ชีวิตที่ประเสริฐ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต
แต่ละภพชาติของการสั่มสมบารมีนั้น ท่านหาโอกาสแสวงหาสัจธรรมเรื่อยมา
พระธรรมคำสอนที่เราได้ยินได้ฟัง จึงเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาล
เพราะทรงแลกความรู้อันบริสุทธิ์นี้มาด้วยชีวิต เราจึงควรตระหนักในความเป็นผู้มีบุญที่ได้มีโอกาสพบกับพุทธธรรมอันเป็นประทีปส่องทางชีวิตให้ก้าวไปสู่ความสุขอันเป็นอมตะ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในสังยุตตนิกาย
สคาถวรรคว่า "สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้กำหนัดกล้าในโภคทรัพย์ที่น่ารักใคร่ ยินดีหมกมุ่นในกาม ย่อมไม่รู้สึกซึ่งความถลำตัว เหมือนปลาที่เข้าลอบที่เขาดักไว้ ไม่รู้สึกตัวฉะนั้น"
มนุษย์ทุกคนต่างมุ่งแสวงหาความสุขที่แท้จริง
แต่ส่วนใหญ่มักหาไม่พบ เพราะแสวงหาผิดที่ เข้าใจว่าความสุขอยู่ที่การเห็นรูป
ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส หรือถูกต้องสัมผัสอันน่าพอใจ
แล้วไปยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น โดยเข้าใจว่าจะให้ความสุขที่แท้จริงได้ แต่ตลอดชีวิตที่ผ่านมา
กลับไม่เคยพบกับความสุขที่ แท้จริง เพราะแสวงหาผิดที่
และยังทำให้กิเลสพอกพูนขึ้นอีกด้วย ในที่สุดก็ยังคงทุกข์ทรมานอยู่นั่นเอง
การประพฤติพรหมจรรย์ คือ
การประพฤติอันประเสริฐ เพื่อป้องกันไม่ให้กิเลสกลับฟูขึ้นมาอีก จนกระทั่งกิเลสหมดสิ้นไป
พระโพธิสัตว์กว่าจะได้ตรัสรู้ธรรม ท่านทรงสละความสุขที่สมบูรณ์พร้อมในทางโลก
เพราะทรงเห็นความจริงของชีวิตว่าเป็นทุกข์ จึงตัดสินใจออกบวชเพราะตระหนักในคุณค่าของการประพฤติพรหมจรรย์ว่าเป็นทางหลุดพ้น
ดังเรื่องราวในอดีตที่พระองค์ได้ตรัสเล่าให้ภิกษุสาวกฟังว่า
ครั้งหนึ่ง
ภิกษุสงฆ์กำลังสนทนาธรรมกันในธรรมสภา กล่าวสรรเสริญพระบรมศาสดาว่า “ถ้าหากพระทศพลจะเสด็จครองเรือน จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ ๖ พรรษา แล้วต่อมาจึงหันมาปฏิบัติในหนทางสายกลางที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา
ทำให้ได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ”
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาที่ธรรมสภา
ทรงเห็นเหล่าภิกษุกำลังสนทนากันอยู่ จึงตรัสว่า "ไม่ใช่แต่บัดนี้เท่านั้น
ที่ตถาคตออกสู่มหาภิเนษกรมณ์
แม้ในกาลก่อนก็เคยสละราชสมบัติออกบวชมาแล้วเช่นกัน" แล้วทรงเล่าให้ฟังว่า ในอดีตกาล พระราชา สัพพทัตตะแห่งนครรัมมะทรงมีพระโอรส ๑,๐๐๐ พระองค์
และได้สถาปนาพระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ พระนามว่า ยุธัญชัย
เป็นอุปราช ประจำพระองค์
วันหนึ่ง
เมื่อพระกุมารยุธัญชัยประทับบนราชรถเสด็จไปพระราชอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเห็นหยาดน้ำค้างที่ติดอยู่ตามที่ต่าง
ๆ เช่น ยอดไม้ ปลายหญ้า กิ่งไม้ และที่ใยแมงมุม ซึ่งดูเหมือนตาข่ายที่ทำด้วยเส้นด้าย จึงตรัสถามนายสารถีว่า "สิ่งที่ปรากฏนั้น คืออะไร" นายสารถีกราบทูลว่า "คือหยาดน้ำค้าง ที่ตกลงในฤดูที่มีหิมะ" พระกุมารทรงเล่นในพระราชอุทยานตลอดทั้งวัน แล้วเสด็จกลับในเวลาเย็น และไม่เห็นหยาดน้ำค้างเหล่านั้น จึงตรัสถามนายสารถีว่า "หยาดน้ำค้างเหล่านั้นหายไปไหนหมดแล้ว"
นายสารถีกราบทูลว่า “หยาดน้ำค้างเหล่านั้น เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นก็จะเหือดแห้งหายไป พระเจ้าข้า” พระองค์ทรงสลดพระทัยยิ่งนัก ดำริว่า "แม้ชีวิตและสังขารของตัวเรา รวมทั้งสัตว์ทั้งหลายต่างเป็นเสมือนหยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้า ตอนนี้เรายังไม่ถูกความแก่ ความเจ็บ และความตายมาเบียดเบียน ยังอยู่ในวัยที่แข็งแรง เราควรจะอำลาพระมารดาและพระบิดาออกบวชจะดีกว่า"
พระองค์ถือเอาความสิ้นไปของหยาดน้ำค้างนั้นเป็นอารมณ์
จึงมองเห็นภพทั้งสามดุจมีเพลิงลุกไปทั่ว
จากนั้นได้เสด็จไปหาพระบิดาซึ่งกำลังประทับอยู่ ณ ศาลาวินิจฉัย เพื่อทูลลาบวช
พระบิดาทรงห้ามว่า "อย่าบวชเลย ถ้าเธอยังพร่องในเบญจกามคุณ ฉันเพิ่มเติมให้ ถ้าหากผู้ใดเบียดเบียนเธอ
ฉันจะจัดการเอง"พระกุมารกราบทูลว่า "หม่อมฉัน ไม่ได้พร่องด้วยกามทั้งหลายเลย และไม่มีใครเบียดเบียนหม่อมฉันด้วย แต่หม่อมฉันปรารถนา จะทำที่พึ่งที่ความแก่และความตายครอบงำไม่ได้ พระเจ้าข้า"
พระกุมารทูลขอบรรพชาอยู่เรื่อย ๆ
พระบิดาตรัสห้ามทุกครั้ง ต่างก็วิงวอนขอร้องซึ่งกันและกัน แม้มหาชนในที่นั้น
ก็พากันทูลอ้อนวอนไม่ให้พระโอรสบวชเช่นกัน พระกุมารยุธัญชัยได้ทูลพระบิดาว่า
"พระองค์อย่าทรงห้ามหม่อมฉันเลย อย่าให้หม่อมฉันต้องมัวเมาอยู่ในกามอันเป็นไปในอำนาจแห่งมัจจุราชเลย พระเจ้าข้า"
ฝ่ายพระมารดาพอทราบข่าวก็รีบเสด็จมาจากพระตำหนัก และวิงวอนว่า "อย่าบวชเลย แม่ปรารถนาจะเห็นเจ้านาน ๆ" พระกุมารตรัสบอกว่า "น้ำค้างบนยอดหญ้า เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็เหือดแห้งไปฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็ฉันนั้น ขอทูลกระหม่อมแม่อย่าทรงห้ามเลย พระเจ้าข้า" แม้พระมารดาตรัสอ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า พระกุมารก็ไม่ทรงเปลี่ยนพระทัย จึงทูลพระบิดาว่า "ขอให้ช่วยกราบทูลพระมารดาให้เสด็จขึ้นสู่ยานเถิด อย่าได้ทำอันตรายแก่ข้าพระองค์ ผู้กำลังจะทำกรณียกิจที่รีบด่วนเลย" ในที่สุดพระมารดาก็ต้องจำยอมอนุโมทนาในการเสด็จออกบวชของพระโอรส
ขณะนั้นเอง ยุธิฏฐิลกุมารผู้เป็นพระอนุชา
เห็นปณิธานอันยิ่งใหญ่ของพระเชษฐา จึงทรงขออนุญาต ออกบวชด้วย
จากนั้นทั้งสองพระองค์พากันเสด็จออกจากเมือง มุ่งตรงสู่ป่าหิมพานต์ สร้างอาศรม
อันน่ารื่นรมย์ และได้บวชเป็นฤๅษี ทำฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้น
เลี้ยงชีพอยู่ด้วยผลหมากรากไม้ในป่า ทำความบริสุทธิ์ตลอดพระชนม์ชีพ ครั้นละโลกไปแล้วต่างมีสุคติภูมิเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
เมื่อจบพระธรรมเทศนา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ภิกษุสาวกเป็นผู้ไม่ประมาทในการประพฤติพรหมจรรย์
โดยดูพระองค์เป็นแบบอย่าง ไม่ว่าจะพรั่งพร้อมไปด้วยเบญจกามคุณ แต่ก็ไม่ยินดี หรือหลงใหลเพลิดเพลินในสิ่งไร้สาระเหล่านั้น
กลับมุ่งแสวงหาสิ่งที่เป็นสาระแก่นสาร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของชีวิต
จะเห็นได้ว่า บุคคลผู้มีความฉลาด
เพียงแค่เห็นหยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้าเท่านั้น
ก็มีดวงปัญญาสอนตนเองให้รีบแสวงหาทางพ้นทุกข์ เมื่อทรงเห็นว่าการประพฤติพรหมจรรย์เป็นทางรอด
ก็ทรงสละราชสมบัติออกบวชทันที
ท่านสาธุชนทั้งหลาย โปรดอย่าคิดว่า
เรายังมีเวลาอีกเหลือเฟือ หรือยังหนุ่มยังสาว แล้วประมาทมัวเมาในวัย จริง ๆ
แล้วเรามีเวลาอยู่ในโลกนี้เพียงจำกัดเท่านั้น ควรจะทำเวลาที่เหลืออยู่นี้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เป็นชายก็ต้องบวชให้ได้อย่างน้อย ๑ พรรษา หลายพรรษายิ่งดี บารมียิ่งเพิ่ม และ
ถ้ายังบวชตลอดชีวิตไม่ได้ ก็หาโอกาสบวชบ่อย ๆ เนกขัมมบารมีจะได้เพิ่มพูน
เพราะนี่คือการย่อย่นหนทางไปพระนิพพานได้ดีที่สุดและรวดเร็วที่สุด เป็นบุญพิเศษที่จะตามติดตัวเราไปทุกภพทุกชาติ
คือ ทำให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังคำสอนของพระบรมศาสดา
ได้บรรพชาอุปสมบท และบรรลุมรรคผลนิพพานอย่างง่ายดายเป็นอัศจรรย์...
Cr. เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี
ป.ธ. ๙
ภาพประกอบ
: กองพุทธศิลป์
วารสารอยู่ในบุญ
ฉบับที่ ๑๐๔ เดือนมิถุนายน
พ.ศ. ๒๕๕๔
ชีวิตที่ประเสริฐ
Reviewed by สำนักสื่อธรรมะ
on
20:41
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: