นักโทษแห่งวัฏสงสาร ตอนที่ ๗ ใคร คือผู้สร้างคุก - สร้างกิเลส
พระธรรมเทศนา
นักโทษแห่งวัฏสงสาร
พระธรรมเทศนาโดยหลวงพ่อทัตตชีโว
ในรายการ “โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่อง DMC
(Dhammakaya Media Channel) วันพฤหัสบดีที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
------------------------------------------
๑. ใครคือผู้สร้างกิเลสควบคุมใจ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบอกไว้ว่า “ใครเป็นผู้สร้างกิเลส” แต่ทรงบอกว่า“กิเลสเป็นสิ่งที่มองเห็นได้และกำจัดได้ด้วยอำนาจแห่งญาณทัสสนะ” ที่เรียกว่า “วิชชา ๓” ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงทุ่มเทให้กับการสอน “วิธีปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘” ซึ่งเป็นวิธีบำเพ็ญเพียรที่ทำให้มองเห็นกิเลสและกำจัดกิเลสได้ พร้อมทั้งยังทรงกำชับด้วยว่าเมื่อใดที่สามารถมองเห็นกิเลส เมื่อนั้นก็จะมีโอกาสกำจัดกิเลสได้ จากนั้นจึงค่อยไปตามหาว่า ใครเป็นผู้สร้างกิเลส อุปมาเหมือนกับคนที่ถูกลูกศรอาบยาพิษยิงเข้าที่หน้าอกก็ต้องหาทางถอนลูกศรอาบยาพิษ เยียวยารักษาชีวิตให้ปลอดภัยก่อน จากนั้นจึงค่อยไปตามหาว่า เจ้าของลูกศรเป็นใคร อยู่ที่ไหน ลอบทำร้ายเราด้วยเหตุใด ดังที่กล่าวไว้แล้วก่อนหน้านี้
ในพระไตรปิฎกยังมีข้อมูลหลักฐานหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งแม้จะไม่ได้ระบุว่า ใครเป็นผู้สร้างกิเลส แต่ก็ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้กิเลสควบคุมจิตใจมนุษย์ไว้อย่างน่าสนใจโดยมีปรากฏอยู่ในมหาสมยสูตร๑ ซึ่งมีเนื้อหาโดยย่อดังนี้
ในวันนั้น มีการประชุมครั้งใหญ่ของเหล่าเทวดาจำนวนมากจาก ๑๐ โลกธาตุ หรือ ๑๐,๐๐๐ จักรวาล (๑ โลกธาตุ ประกอบด้วย ๑,๐๐๐ จักรวาล) เพื่อมาเฝ้าชมพระบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะประทับอยู่กับเหล่าพระอรหันตสาวกประมาณ ๕๐๐ รูป ที่ป่ามหาวัน เขตกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้พระอรหันต์ทราบว่า มีเทวดากลุ่มใด จากสวรรค์ชั้นใด รูปร่างเป็นอย่างไร จำนวนเท่าไร มาเข้าเฝ้า ก็มาถึงกลุ่มสุดท้าย ซึ่งเป็นกองทัพเสนามารในเบื้องต้น
พระพุทธองค์ได้ตรัสกับเหล่าเทวดาทั้งหลายว่า “จงดูความโง่เขลาของกัณหมารผู้พยายามใช้ราคะรัดรึงใจพระอรหันต์ แต่สุดท้ายก็ต้องพบกับความล้มเหลว พากันยกกองทัพมารกลับไปด้วยความโกรธเกรี้ยว” ดังหลักฐานต่อไปนี้
เมื่อเสนามารมาถึง พระศาสดาได้ตรัสกับพวกเทพทั้งหมดเหล่านั้น พร้อมทั้งพระอินทร์และพระพรหมผู้ประชุมกันอยู่ จงดูความโง่เขลาของกัณหมาร มหาเสนามารได้ส่งเสนามารไปในที่ประชุมใหญ่ของเหล่าเทพด้วยคำว่า “พวกท่านจงไปจับหมู่เทพผูกไว้ พวกท่านจงผูกไว้ด้วยราคะเถิด จงล้อมไว้ทุกด้าน ใคร ๆ อย่าได้ปล่อยให้ผู้ใดหลุดพ้นไป” แล้วก็เอาฝ่ามือตบแผ่นดิน ทำเสียงน่ากลัว (แต่) ในเวลานั้นไม่อาจทำให้ใครตกอยู่ในอำนาจได้ จึงกลับไปทั้งที่เกรี้ยวโกรธเหมือนเมฆฝนที่บันดาลให้ฝนตกฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ฉะนั้น๑
จากนั้น พระพุทธองค์ก็ตรัสกับพระอรหันต์ทั้งหลายว่า “พญามารได้ยกกองทัพมาแล้ว จงทำความรู้จักพวกมารด้วยอำนาจแห่งญาณทัสสนะ” พระอรหันต์รับทราบรับสั่งแล้วก็พากันเจริญภาวนาใช้ญาณทัสสนะตรวจดูกองทัพมารที่กำลังยกพลกลับไป ฝ่ายพญามารเมื่อรู้ตัวว่าพระอรหันต์มองเห็นพวกตนแล้ว ก็กล่าวยอมรับว่า “พระสาวกของพระองค์เป็นฝ่ายชนะกิเลสมารได้แล้ว” ดังมีหลักฐานปรากฏดังนี้
พระศาสดาผู้มีพระจักษุทรงทราบเหตุทั้งหมด ทรงกำหนดแล้ว จึงรับสั่งเรียกพระสาวกผู้ยินดีในศาสนามาตรัสว่า ‘ภิกษุทั้งหลาย เสนามารมุ่งมากันแล้ว พวกเธอจงรู้จักพวกเขา’ ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้วพากันทำความเพียร เสนามารหลีกไปจากเหล่าภิกษุผู้ปราศจากราคะ ไม่อาจแม้ทำขนของภิกษุเหล่านั้นให้ไหวได้ (พญามารกล่าวสรรเสริญว่า) ‘หมู่พระสาวกของพระพุทธเจ้าชนะสงครามแล้วทั้งสิ้น ล่วงพ้นความหวาดกลัว มียศปรากฏอยู่ในหมู่ชน บันเทิงอยู่กับภูต๒ ทั้งหลาย’๓
จากข้อมูลที่มีอยู่ในมหาสมยสูตรนี้ ย่อมเป็นหลักฐานให้พวกเราได้รู้ว่า พญามารคือ ผู้กระตุ้นกิเลสให้กำเริบเสิบสานขึ้นในใจมนุษย์ เพื่อจะได้ควบคุมมนุษย์ให้ติดอยู่ในคุกแห่งวัฏสงสารไปตลอดกาล แม้พระอรหันต์ผู้กำจัดกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว พญามารก็ยังพยายามจะควบคุมบีบคั้นพระอรหันต์ให้กลับมาเป็นนักโทษในวัฏสงสารอีกครั้งให้ได้
พญามารไม่ยอมยกเว้นให้ใครหลุดพ้นจากความเป็นบ่าวเป็นทาสของกิเลสไปได้โดยง่าย แม้แต่พระอรหันต์ผู้ดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว ก็ยังตามรังควานราวีไม่ลดละ นี่คือตัวอย่างความร้ายกาจของพญามาร ผู้พยายามควบคุมใจมนุษย์ด้วยกิเลส อันเป็นข้อสังเกตที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ซึ่งจะต้องอาศัยการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อไปรู้ไปเห็นด้วยญาณทัสสนะของตนเองกันต่อไป
๒. ใครคือผู้ควบคุมวัฏสงสาร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบอกไว้ว่า ใครเป็นผู้สร้างวัฏสงสาร ทรงพบแต่เพียงว่า วัฏสงสารมีมายาวนานก่อนที่ทรงตรัสรู้เสียอีก ยิ่งกว่านั้นยังทรงพบว่า ในเวลาใดที่จะมีผู้หลุดพ้นออกจากวัฏสงสาร จะมีผู้แสดงตัวออกมาขัดขวางการบรรลุมรรค ผลนิพพาน ในทันที นั่นคือ “พญามาร”
ในพระไตรปิฎกมีบันทึกเรื่องพญามารอยู่หลายแห่ง ซึ่งสรุปได้ว่าพญามารปรากฏตัวให้เห็นอยู่ ๔ วาระ คือ
วาระแรก ก่อนการตรัสรู้ธรรม มารปรากฏตัวเพื่อขัดขวางการตรัสรู้ธรรมของพระโพธิสัตว์ โดยใช้วิชามารสารพัด ตั้งแต่ใช้อิทธิพลข่มขู่ ใช้การทวงสิทธิ์ และใช้กลมารยาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
วาระที่สอง หลังการตรัสรู้ธรรม มารปรากฏตัวเพื่อขอให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน
เรื่องนี้มีหลักฐานปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร๑ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ ๕ หลังการตรัสรู้ธรรม พระพุทธองค์ตรัสเล่าเรื่องนี้กับพระอานนท์ว่า มารเข้าไปหาพระองค์ แล้วกล่าวว่า “ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงปรินิพพาน” แต่พระองค์ก็ตรัสตอบมารโดยมีสาระสำคัญว่า “ตราบใดที่พระพุทธศาสนายังไม่เป็นปึกแผ่นแพร่หลายกว้างไกล เหล่าเทวดาและมนุษย์ยังไม่เชี่ยวชาญในการประกาศพระศาสนา ก็จะยังไม่ปรินิพพาน” เมื่อได้ฟังพระดำรัสตอบเช่นนั้นแล้ว มารก็จากไปด้วยความคิดว่าพระพุทธดำรัสครั้งนี้ คือการให้สัญญาของพระพุทธองค์
แต่ทว่าในระหว่างที่พระองค์ทรงทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อพาชาวโลกแหกคุกออกจากวัฏสงสารอยู่นั้น มารก็ยังตามรังควานขัดขวางทั้งพระองค์และทีมงานคือ เหล่าพระอรหันต์ (ภิกษุผู้สามารถแหกคุกแห่งวัฏสงสารตามคำสอนของพระพุทธองค์ได้สำเร็จแล้ว) อยู่ทุกวิถีทาง เช่น นำวิบากกรรมเก่าในอดีตชาติของพระพุทธองค์สมัยเป็นพระโพธิสัตว์มาตามเล่นงานพระองค์บ้าง๒ แอบเข้าไปอยู่ในท้องพระมหาโมคคัลลานะบ้าง๑ ไปดลใจชาวบ้านไม่ให้ตักบาตรพระพุทธองค์บ้าง๒ ไปดลใจผู้อื่นให้มาตามรังควานเข่นฆ่าพระองค์บ้าง๓ เป็นต้น
วาระที่สาม ขณะตรัสแสดงธรรมแก่กลุ่มบุคคลที่ยังขาดเหตุแห่งการบรรลุมรรคผล เช่น ในกรณีของกลุ่มปริพาชกที่กำลังฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ อาจจะมีบางคนตรัสรู้ธรรมได้บ้าง มารจึงดลใจปริพาชกเหล่านั้นให้นั่งนิ่งเงียบ ไร้ความคิดและปฏิภาณ พระพุทธองค์จึงทรงรู้ว่า ปริพาชกเหล่านั้นถูกมารใจบาปดลใจ แต่เนื่องจากทรงรู้แล้วว่า ปริพาชกเหล่านั้นไม่มีเหตุแห่งการบรรลุ มรรค ผล ในโอกาสนี้ จึงมิได้ทรงห้ามมาร ครั้นแล้วทรงบันลือสีหนาท ทรงเหาะขึ้นสู่อากาศ เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์๔
วาระที่สี่ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใกล้ปรินิพพาน เหลือเวลาอีก ๓ เดือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงมีพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา มารได้ปรากฏตัวขึ้นเพื่อทวงสัญญาที่ให้ไว้ในช่วงแรกตรัสรู้ใหม่ ๆ เมื่อ ๔๕ ปีก่อน โดยทูลว่า “บัดนี้พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาได้มั่นคงดีแล้ว ถึงเวลาต้องปรินิพพานแล้ว” เป็นสาเหตุให้พระองค์ต้องทรงปลงอายุสังขารตามที่ได้ทรงลั่นวาจาไว้กับมาร ทำให้เกิดแผ่นดินไหวไปทั้งโลก สั่นสะเทือนไปถึงเทวโลกจนกลองทิพย์ระบือลั่น๕
จากพฤติกรรมดังกล่าวของมาร ที่มีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎกนั้น ย่อมแสดงให้เราเห็นว่า มารไม่ต้องการให้ใครหลุดพ้นไปจากวัฏสงสารได้เลยแม้แต่คนเดียว พยายามปิดบังหนทางสายเดียว คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ที่จะเอื้อให้สามารถแหกคุกออกจากวัฏสงสารได้สำเร็จไว้ตลอดเวลา ส่วนใครที่รู้แล้ว หลุดพ้นไปแล้ว มารก็รีบขับไล่ให้เข้านิพพานไป ไม่ยอมให้มีเวลาเปิดโปงความจริงของโลกและชีวิตได้มากนัก
ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า มารนั้นทั้งเกลียดทั้งกลัวพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชนิดเข้ากระดูกดำ เกลียด เพราะทำอันตรายใด ๆ พระพุทธองค์ไม่ได้ จึงต้องหาทางขัดขวางการทำงานเผยแผ่ด้วยวิชามารทุกหนทาง กลัว เพราะหากปล่อยให้พระพุทธองค์ทรงมีพระชนมชีพอยู่นานเท่าไร ก็จะพานักโทษแหกคุกออกไปจากวัฏสงสารมากเท่านั้นจึงต้องเร่งเร้าให้พระองค์เข้านิพพานเสีย
จากความเกลียดและความกลัวของมารนี้เอง ถ้าได้สังเกตพิจารณาใคร่ครวญถึงสภาพการณ์ต่าง ๆ ครั้งพุทธกาล และสภาวการณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เราก็จะพบความจริงว่า มารพยายามทั้งขับไล่ ทั้งขัดขวาง ทั้งตามทำร้ายทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้พระพุทธองค์ทรงทำงานเผยแผ่ได้สะดวก เพื่อไม่ให้พระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้นในโลกนี้ และเพื่อทำลายพระพุทธศาสนาให้หมดสิ้นไปจากโลกอีกด้วย
เพราะฉะนั้น จากพฤติกรรมต่าง ๆ ของมาร ตามข้อสังเกตจากหลักฐานที่ถูกบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎก ซึ่งพระองค์ทรงบอกว่าเป็นเพียงธรรมะเบื้องต้น ย่อมสรุปได้ว่า
๑. มาร คือ ผู้ใช้กิเลสควบคุมใจมนุษย์
๒. มาร คือ ผู้ควบคุมคุกแห่งวัฏสงสาร
สำหรับเรื่องที่จะไปรู้ความจริงต่าง ๆ ในวัฏสงสารอันเป็นธรรมที่ทรงตรัสรู้แต่ไม่ตรัสสอนนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำให้ได้ คือ การปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ จนกระทั่งบรรลุวิชชา ๓ ให้ได้เสียก่อน เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษาความจริงเรื่องอื่น ๆเช่น มารมีความเป็นมาอย่างไร กฎแห่งกรรมกับกฎไตรลักษณ์มีที่มาอย่างไร การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารมีที่มาอย่างไร ปฐมชาติแห่งการเกิดของมนุษย์มีที่มาอย่างไรเป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะมีโอกาสบรรลุวิชชา ๓ ได้นั้นจำเป็นต้องบำเพ็ญภาวนา โดยยึดหลักปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ดังนี้ “หนัง เอ็น และกระดูกจงเหือดแห้งไปเถิด เนื้อและเลือดในสรีระของเราจงเหือดแห้งไปก็ตามที เมื่อเรายังไม่บรรลุผลที่พึงบรรลุด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักไม่หยุดความเพียรนั้น”๑
บุคคลที่ทำตามพระดำรัสนี้ได้จริงในยุคของพวกเรา และพวกเราต่างก็คุ้นกับท่านนั่นคือ พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญผู้เป็นมหาปูชนียาจารย์ของพวกเรานั่นเอง ส่วนพวกเราเมื่อยังทำไม่ได้เหมือนกับท่านก็ให้ตรึกระลึกท่านไว้เป็นกำลังใจ แล้วก็ตั้งใจปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ กันต่อไปโดยไม่ย่อท้อ สักวันหนึ่งเมื่อบารมีเต็มเปี่ยม เราย่อมทำได้เหมือนดั่งท่าน สำหรับพวกเราที่เป็นนักสร้างบารมี ซึ่งบัดนี้ก็รู้ตัวแล้วว่า เรากำลังเป็นนักโทษติดอยู่ในคุกคือวัฏสงสารจึงจำเป็นต้องรู้ว่า ตนควรดำเนินชีวิตบนเส้นทางนักสร้างบารมีต่อไปอย่างไร จึงจะมีโอกาสบรรลุวิชชา ๓ มีโอกาสตรัสรู้อริยสัจ ๔ มีโอกาสไปศึกษาความจริงเพื่อการบรรลุที่สุดแห่งธรรมต่อไป..
๑.มหาสมยสูตร, ที.ม. ๑๐/๓๓๑-๓๔๓/๒๕๙-๒๗๒ (มจร.)
๑.มหาสมยสูตร, ที.ม. ๑๐/๓๔๒/๒๗๑ (มจร.)
๒.ภูต ในที่นี้ เป็นคำเรียกที่พญามารใช้เรียกพระอริยบุคคลในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ที.ม.อ. ๓๔๓/๓๑๐)
๓.มหาสมยสูตร. ที.ม. ๑๐/๓๔๓/๒๗๑-๒๗๒ (มจร.)
๑.มหาปรินิพพานสูตร. ที.ม. ๑๓/๑๐๒/๒๘๕ (มมร.)
๒.วิบากกรรมของพระพุทธองค์ ๑๒ อย่าง, ขุ.อป.อ. ๗๐/๑/๒๑๓-๒๓๖ (มมร.)
๑.มารตัชชนียสูตร, ม.มู. ๑๙/๕๕๗/๔๖๕ (มมร.)
๒.ปิณฑิกสูตร, สํ.ส. ๒๕/๔๖๗/๔๕ (มมร.)
๓.พระเทวทัตส่งคนไปลอบปลงพระชนม์พระศาสดา, วิ.จู. ๙/๓๖๘/๒๘๙ (มมร.)
๔.อุทุมพริกสูตร, ที.ปา. ๑๕/๓๒/๘๐ (มมร.)
๕.มหาปรินิพพานสูตร, ที.ม. ๑๓/๙๕/๒๗๘-๒๘๐ (มมร.)
๑.กีฎาคิริสูตร, ม.ม. ๑๓/๑๘๔/๒๑๓ (มจร.)
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๓๓ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖
นักโทษแห่งวัฏสงสาร
ตอนที่ ๗
ใครคือผู้สร้างคุก - สร้างกิเลส
-----------------------------------
นักโทษแห่งวัฏสงสาร
พระธรรมเทศนาโดยหลวงพ่อทัตตชีโว
ในรายการ “โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่อง DMC
(Dhammakaya Media Channel) วันพฤหัสบดีที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
------------------------------------------
๑. ใครคือผู้สร้างกิเลสควบคุมใจ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบอกไว้ว่า “ใครเป็นผู้สร้างกิเลส” แต่ทรงบอกว่า“กิเลสเป็นสิ่งที่มองเห็นได้และกำจัดได้ด้วยอำนาจแห่งญาณทัสสนะ” ที่เรียกว่า “วิชชา ๓” ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงทุ่มเทให้กับการสอน “วิธีปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘” ซึ่งเป็นวิธีบำเพ็ญเพียรที่ทำให้มองเห็นกิเลสและกำจัดกิเลสได้ พร้อมทั้งยังทรงกำชับด้วยว่าเมื่อใดที่สามารถมองเห็นกิเลส เมื่อนั้นก็จะมีโอกาสกำจัดกิเลสได้ จากนั้นจึงค่อยไปตามหาว่า ใครเป็นผู้สร้างกิเลส อุปมาเหมือนกับคนที่ถูกลูกศรอาบยาพิษยิงเข้าที่หน้าอกก็ต้องหาทางถอนลูกศรอาบยาพิษ เยียวยารักษาชีวิตให้ปลอดภัยก่อน จากนั้นจึงค่อยไปตามหาว่า เจ้าของลูกศรเป็นใคร อยู่ที่ไหน ลอบทำร้ายเราด้วยเหตุใด ดังที่กล่าวไว้แล้วก่อนหน้านี้
ในพระไตรปิฎกยังมีข้อมูลหลักฐานหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งแม้จะไม่ได้ระบุว่า ใครเป็นผู้สร้างกิเลส แต่ก็ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้กิเลสควบคุมจิตใจมนุษย์ไว้อย่างน่าสนใจโดยมีปรากฏอยู่ในมหาสมยสูตร๑ ซึ่งมีเนื้อหาโดยย่อดังนี้
ในวันนั้น มีการประชุมครั้งใหญ่ของเหล่าเทวดาจำนวนมากจาก ๑๐ โลกธาตุ หรือ ๑๐,๐๐๐ จักรวาล (๑ โลกธาตุ ประกอบด้วย ๑,๐๐๐ จักรวาล) เพื่อมาเฝ้าชมพระบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะประทับอยู่กับเหล่าพระอรหันตสาวกประมาณ ๕๐๐ รูป ที่ป่ามหาวัน เขตกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้พระอรหันต์ทราบว่า มีเทวดากลุ่มใด จากสวรรค์ชั้นใด รูปร่างเป็นอย่างไร จำนวนเท่าไร มาเข้าเฝ้า ก็มาถึงกลุ่มสุดท้าย ซึ่งเป็นกองทัพเสนามารในเบื้องต้น
พระพุทธองค์ได้ตรัสกับเหล่าเทวดาทั้งหลายว่า “จงดูความโง่เขลาของกัณหมารผู้พยายามใช้ราคะรัดรึงใจพระอรหันต์ แต่สุดท้ายก็ต้องพบกับความล้มเหลว พากันยกกองทัพมารกลับไปด้วยความโกรธเกรี้ยว” ดังหลักฐานต่อไปนี้
เมื่อเสนามารมาถึง พระศาสดาได้ตรัสกับพวกเทพทั้งหมดเหล่านั้น พร้อมทั้งพระอินทร์และพระพรหมผู้ประชุมกันอยู่ จงดูความโง่เขลาของกัณหมาร มหาเสนามารได้ส่งเสนามารไปในที่ประชุมใหญ่ของเหล่าเทพด้วยคำว่า “พวกท่านจงไปจับหมู่เทพผูกไว้ พวกท่านจงผูกไว้ด้วยราคะเถิด จงล้อมไว้ทุกด้าน ใคร ๆ อย่าได้ปล่อยให้ผู้ใดหลุดพ้นไป” แล้วก็เอาฝ่ามือตบแผ่นดิน ทำเสียงน่ากลัว (แต่) ในเวลานั้นไม่อาจทำให้ใครตกอยู่ในอำนาจได้ จึงกลับไปทั้งที่เกรี้ยวโกรธเหมือนเมฆฝนที่บันดาลให้ฝนตกฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ฉะนั้น๑
จากนั้น พระพุทธองค์ก็ตรัสกับพระอรหันต์ทั้งหลายว่า “พญามารได้ยกกองทัพมาแล้ว จงทำความรู้จักพวกมารด้วยอำนาจแห่งญาณทัสสนะ” พระอรหันต์รับทราบรับสั่งแล้วก็พากันเจริญภาวนาใช้ญาณทัสสนะตรวจดูกองทัพมารที่กำลังยกพลกลับไป ฝ่ายพญามารเมื่อรู้ตัวว่าพระอรหันต์มองเห็นพวกตนแล้ว ก็กล่าวยอมรับว่า “พระสาวกของพระองค์เป็นฝ่ายชนะกิเลสมารได้แล้ว” ดังมีหลักฐานปรากฏดังนี้
พระศาสดาผู้มีพระจักษุทรงทราบเหตุทั้งหมด ทรงกำหนดแล้ว จึงรับสั่งเรียกพระสาวกผู้ยินดีในศาสนามาตรัสว่า ‘ภิกษุทั้งหลาย เสนามารมุ่งมากันแล้ว พวกเธอจงรู้จักพวกเขา’ ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้วพากันทำความเพียร เสนามารหลีกไปจากเหล่าภิกษุผู้ปราศจากราคะ ไม่อาจแม้ทำขนของภิกษุเหล่านั้นให้ไหวได้ (พญามารกล่าวสรรเสริญว่า) ‘หมู่พระสาวกของพระพุทธเจ้าชนะสงครามแล้วทั้งสิ้น ล่วงพ้นความหวาดกลัว มียศปรากฏอยู่ในหมู่ชน บันเทิงอยู่กับภูต๒ ทั้งหลาย’๓
จากข้อมูลที่มีอยู่ในมหาสมยสูตรนี้ ย่อมเป็นหลักฐานให้พวกเราได้รู้ว่า พญามารคือ ผู้กระตุ้นกิเลสให้กำเริบเสิบสานขึ้นในใจมนุษย์ เพื่อจะได้ควบคุมมนุษย์ให้ติดอยู่ในคุกแห่งวัฏสงสารไปตลอดกาล แม้พระอรหันต์ผู้กำจัดกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว พญามารก็ยังพยายามจะควบคุมบีบคั้นพระอรหันต์ให้กลับมาเป็นนักโทษในวัฏสงสารอีกครั้งให้ได้
พญามารไม่ยอมยกเว้นให้ใครหลุดพ้นจากความเป็นบ่าวเป็นทาสของกิเลสไปได้โดยง่าย แม้แต่พระอรหันต์ผู้ดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว ก็ยังตามรังควานราวีไม่ลดละ นี่คือตัวอย่างความร้ายกาจของพญามาร ผู้พยายามควบคุมใจมนุษย์ด้วยกิเลส อันเป็นข้อสังเกตที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ซึ่งจะต้องอาศัยการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อไปรู้ไปเห็นด้วยญาณทัสสนะของตนเองกันต่อไป
๒. ใครคือผู้ควบคุมวัฏสงสาร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบอกไว้ว่า ใครเป็นผู้สร้างวัฏสงสาร ทรงพบแต่เพียงว่า วัฏสงสารมีมายาวนานก่อนที่ทรงตรัสรู้เสียอีก ยิ่งกว่านั้นยังทรงพบว่า ในเวลาใดที่จะมีผู้หลุดพ้นออกจากวัฏสงสาร จะมีผู้แสดงตัวออกมาขัดขวางการบรรลุมรรค ผลนิพพาน ในทันที นั่นคือ “พญามาร”
ในพระไตรปิฎกมีบันทึกเรื่องพญามารอยู่หลายแห่ง ซึ่งสรุปได้ว่าพญามารปรากฏตัวให้เห็นอยู่ ๔ วาระ คือ
วาระแรก ก่อนการตรัสรู้ธรรม มารปรากฏตัวเพื่อขัดขวางการตรัสรู้ธรรมของพระโพธิสัตว์ โดยใช้วิชามารสารพัด ตั้งแต่ใช้อิทธิพลข่มขู่ ใช้การทวงสิทธิ์ และใช้กลมารยาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
วาระที่สอง หลังการตรัสรู้ธรรม มารปรากฏตัวเพื่อขอให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน
เรื่องนี้มีหลักฐานปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร๑ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ ๕ หลังการตรัสรู้ธรรม พระพุทธองค์ตรัสเล่าเรื่องนี้กับพระอานนท์ว่า มารเข้าไปหาพระองค์ แล้วกล่าวว่า “ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงปรินิพพาน” แต่พระองค์ก็ตรัสตอบมารโดยมีสาระสำคัญว่า “ตราบใดที่พระพุทธศาสนายังไม่เป็นปึกแผ่นแพร่หลายกว้างไกล เหล่าเทวดาและมนุษย์ยังไม่เชี่ยวชาญในการประกาศพระศาสนา ก็จะยังไม่ปรินิพพาน” เมื่อได้ฟังพระดำรัสตอบเช่นนั้นแล้ว มารก็จากไปด้วยความคิดว่าพระพุทธดำรัสครั้งนี้ คือการให้สัญญาของพระพุทธองค์
แต่ทว่าในระหว่างที่พระองค์ทรงทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อพาชาวโลกแหกคุกออกจากวัฏสงสารอยู่นั้น มารก็ยังตามรังควานขัดขวางทั้งพระองค์และทีมงานคือ เหล่าพระอรหันต์ (ภิกษุผู้สามารถแหกคุกแห่งวัฏสงสารตามคำสอนของพระพุทธองค์ได้สำเร็จแล้ว) อยู่ทุกวิถีทาง เช่น นำวิบากกรรมเก่าในอดีตชาติของพระพุทธองค์สมัยเป็นพระโพธิสัตว์มาตามเล่นงานพระองค์บ้าง๒ แอบเข้าไปอยู่ในท้องพระมหาโมคคัลลานะบ้าง๑ ไปดลใจชาวบ้านไม่ให้ตักบาตรพระพุทธองค์บ้าง๒ ไปดลใจผู้อื่นให้มาตามรังควานเข่นฆ่าพระองค์บ้าง๓ เป็นต้น
วาระที่สาม ขณะตรัสแสดงธรรมแก่กลุ่มบุคคลที่ยังขาดเหตุแห่งการบรรลุมรรคผล เช่น ในกรณีของกลุ่มปริพาชกที่กำลังฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ อาจจะมีบางคนตรัสรู้ธรรมได้บ้าง มารจึงดลใจปริพาชกเหล่านั้นให้นั่งนิ่งเงียบ ไร้ความคิดและปฏิภาณ พระพุทธองค์จึงทรงรู้ว่า ปริพาชกเหล่านั้นถูกมารใจบาปดลใจ แต่เนื่องจากทรงรู้แล้วว่า ปริพาชกเหล่านั้นไม่มีเหตุแห่งการบรรลุ มรรค ผล ในโอกาสนี้ จึงมิได้ทรงห้ามมาร ครั้นแล้วทรงบันลือสีหนาท ทรงเหาะขึ้นสู่อากาศ เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์๔
วาระที่สี่ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใกล้ปรินิพพาน เหลือเวลาอีก ๓ เดือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงมีพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา มารได้ปรากฏตัวขึ้นเพื่อทวงสัญญาที่ให้ไว้ในช่วงแรกตรัสรู้ใหม่ ๆ เมื่อ ๔๕ ปีก่อน โดยทูลว่า “บัดนี้พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาได้มั่นคงดีแล้ว ถึงเวลาต้องปรินิพพานแล้ว” เป็นสาเหตุให้พระองค์ต้องทรงปลงอายุสังขารตามที่ได้ทรงลั่นวาจาไว้กับมาร ทำให้เกิดแผ่นดินไหวไปทั้งโลก สั่นสะเทือนไปถึงเทวโลกจนกลองทิพย์ระบือลั่น๕
จากพฤติกรรมดังกล่าวของมาร ที่มีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎกนั้น ย่อมแสดงให้เราเห็นว่า มารไม่ต้องการให้ใครหลุดพ้นไปจากวัฏสงสารได้เลยแม้แต่คนเดียว พยายามปิดบังหนทางสายเดียว คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ที่จะเอื้อให้สามารถแหกคุกออกจากวัฏสงสารได้สำเร็จไว้ตลอดเวลา ส่วนใครที่รู้แล้ว หลุดพ้นไปแล้ว มารก็รีบขับไล่ให้เข้านิพพานไป ไม่ยอมให้มีเวลาเปิดโปงความจริงของโลกและชีวิตได้มากนัก
ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า มารนั้นทั้งเกลียดทั้งกลัวพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชนิดเข้ากระดูกดำ เกลียด เพราะทำอันตรายใด ๆ พระพุทธองค์ไม่ได้ จึงต้องหาทางขัดขวางการทำงานเผยแผ่ด้วยวิชามารทุกหนทาง กลัว เพราะหากปล่อยให้พระพุทธองค์ทรงมีพระชนมชีพอยู่นานเท่าไร ก็จะพานักโทษแหกคุกออกไปจากวัฏสงสารมากเท่านั้นจึงต้องเร่งเร้าให้พระองค์เข้านิพพานเสีย
จากความเกลียดและความกลัวของมารนี้เอง ถ้าได้สังเกตพิจารณาใคร่ครวญถึงสภาพการณ์ต่าง ๆ ครั้งพุทธกาล และสภาวการณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เราก็จะพบความจริงว่า มารพยายามทั้งขับไล่ ทั้งขัดขวาง ทั้งตามทำร้ายทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้พระพุทธองค์ทรงทำงานเผยแผ่ได้สะดวก เพื่อไม่ให้พระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้นในโลกนี้ และเพื่อทำลายพระพุทธศาสนาให้หมดสิ้นไปจากโลกอีกด้วย
เพราะฉะนั้น จากพฤติกรรมต่าง ๆ ของมาร ตามข้อสังเกตจากหลักฐานที่ถูกบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎก ซึ่งพระองค์ทรงบอกว่าเป็นเพียงธรรมะเบื้องต้น ย่อมสรุปได้ว่า
๑. มาร คือ ผู้ใช้กิเลสควบคุมใจมนุษย์
๒. มาร คือ ผู้ควบคุมคุกแห่งวัฏสงสาร
สำหรับเรื่องที่จะไปรู้ความจริงต่าง ๆ ในวัฏสงสารอันเป็นธรรมที่ทรงตรัสรู้แต่ไม่ตรัสสอนนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำให้ได้ คือ การปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ จนกระทั่งบรรลุวิชชา ๓ ให้ได้เสียก่อน เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษาความจริงเรื่องอื่น ๆเช่น มารมีความเป็นมาอย่างไร กฎแห่งกรรมกับกฎไตรลักษณ์มีที่มาอย่างไร การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารมีที่มาอย่างไร ปฐมชาติแห่งการเกิดของมนุษย์มีที่มาอย่างไรเป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะมีโอกาสบรรลุวิชชา ๓ ได้นั้นจำเป็นต้องบำเพ็ญภาวนา โดยยึดหลักปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ดังนี้ “หนัง เอ็น และกระดูกจงเหือดแห้งไปเถิด เนื้อและเลือดในสรีระของเราจงเหือดแห้งไปก็ตามที เมื่อเรายังไม่บรรลุผลที่พึงบรรลุด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักไม่หยุดความเพียรนั้น”๑
บุคคลที่ทำตามพระดำรัสนี้ได้จริงในยุคของพวกเรา และพวกเราต่างก็คุ้นกับท่านนั่นคือ พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญผู้เป็นมหาปูชนียาจารย์ของพวกเรานั่นเอง ส่วนพวกเราเมื่อยังทำไม่ได้เหมือนกับท่านก็ให้ตรึกระลึกท่านไว้เป็นกำลังใจ แล้วก็ตั้งใจปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ กันต่อไปโดยไม่ย่อท้อ สักวันหนึ่งเมื่อบารมีเต็มเปี่ยม เราย่อมทำได้เหมือนดั่งท่าน สำหรับพวกเราที่เป็นนักสร้างบารมี ซึ่งบัดนี้ก็รู้ตัวแล้วว่า เรากำลังเป็นนักโทษติดอยู่ในคุกคือวัฏสงสารจึงจำเป็นต้องรู้ว่า ตนควรดำเนินชีวิตบนเส้นทางนักสร้างบารมีต่อไปอย่างไร จึงจะมีโอกาสบรรลุวิชชา ๓ มีโอกาสตรัสรู้อริยสัจ ๔ มีโอกาสไปศึกษาความจริงเพื่อการบรรลุที่สุดแห่งธรรมต่อไป..
๑.มหาสมยสูตร, ที.ม. ๑๐/๓๓๑-๓๔๓/๒๕๙-๒๗๒ (มจร.)
๑.มหาสมยสูตร, ที.ม. ๑๐/๓๔๒/๒๗๑ (มจร.)
๒.ภูต ในที่นี้ เป็นคำเรียกที่พญามารใช้เรียกพระอริยบุคคลในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ที.ม.อ. ๓๔๓/๓๑๐)
๓.มหาสมยสูตร. ที.ม. ๑๐/๓๔๓/๒๗๑-๒๗๒ (มจร.)
๑.มหาปรินิพพานสูตร. ที.ม. ๑๓/๑๐๒/๒๘๕ (มมร.)
๒.วิบากกรรมของพระพุทธองค์ ๑๒ อย่าง, ขุ.อป.อ. ๗๐/๑/๒๑๓-๒๓๖ (มมร.)
๑.มารตัชชนียสูตร, ม.มู. ๑๙/๕๕๗/๔๖๕ (มมร.)
๒.ปิณฑิกสูตร, สํ.ส. ๒๕/๔๖๗/๔๕ (มมร.)
๓.พระเทวทัตส่งคนไปลอบปลงพระชนม์พระศาสดา, วิ.จู. ๙/๓๖๘/๒๘๙ (มมร.)
๔.อุทุมพริกสูตร, ที.ปา. ๑๕/๓๒/๘๐ (มมร.)
๕.มหาปรินิพพานสูตร, ที.ม. ๑๓/๙๕/๒๗๘-๒๘๐ (มมร.)
๑.กีฎาคิริสูตร, ม.ม. ๑๓/๑๘๔/๒๑๓ (มจร.)
Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๓๓ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖
นักโทษแห่งวัฏสงสาร ตอนที่ ๗ ใคร คือผู้สร้างคุก - สร้างกิเลส
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
02:08
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: