโลกสมดังใจปรารถนาทุกประการ
เราจะเห็นว่า บุญเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของพวกเราทั้งหลาย เราจะเข้าถึงความเป็นพระราชามหากษัตริย์ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิหรือเป็นจอมเทพในสรวงสวรรค์และได้เสวยทิพยสมบัติเป็นเวลายาวนาน ก็ต้องอาศัยบุญเป็นหลัก เพราะบุญมีอานุภาพดึงดูดแต่สิ่งดี ๆ เข้ามา ทําให้เราพบเจอแต่สิ่งที่ดีงาม และบุญจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยการสั่งสม ทั้งทางกาย วาจา ใจ ด้วยการทําทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา บุญเป็นสิ่งที่สั่งสมได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมนําแต่ความสุขและความสําเร็จมาให้ อีกทั้งยังสามารถอุทิศให้หมู่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว และสามารถแปรเปลี่ยนสภาพชีวิตให้ดีขึ้นจากที่มีทุกข์ก็จะพ้นทุกข์ ที่มีความสุขอยู่แล้วก็จะสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป
การทําบุญก็เหมือนกับการทําประกันชีวิตข้ามภพข้ามชาติ เพราะบุญเป็นเครื่องรับประกันชีวิตของเราไม่ให้ตกไปสู่อบาย และทําให้ชีวิตของเราก้าวขึ้นไปสู่ภพภูมิที่ดีดังนั้น ให้ทุกท่านหมั่นสั่งสมบุญ เพราะบุญในวันนี้ จะเป็นเหตุให้ประสบความสุข ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ทั้งที่เป็นของทิพย์ และสุขอย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน
Cr. พระมหาเสถียร สุวณฺณิโต ป.ธ.๙
ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๗๔ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐
มหาทานบารมีเพื่อที่สุดแห่งธรรม |
คลิกอ่านอานิสงส์แห่งบุญของวารสารอยู่ในบุญ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามบทความด้านล่างนี้
เบื้องหลังความสุขและความสําเร็จ
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
21:27
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: