วิธีเตรียมตัวสู่สุคติภูมิที่ดีที่สุด
มีเนื้อความที่ปรากฏในคุตติลวิมานความว่า
“วันนี้ข้าพเจ้ามาดีแล้ว เป็นบุญของข้าพเจ้าที่ได้เห็นเทพธิดาทั้งหลายมีรูปร่างผิวพรรณน่าดูน่าชม ทั้งได้ฟังธรรมอันแนะนำทางบุญกุศลจากเทพธิดาเหล่านั้นด้วย ต่อไปนี้ ข้าพเจ้าจักทำบุญกุศลให้มากกว่าเดิม ด้วยการให้ทาน ด้วยการประพฤติธรรม ด้วยการสำรวม ด้วยการฝึกตน จะได้ไปสู่สถานที่ที่ไปแล้วไม่เศร้าโศก”
การได้เห็นเทพบุตรเทพธิดาบนสวรรค์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น นับว่าเป็นบุญตาที่จะนำพาให้เกิดกำลังใจในการทำความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะบุคคลนั้นจะเชื่อมั่นอย่างสนิทใจว่า สวรรค์มีจริง เป็นทิพยสถานรองรับผู้ที่สั่งสมบุญไว้อย่างดีแล้ว และเชื่อต่อไปอีกว่าคนเราตายแล้วไม่สูญ สังขารร่างกายแม้จะถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน แต่กายมนุษย์ละเอียดจะทำหน้าที่ไปเกิด ไปแสวงหากายใหม่แสวงหาบิดามารดาคนใหม่ ซึ่งมีอายตนะใกล้เคียงกัน เช่น มีบุญและบาปที่เคยทำไว้ใกล้เคียงกัน เป็นต้น หากทำบุญไว้มากก็จะได้กายทิพย์ ได้ไปเสวยสุขอันเป็นทิพย์จนกว่าจะหมดบุญหรือหมดอายุขัย แล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสั่งสมบุญใหม่ หากบุญบารมีเต็มเปี่ยมและหมดกิเลสเมื่อไร จึงจะหยุดการเวียนว่ายตายเกิด ไปเสวยเอกันตบรมสุขในอายตนนิพพาน
การที่มนุษย์ยังประมาทและทำบาปอกุศลกันเป็นอาจิณนั้น เพราะยังไม่เชื่อมั่นว่านรกสวรรค์มีจริง หรือบางคนอาจเชื่อบ้างแต่เมื่อยังไม่เห็นด้วยตาเนื้อ จึงไม่เชื่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ การได้เห็นสวรรค์ตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท
ในครั้งอดีต พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลคนธรรพ์ เป็นอาจารย์สอนดีดพิณที่มีชื่อเสียง มีชื่อว่า คุตติละ ท่านสืบทอดวิชาดีดพิณจากคนธรรพ์ เป็นนักดีดพิณที่เก่งที่สุดในชมพูทวีป อีกทั้งมีคุณธรรมสูง คือ เป็นผู้มีความกตัญญู เลี้ยงดูมารดาบิดาผู้แก่เฒ่าและตาบอดด้วยความเต็มใจ
ด้วยเหตุที่อาจารย์คุตติละเป็นนักดีดพิณที่ไพเราะมาก ประกอบกับเป็นลูกยอดกตัญญูชื่อเสียงของท่านจึงลือกระฉ่อนขึ้นไปถึงสวรรค์ทำให้เหล่าทวยเทพอยากพบเห็น อยากสนทนาและอยากฟังเสียงพิณของท่าน ท้าวสักกเทวราชจึงมีเทวบัญชาให้มาตลีเทพบุตรจัดเวชยันตราชรถมารับท่านอาจารย์คุตติละขึ้นไปเที่ยวบนสวรรค์ มาตลีเทพสารถีจึงรีบขับเทวรถลงจากเทวโลกมารับท่านขึ้นไปบนสวรรค์
เมื่อท่านไปถึง ท้าวสักกเทวราชก็เสด็จมาต้อนรับด้วยจิตยินดี พร้อมด้วยบรรดาเทพนารี และทรงเชื้อเชิญให้อาจารย์คุตติละดีดพิณให้ฟัง ฝ่ายอาจารย์คุตติละกล่าวว่าตัวท่านเลี้ยงชีพด้วยการเป็นครูสอนดีดพิณเพราะฉะนั้นการดีดพิณของท่านจะต้องมีรางวัลเป็นเครื่องตอบแทน ท้าวสักกะตรัสถามว่า “ท่านอาจารย์ต้องการสมบัติหรือรางวัลแบบไหน เสนอมาได้เลย เรามีสมบัติมากมายพร้อมจะมอบให้ท่านอยู่แล้ว”
อาจารย์คุตติละปฏิเสธรางวัลของท้าวสักกะ แต่กลับทูลว่า “ข้าพระองค์อยากถามบุพกรรมของเทพนารีแต่ละท่านว่าทำบุญอะไรไว้ จึงได้มาเกิดบนสวรรค์ เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยทิพยสมบัติที่น่าตื่นตาตื่นใจถึงเพียงนี้” ท้าวสักกะและเหล่าเทพนารีต่างยินดีที่จะตอบปัญหาของท่าน จึงตอบตกลงทันที
เสียงพิณที่อาจารย์คุตติละดีดนั้น ก้องกังวาน สดใส ไพเราะเสนาะโสตธาตุอันเป็นทิพย์ของชาวสวรรค์ เป็นเสียงที่สามารถกล่อมชาวสวรรค์ให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลได้จริง ๆ ทำให้เหล่าเทพนารีพึงพอใจมาก เมื่ออาจารย์คุตติละบรรเลงพิณเสร็จแล้ว จึงเริ่มถามบุพกรรมของเทพธิดาแต่ละท่านว่า “ดูก่อนเทพนารี ท่านทำบุญอะไรไว้ จึงมีรัศมีกายสว่างไสวงดงามเป็นพิเศษอย่างนี้”
อาจารย์คุตติละฟังแล้วก็อนุโมทนาว่า “ท่านทำดีแล้ว ท่านมีบุญลาภที่ได้เกิดในยุคสมัยที่พระพุทธศาสนากำลังเจริญรุ่งเรือง มีเนื้อนาบุญอันเยี่ยมให้ได้สั่งสมบุญ ขอให้ท่านมีความสุขในสวรรค์นี้เถิด”
จากนั้น ท่านก็ถามเทพธิดาท่านอื่นต่อไปว่า “วิมานหลังนี้มีความพิเศษตรงที่มีกลิ่นดอกไม้สวรรค์หอมหวนตลบอบอวลไปทั่วอาณาบริเวณของวิมาน ท่านเทพนารีทำบุญอะไรไว้ จึงได้วิมานที่มีกลิ่นหอมตลอดเวลาอย่างนี้”
เทพธิดาตอบว่า “ดิฉันได้ถวายทานอยู่เป็นประจำไม่เคยขาด และยังยินดีในการรักษาศีล ไม่นอกใจสามี เคารพสามีและพ่อแม่สามีประดุจเทวดา ให้ความเคารพต่อผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูล นอกจากนี้ยังถวายดอกมะลิที่มีกลิ่นหอมแด่ภิกษุรูปหนึ่ง บุญนั้นจึงส่งผลให้ได้ทิพย์วิมานน่าปลื้มใจถึงเพียงนี้และยังทำให้กลิ่นกายหอมเหมือนดอกมะลิ”
ท่านอาจารย์ถามเทพนารีท่านถัด ๆ ไปเทพนารีแต่ละท่านตอบไปตามลำดับว่า ดิฉันได้รักษาอุโบสถ, ดิฉันได้ถวายน้ำแด่ภิกษุผู้มานั่งพักที่บ้าน, ดิฉันเป็นคนไม่มักโกรธ แม้จะถูกพ่อแม่ของสามีโกรธเคืองด่าบริภาษก็ไม่โกรธตอบ ได้ทำการปรนนิบัติดูแลท่านทั้งสองด้วยความเคารพโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก เทพธิดาองค์ถัดไปบอกว่า ดิฉันได้ถวายข้าวเจือด้วยน้ำนมแด่ภิกษุผู้ออกบิณฑบาต, ดิฉันได้ถวายน้ำอ้อย, ดิฉันได้ถวายพัดลม ถวายร่ม ถวายรองเท้า เป็นต้น
วิมานซึ่งเป็นของเฉพาะตนนั้น หากใครไม่ได้สั่งสมบุญเอาไว้ เมื่อตายไปแล้วจะเข้าไปขออาศัยอยู่ในวิมานของคนอื่นก็ไม่ได้ ผู้ที่ไม่ได้ทำบุญเอาไว้ ครั้นละโลกแล้ว จะกลายเป็นสัมภเวสีล่องลอยไปโดยไม่มีวิมานสิงสถิตบางทีต้องอาศัยศาลเจ้าเล็ก ๆ เป็นที่อาศัย
ดังนั้น เราจึงต้องเป็นเจ้าของทิพย์วิมานด้วยตัวของเราเอง เมื่อเราสั่งสมบุญใดไว้ บุญนั้นไม่ได้หายไปไหน จะกลั่นเป็นดวงบุญติดอยู่กลางกายของทุก ๆ กาย ก่อเกิดเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติ รอคอยวันเวลาที่สมควรจะให้ผล ขอให้ทุกท่านเชื่อมั่นในบุญและหมั่นสั่งสมบุญ เพราะการสั่งสมบุญคือการเตรียมตัวเดินทางสู่สุคติภูมิที่ดีที่สุด บุญจะได้หนุนนำให้เราประสบความสุขและความสำเร็จทั้งในภพชาตินี้ ภพชาติหน้า และทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรม
Cr. พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ.๙
ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๘๐ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๘๐ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
วิธีเตรียมตัวสู่สุคติภูมิที่ดีที่สุด
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
00:37
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: