อะไรคือเรื่องที่ควรรู้ในการประกอบอาชีพ ?



ถาม : อะไรคือเรื่องที่ควรรู้ในการประกอบอาชีพ ?
ตอบ : การประกอบอาชีพ คือ การทําการงานเพื่อทํามาหาเลี้ยงชีพหรือชีวิตของมนุษย์ การประกอบอาชีพเป็นทางมาของรายได้ เพื่อนําไปใช้จ่ายในการดํารงชีวิต ค่าใช้จ่ายพื้นฐานในชีวิตมนุษย์ได้แก่ปัจจัยสี่ ประกอบด้วย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค

การประกอบอาชีพก็เพื่อเลี้ยงชีวิตให้ดํารงอยู่ได้ แล้วชีวิตดํารงอยู่ไปเพื่ออะไร ? ถ้าเกิดมาแล้วก็ได้แต่ทํามาหากินเพื่อเลี้ยงชีวิตจนกว่าจะหมดลมหายใจ เมื่อเกิดมาอีกก็ต้องมาศึกษาหาความรู้กันใหม่เพื่อนําไปทํามาหากินเลี้ยงชีวิตอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้แค่นี้อย่างนั้นหรือ ชีวิตที่เราเฝ้าทะนุถนอมรักษาคงไม้ได้มีไว้เพียงแค้นี้ แล้วความจริงจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร เราควรต้องมารู้จักชีวิตตัวเองให้ดีก่อน จากนั้นเราจึงจะได้ทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ

พระธรรมคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบทหนึ่งเรียกว่า “สรีรัฏฐธัมมสูตร” กล่าวถึงธรรมชาติของสรีระร่างกายมนุษย์ไว้ ๑๐ ประการ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงสั่งให้พระภิกษุพิจารณาอยู่เนือง ๆ เป็นความเข้าใจถูกเกี่ยวกับชีวิตซึ่งมีประโยชน์ต่อพวกเราทุกคน จึงจะขยายความตามความเข้าใจของหลวงพ่อให้ฟัง ดังนี้

สิ่งที่ให้พิจารณา ๔ ประการแรก คือ ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ที่เกิดในร่างกาย สิ่งเหล่านี้ฟ้องให้รู้ว่า ร่างกายประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ ที่มารวมกัน ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตุไฟ และธาตุลม แต่ธาตุทั้ง ๔ นั้นไม่ใช่ธาตุบริสุทธิ์ จึงเสื่อมโทรมและสลายได้ อาการที่ธาตุ ๔ ถูกทําลายไปปรากฏออกมาเป็นความหนาว ร้อน หิว กระหาย ตามลักษณะธาตุที่สูญเสียไป หากปล่อยให้เสื่อมถอยไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าร่างกายก็จะถึงแก่ความตายไปทุกส่วน ไม่สามารถดํารงชีวิตไว้ได้ จะต้องได้ธาตุ ๔ จากสิ่งแวดล้อมภายนอกซึ่งอยู่ในรูปของปัจจัยสี่เติมเข้าไปทดแทน เพื่อชดเชยธาตุที่สูญเสียไป มนุษย์จึงจําเป็นต้องกินอาหาร ดื่มนํ้า หายใจ สวมเสื้อผ้า และมีที่พักอาศัยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายให้ดํารงอยู่ต่อไปได้

ธรรมชาติของสรีระร่างกายประการที่ ๕ และ ๖ คือ ความปวดอุจจาระ ความปวดปัสสาวะ สิ่งเหล่านี้บอกให้รู้ว่า ธาตุ ๔ ที่เติมเข้าไปนั้น ก็เป็นธาตุไม่บริสุทธิ์ และร่างกายนําไปใช้ไม่ได้ทั้งหมด จึงมีกากออกมาในรูปของอุจจาระและปัสสาวะ เมื่อเป็นเช่นนี้ร่างกายจึงสึกหรอไปตามวันเวลา และมนุษย์จําเป็นต้องเติมธาตุ ๔ ให้ร่างกายตลอดชีวิต

ถ้าความเสื่อมในร่างกายเกิดขึ้นมาก อาการทั้ง ๖ คือ ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ความปวดอุจจาระ ความปวดปัสสาวะ ที่เกิดในร่างกายมนุษย์ก็แสดงออกมาก แต่ถ้าความเสื่อมในร่างกายเกิดช้าลง อาการที่แสดงออกมาก็ลดน้อยลง

พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมชาติของสรีระในประการที่ ๗ และ ๘ ว้า คือ ความสํารวมกาย ความสํารวมวาจา ถ้าใครมีความสํารวมกาย สํารวมวาจาดี ร่างกายก็สึกหรอน้อย อายุก็ยืน ถ้าใครไม่สํารวมกาย ไม่สํารวมวาจา ความสึกหรอก็เกิดมาก อายุก็สั้น

และที่สําคัญประการที่ ๙ คือ ความสํารวมอาชีพ ทําการงานเพื่อเลี้ยงชีวิต เลือกอาชีพที่ไม่ก่อบาปก่อกรรมชั่ว ทํางานที่เป็นกรรมดี นอกจากจะได้เงินทองมาแล้ว ร่างกายก็จะดี จิตใจก็ผ่องใส นิสัยก็ดี บุญก็เกิด สร้างแต่มิตรไม่ก่อศัตรู นี้คือผลของความสํารวมอาชีพ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่สํารวมอาชีพ ความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งหลายก็จะเกิดตามมา เมื่อประกอบอาชีพหาทรัพย์มาได้แล้ว ยังต้องรู้จักประมาณในการเก็บรักษาและการใช้ทรัพย์นั้นด้วย เพื่อจะได้ไม่เผลอไปทําบาปกรรมใด ๆ เพราะยังมีธรรมชาติของสรีระประการที่ ๑๐ คือ ธรรมเป็นเครื่องปรุงแต่งภพ เป็นเหตุให้เกิดในภพใหม่ ถ้าไม่ระวัง ทํากรรมชั่ว ทําบาป ก็มีนรก มีทุคติภูมิรออยู่ เดือดร้อนตั้งแต่ชาติปัจจุบันไปจนถึงชาติในอนาคตต่อ ๆ ไป แต่ถ้าระมัดระวัง หมั่นทํากรรมดี มีบุญมาก สุคติโลกสวรรค์รออยู่ ชาตินี้ก็อยู่เป็นสุข ชาติต่อๆ ไปก็เป็นสุข กลับมาเกิดเป็นมนุษยอีกก็จะสบาย เพราะบุญที่ประกอบไว้ในชาติปัจจุบัน

แล้ววงจรนี้เมื่อไรจึงจะหมด จึงจะจบสิ้น ก็ต้องถามว่าทําไมธาตุ ๔ ภายในตัวของเราจึงไม่บริสุทธิ์ เหตุก็เพราะกายถูกควบคุมด้วยใจ ใจนั้นก็ถูกกิเลสซึ่งเป็นธาตุสกปรกแทรกอยู่ ทําให้ใจไม่บริสุทธิ์ จึงส่งผลให้ธาตุ ๔ ในกายไม่บริสุทธิ์ ถ้าจะแก้ไขมีทางเดียว คือ ต้องกลั่นใจให้บริสุทธิ์ กําจัดกิเลสออกได้ก่อน ธาตุ ๔ ในตัวจึงจะบริสุทธิ์ ด้วยแนวทางเดียวกับที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติมา คือ เจริญสมาธิภาวนาด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘

หน้าที่ของเราเกิดมาก็ต้องแก้ไขตัวเอง แม้คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน ต่างต้องทํางานนี้ด้วยตัวเอง พระตถาคตเป็นเพียงผู้บอกและชี้ทางให้

ขณะนี้เรายังฝึกตัวของเราไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ก็จะต้องทําความรู้จักตัวเราเองไว้ก่อน เพื่อจะได้ไม่เผลอทําบาปกรรม เพราะเรายังอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม การทําการงานก็เป็นการทํากรรมไปด้วย การประกอบอาชีพดูผิวเผินก็เพื่อความกินดีอยู่ดีเท่านั้น แต่ลึก ๆ แล้วส่งผลทั้งต่อชีวิตและจิตใจของเรา เพราะเราคิด พูด ทํา อยู่อย่างนี้ทุกวัน เราจะมีนิสัยดีหรือเลว มักทํากรรมดีหรือกรรมชั่วก็อยู่ที่การประกอบอาชีพนี้เป็นหลัก

การประกอบอาชีพอาจจะเป็นตัวสร้างหลักฐานที่มั่นคงหรือเป็นตัวทําลายความมั่นคงของชีวิตก็ได้ เพราะการทํางานในอาชีพนั้น เราอาจกําลังสร้างบุญหรือสร้างบาปไปด้วย อาชีพที่สร้างรายได้มหาศาลก็ใช่จะให้ประโยชน์แก่เราอย่างเดียว เพราะหากเป็นอาชีพที่ทุจริตก่อบาปแล้ว สิ่งที่ได้มาจะไม่คุ้มกับสิ่งที่ชีวิตเราต้องสูญเสียไป งานที่ทําจึงต้องเป็นงานสุจริต ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมโดยส่วนรวม

ดังนั้น การประกอบอาชีพที่มั่นคงนอกจากคํานึงถึงรายได้เลี้ยงชีวิตปัจจุบันของเราแล้ว ต้องสามารถรับประกันชีวิตในอนาคตชาติต่อ ๆ ไปของเราด้วย การตัดสินใจเลือกอาชีพ จึงจําเป็นต้องวางแผนให้ดี ซึ่งการวางแผนนี้นับเป็นการวางแผนระยะยาวที่ต้องใช้เวลานานมาก และใช้ความพยายามมาก แต่ผลตอบแทนที่ได้รับก็คุ้มค่า

Cr. หลวงพ่อทัตตชีโว
วารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๙๗ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๒

***สามารถนำไปเผยแพร่ได้ แต่ขอให้ใส่ Cr. ผู้เขียนด้วย***

คลิกบทความได้ที่นี่ https://dhamma-media.blogspot.com/2019/04/lp0562.html

คลิกอ่านแต่ละบทความของวารสารอยู่ในบุญ ฉบับที่ ๑๙๗ ประจำเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้ที่นี่
คลิกอ่านแต่ละบทความของวารสารอยู่ในบุญ ประจำเดือนของปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้ที่นี่
คลิกอ่านหรือดาวน์โหลดวารสารอยู่ในบุญประจำเดือนของแต่ละปี (ฉบับ PDF) ได้ที่นี่
อะไรคือเรื่องที่ควรรู้ในการประกอบอาชีพ ? อะไรคือเรื่องที่ควรรู้ในการประกอบอาชีพ ? Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ on 20:42 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.