พบแล้วหรือยัง...ความสุขที่หาซื้อไม่ได้ สุขในใจ..จนสามารถยิ้มได้คนเดียว




สิ่งที่เราเคยประมาณการกันว่า คือ "ความสุข" ที่มีอยู่ดาษดื่นในโลกใบนี้ ส่วนใหญ่ล้วนต้องซื้อหาหรือแลกมาด้วยทรัพย์สินเงินทอง ตอนยังไม่มีก็ดิ้นรน แสวงหาเพื่อให้ได้มี พอมีแล้วก็ระแวงระวัง รักษาไม่ให้เสื่อมสูญหายสลายไป ท้ายที่สุด เราต้องมาประเมินกันใหม่ว่า "ความสุข" ที่ซื้อหามาได้นั้นคือความสุขจริงไหม แล้วความสุขแบบไหนที่ควรได้ชื่อว่า "สุขจริงหนอ"  ประสบการณ์ความสุขภายในจากชีวิตจริงของพระธรรมทายาทเหล่านี้ คือ คำตอบที่ชัดเจน...

พระธรรมทายาทวิ  จิตฺตปาโล  อายุ ๕๓ ปี  ตัวแทนพระธรรมทายาทจากศูนย์อบรมวัดทุ่งมะส้าน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ท่านเป็นชาวไทยใหญ่ เกิดที่บ้าน เวียงจายข่า ประเทศพม่า ในช่วงที่บ้านเมืองไม่สงบสุข มีการสู้รบกันเป็นประจำได้อพยพครอบครัวมาอยู่ที่บ้านห้วยขาน จังหวัดแม่ฮ่องสอน บรรพบุรุษชาวไทยใหญ่ที่นับถือศาสนาพุทธ มีความเชื่อที่สอนต่อ ๆ กันมาว่า ถ้าใครเกิดมาแล้วเป็นคนดี ถือว่าได้ตอบแทนน้ำนมมารดา ๑ ข้าง แต่ถ้าได้บวชเรียน เท่ากับได้ตอบแทนน้ำนมมารดาครบทั้ง ๒ ข้าง (ตอบแทนได้หมด) ซึ่งเป็นคำสอนที่ท่านจำขึ้นใจมาตลอด ช่วงหนึ่งท่านฝันเห็นตัวเองได้บวชพระ ห่มผ้าเหลือง ฝันซ้ำ ๆ อยู่หลายวัน แล้วไม่นาน ก็ได้ยินประกาศจากรถกระจายเสียงชวนบวชพระ ๑๐๐,๐๐๐ รูปเข้าพรรษา ท่านจึงอธิษฐานจิตนึกถึงบุญที่เคยทำว่า "ขอให้ได้บวชด้วยเถอะ"

พอตัดสินใจว่าจะบวชแน่ ๆ ก็สละเรือน ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ยกสมบัติทั้งหมดให้ลูก ๆ และภรรยา แล้วก็ตั้งใจจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป พอเข้าโครงการก็สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน พระอาจารย์ ให้ทำอะไรก็ทำตามทุกอย่างและไม่เคยขาดจากการนั่งสมาธิเลยสักวันเดียว


ท่านได้เล่าประสบการณ์ภายในให้ฟังว่า

...ตอนแรกที่นั่งสมาธิ ขามันโก้นไปหมด (ทั้งปวดทั้งเมื่อย) ตาตุ่มข้างขวาก็เป็นแผล แต่อาตมาไม่ย่อท้อ อาตมาอดทน สู้...สู้... พอนั่งสมาธิเสร็จทีไร เดินกะเผลกทุกที อาตมาฝึกนั่งจนขาหายโก้น (หายปวดหายเมื่อย) เพราะคิดว่า ใครจะนั่งสมาธิหรือไม่ ไม่ต้องไปสนใจ แต่เรามาบวชแล้ว เราต้องฝึกตัว เราทำ เราได้ ก่อนนั่งสมาธิทุกครั้ง อาตมาจะชูตอง (อธิษฐาน) ก่อนเสมอ ขอบุญบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ช่วยปกป้องคุ้มครอง ขอให้นั่งสมาธิได้ดวงแก้วใส ๆ พอแผ่เมตตาแล้วก็ทำใจนิ่งดิ่ง พอนั่งไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกแป่ว (มีความสุข) ยิ่งนั่งยิ่งแป่ว แล้วอาตมาก็เห็นดวงแก้วสว่างไสว มีแสงสีเหลืองสลับขาวผุดขึ้นมากลางปุ๋ม (กลางท้อง) แล้วก็เห็นเจ้าพารา (องค์พระ) ขึ้นมาในดวงแก้วด้วย ตอนแรกเห็นเศียรเป็นจุดกลม ๆ ขึ้นมาก่อนเลย แล้วท่านก็ค่อย ๆ ขยายออกจนเต็มองค์ เป็นแก้วใส ๆ ทั้งองค์ พอมองไปก็มีแต่ดวงแก้วสุกใส มีเจ้าพารา (องค์พระ) อยู่ในนั้น แล้วท่านก็ขยายจนคลุมตัว เหมือนตัวเราเข้าไปอยู่ในองค์พระ ท่านขยายใหญ่ แบบไม่อันแต๊ก (ไม่มีประมาณ) เวลาอยู่ในองค์พระ อาตมารู้สึกปลอดภัย สิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ไม่สามารถทำอันตรายได้ ตอนองค์พระคลุมตัว ใจจะนิ่งสงบ พอองค์ใหญ่หายไป ก็มีองค์เล็ก ๆ ผุดขึ้นมาใหม่สลับไปสลับมา สนุกมาก มีความสุขมาก ๆ ตอนนี้ ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา อาตมาจะเห็นองค์พระอยู่ตลอดเวลา เหมือนในดวงตาดวงใจมีแต่ภาพองค์พระ อาตมาดีใจมาก ๆ ที่ได้มาถือศีล ๒๒๗ และจะตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ จะบวชไปนาน ๆ...

พระธรรมทายาทเปา   อนุพโล อายุ ๒๐ ปี ตัวแทนพระธรรมทายาทจากศูนย์อบรมวัดภูถ้ำทอง จังหวัดอุบลราชธานี ท่านเป็นชาวเมืองสองคอน แขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาว แต่พูด เขียน และอ่านภาษาไทยได้คล่อง เพิ่งเรียนจบชั้น ม.๖ ขณะที่กำลังวางแผนจะเรียนต่อ แม่ก็มาขอว่า “ ปีนี้ บวชเป็นพระให้แม่นะ”  ท่านคิดว่า "แม่ทำอะไรเพื่อเรามาก็เยอะ เราน่าจะทำอะไรเพื่อแม่สักครั้ง" จึงตัดสินใจบวช

...พอเข้าโครงการ อาตมาก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะเลย ทั้งเรื่องบุญ-เรื่องบาป ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน พอมาบวชแล้วจึงได้เข้าใจ แล้วก็ดีใจมาก ๆ ที่ได้รู้ว่า แท้จริงแล้วเราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี จึงมาคิดต่อว่าไหน ๆ เรามาบวชทั้งที ก็ต้องตั้งใจเอาดีให้ได้ ดังนั้นไม่ว่าพระอาจารย์สอนอะไรก็จะตั้งใจเรียนและเอาไปฝึกฝน อย่างเรื่องการนั่งสมาธิก็เหมือนกัน ๒ วันแรกอาตมานั่งแทบไม่ได้เลย หลับตาทีไรก็คิดโน่นคิดนี่ มีแต่ความคิดอยู่เต็มหัว แล้วนั่งได้ไม่นานก็ปวดโน่นปวดนี่ เมื่อยไปทั้งตัว พระอาจารย์ก็สอนให้ภาวนา “สัมมา อะระหัง” วางใจนิ่ง ๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ก็ลองทำดู จนวันที่ ๓ ของการอบรม อาตมานั่งหลับตาเบา ๆ ภาวนา “สัมมาอะระหัง” ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ไม่คิดอะไร ไม่ฟุ้งซ่าน ข้างในมันเงียบมาก อยู่ ๆ ก็เห็นดวงกลม ๆ มีแสงนวล ๆ เป็นดวงเล็ก ๆ เท่าลูกมะนาว ลอยอยู่ในกลางท้อง พอมองไปเฉย ๆ สักพัก ดวงนั้นก็ค่อย ๆ ใสขึ้น ใสจนมองทะลุได้ ก็มีองค์พระผุดขึ้นมาจากดวงแก้ว เป็นองค์จิ๋ว ๆ เท่าปลายนิ้วก้อย ใสมาก แป๊บเดียวก็ขยายใหญ่ ใหญ่กว่าภูเขา ตอนนั้นอาตมาคล้ายๆ เหมือนจะไม่รับรู้ แต่ว่ารู้ แล้วก็เห็นองค์พระแบบเดียวกันผุดซ้อนขึ้นมาเรื่อย ๆ ในตัวอาตมาก็มี เท่ากับตัวอาตมาก็มี แล้วก็ใหญ่กว่า ตัวอาตมาก็มี


..พอลืมตาแล้วรู้สึกสบายใจ มีความสุขมาก พอมองไปที่กลางกาย องค์พระก็ยังอยู่ เป็นองค์จิ๋ว ๆ นั่งนิ่ง ๆ แล้วในกลางองค์พระก็มีดวงแก้วกลม ๆ ใส ๆ อยู่ด้วย เห็นชัดมาก ไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะรู้สึกว่ามีท่านอยู่ในกลางกายเสมอ อาตมารู้สึกประทับใจในองค์พระมาก องค์พระทำให้แจ่มใส มีความสุข แล้วทุกวันนี้ท่านก็ยังอยู่กับอาตมา เป็นองค์ใส ๆ ไม่ใหญ่ ไม่เล็ก นั่งอยู่กลางกายแบบพอดี อาตมาปลื้มมากที่สามารถเห็นองค์พระแบบนี้ได้ แต่ที่ปลื้มมากกว่าก็คือ โยมพ่อโยมแม่ เพราะเวลาท่านมาเยี่ยมทีไรก็จะพูดแต่ว่า “ปลื้มใจ” ดีใจที่อาตมาบวชให้ แถมยังบอกอีกว่า “บวชไปนาน ๆ นะ อย่าเพิ่งสึก”

พระธรรมทายาทประมาณ  สิทฺธาโส  อายุ ๔๗ ปี  ตัวแทนพระธรรมทายาทจากศูนย์อบรม วัดพระธรรมกาย ระเบียง ๘ ท่านทำงานมาหลายอย่างหลายด้าน ใช้ชีวิตมาทุกรูปแบบ พี่สาวแท้ ๆ ชวนท่านมาบวช จะได้ส่งบุญกุศลไปให้แม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว ท่านดีใจมากที่ได้มาพบกับหลวงพ่อ ได้รู้จักหลวงปู่และคุณยายอาจารย์ ตอนนี้ท่านบอกว่า รู้แล้ว ว่าอะไรคือเป้าหมายของชีวิต


...อาตมาชอบนั่งสมาธิตามเสียงของหลวงพ่อมาก ๆ หลวงพ่อสอนเข้าใจง่าย ฟังเพลิน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องขยับเปลี่ยนท่าบ่อย ๆ เพราะรู้สึกไม่เข้าที่สักที นั่งไปก็ไม่เห็นอะไร จนชักจะน้อยใจตัวเอง คิดว่า "เรานี่เป็นยังไงนะ เคยบวชมาแล้วแท้ ๆ แต่ทำไมถึงไม่เห็นผล ไม่คืบหน้าสักที" แล้วอาตมาก็พยายามฝึกสมาธิในทุกอิริยาบถ นึกถึงศูนย์กลางกายทุกวัน จนกระทั่งวันที่ ๑๒ กันยายน จำได้ว่า วันนั้นได้นั่งสมาธิกับหลวงพ่อที่สภาธรรมกายสากล มีหลวงปู่ทองคำเป็นประธาน ในขณะที่กำลังภาวนา “สัมมา อะระหัง” อยู่ รู้สึกว่าใจมันเคลิ้ม ๆ อยู่ ๆ ก็วูบ เหมือนลื่นไถลไปกับราวบันได ใจมันเสียววูบ แต่ไม่ตกใจ แล้วก็เห็นแสงเหมือนฟ้าแลบเกิดขึ้นตรงกลางท้อง เปลวแสงกระจายตัวเป็นสีขาวนวล ๆ แล้วม้วนรวมตัวเป็นวงกลม มีขนาดประมาณลูกตาดำ สว่างเหมือนดวงเดือน เห็นชัดมาก สักพักเดียวดวงนั้นก็ขยายใหญ่แล้วหายไป แล้วก็มีแสงแบบเดิมแทงขึ้นมาจากศูนย์กลางกาย ม้วนตัวเป็นดวงกลม ๆ ลอยขึ้น ขยายออก หายไป เป็นอย่างนี้ อย่างต่อเนื่อง แล้วจิตก็นิ่งไปเลย พอดูเฉย ๆ ภาพก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งนิ่ง ยิ่งชัด ลมหายใจก็สม่ำเสมอ ไม่มีความสงสัยอะไรเลย เพลินมาก เป็นอารมณ์ที่ยากจะบรรยายจริง ๆ หลังจากวันนั้นก็เริ่มมีกำลังใจ และอยากจะนั่งแต่สมาธิ สะสมเวลานั่งมากขึ้น ทั้งกลางวัน กลางคืน และไม่ว่าจะทำอะไรก็จะนึกถึงดวงกลม ๆ ที่ศูนย์กลางกายเสมอ ทำให้ปรับใจได้ง่าย เข้าถึงสมาธิได้เร็ว แล้วดวงกลม ๆ ก็พัฒนา ขึ้นทุกวัน สว่างขึ้น ใสขึ้น โดยมีจุดตรงกลางใสที่สุด โล่งจนมองทะลุได้เลย

...วันหนึ่ง ขณะกำลังดูดวงใส ๆ ผุดขึ้นมาอย่างเพลิน ๆ อาตมาก็มองไปตรงกลางดวง ตรงจุดที่ใสที่สุดของทุก ๆ ดวง ดวงไหนผุดขึ้นมา อาตมาก็มองเข้าไปในดวงนั้น ก็รู้สึกเหมือนมีแรงดึงดูดให้ลึกลงไปเรื่อย ๆ เร็วมาก แล้วก็มีแสงพุ่งออกมาคลุมตัว ใจก็นิ่ง อยู่ ๆ ก็เห็นเศียรพระเป็นภาพราง ๆ ค่อย ๆ ลอยขึ้นมา เห็นหน้าของท่านชัดทีละนิด จนชัดเต็มองค์ ขนาดประมาณ ๓ เซนติเมตร มีสีใสมาก ๆ เป็นประกายเลื่อม ๆ ระยิบระยับเหมือนประกายเพชร แล้วท่านก็ขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่มากจนหายไป แล้วก็มีองค์ใหม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ไม่หยุด พอลืมตาแล้วท่านก็ยังอยู่ แล้วถ้าใจนิ่งดีก็จะเห็นท่านได้ชัดมาก ๆ เห็นองค์พระแล้วรู้สึกปีติใจ มีความสุขมาก เป็นความสุขที่หาซื้อไม่ได้จากที่ไหน มันสุขในใจจนสามารถยิ้มได้คนเดียว อาตมาโตมา ๔๗ ปี ก็ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลย

อยากพบความสุขแท้ ๆ สุขจริงหนอ หรือแป่วแบบอันแต๊ก (สุขแบบไม่มีประมาณ) เช่นเดียวกับพระธรรมทายาทเหล่านี้ ก็ต้องทำอย่างท่าน  ขยันนั่ง ขยันนิ่ง ถ้าปฏิบัติกันจริง ๆ เดี๋ยวก็เข้าถึง





Cr. ธัมม์  วิชชา
วารสารอยู่ในบุญ  ฉบับที่ ๑๐๐  เดือนกุมภาพันธ์  พ.ศ. ๒๕๕๔
พบแล้วหรือยัง...ความสุขที่หาซื้อไม่ได้ สุขในใจ..จนสามารถยิ้มได้คนเดียว พบแล้วหรือยัง...ความสุขที่หาซื้อไม่ได้  สุขในใจ..จนสามารถยิ้มได้คนเดียว Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 23:16 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.